ใบไม้เปลี่ยนสี ตอนที่ 1

กระทู้สนทนา
บทที่ 1

    สภาพทางขึ้นอุทยานอันคดเคี้ยวและสูงชันนั้น ดูจะต้องใช้ความสามารถและความเชี่ยวชาญของคนขับไม่น้อย สองข้างทางรกครึ้มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ทิวทัศน์เมื่อมองผ่านกระจกภายในรถยนต์ก็ดูสวยงามไม่น้อยด้วยเทือกเขาอันเขียวขจีทอดยาวสุดลูกตา หากเมื่อแลเลยไปยังเบื้องล่างแล้วก็น่าหวาดเสียวเป็นที่สุด

    “ปัณณ์เป็นยังไงล่ะเรา ชอบป่าแถวนี้ไหม?”

คุณปกรณ์เอ่ยถามบุตรชาย ผู้ที่นั่งเงียบมาระยะหนึ่งเมื่อรถเริ่มไต่ปีนขึ้นสู่ยอดเขาสูง

“ชอบครับคุณพ่อ เสียแต่เดินทางลำบากไปหน่อย อีกนานไมครับกว่าจะถึงอุทยาน”

เด็กหนุ่มผู้มีดวงหน้าคมคายคล้ายบิดาย้อมถาม

“ไม่เกินสิบกิโลเมตรลูกอีกอึดใจเดียว เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วพ่อก็เคยประจำอยู่ที่นี้แหละ  ถนนหนทางลำบากกว่านี้หลายเท่านักหน้าฝนแทบจะลงไปข้างล่างไม่ได้เลย เพราะถนนมันกลายเป็นโคลนไปเสียทั้งหมด บางครั้งต้องใช้ม้า”

ท่านอธิบดีปกรณ์บอกเล่าถึงความหลังเมื่อครั้งยังรับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ของที่นี้ ความผูกพันกับผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้จึงมีมากเป็นพิเศษ อีกทั้งลูกน้องบางคนก็ยังประจำการอยู่ที่นี้ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เลือกกลับมาเยี่ยมสถานที่ทำงานเดิมอีกครั้ง โดยมีลูกชายคนเล็กติดตามมาด้วย เพราะเด็กหนุ่มเองก็สนใจในธรรมชาติป่าเขา ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบิดาเลย

“ไม้ใหญ่ยังมีอยู่หนาแน่นเลยครับคุณพ่อ ไม่มีคนตัดเหมือนข้างล่าง”

ปัณณ์มองสองข้างทางอย่างตื่นตา ป่าเขาเขียวขจีเช่นนี้เขาไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยนัก โดยเฉพาะชีวิตประจำวันที่อยู่แต่ในเมืองหลวงอันเป็นที่ตั้งของป่าคอนกรีตหลากหลายขนาดและนับวันดูจะเติบโตเพิ่มพูน

“ก็ไม่แน่หรอกลูก ถ้านายทุนเขารู้อาจจะปีนป่ายขึ้นมาตัดถึงนี้ก็ได้”

บิดาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแววตาดูจะฉายแววกังวลความเจริญทางวัตถุคืบคลานเข้าใกล้มากเท่าไร พื้นป่าก็ถดถอยออกไปมากเท่านั้น มนุษย์ดูจะไม่เคยมีคำว่าเพียงพออยู่ในหัวใจแม้แต่น้อย รถยนต์เริ่มวิ่งทางราบทำให้ทั้งคณะค่อยหายใจโล่งขึ้น หลังจากนั่งขโยกขเยกกันมานาน เมื่อเริ่มเข้าสู่ที่ทำการอุทยาน ก่อนจะจอดนิ่งสนิทหน้าบ้านพักรับรองหลังใหญ่ โดยมีหัวหน้าอุทยานทำหน้าที่ต้อนรับ

“เชิญครับท่าน การเดินทางคงสะดวกกว่าสิบห้าปีที่แล้วนะครับ หลวงท่านทำทางลาดยางมะตอยมาให้เมื่อสองปีนี่เอง”

คุณณรงค์หัวหน้าอุทยานทักทายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เพราะเคยคุ้นเป็นลูกน้องเก่าของท่านอธิบดีมาก่อน อีกทั้งก็สนิทสนมเป็นการส่วนตัว เนื่องจากชื่นชอบการดูนกป่าเหมือนกัน

“ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมากณรงค์ คราวนี้ก็เดินทางเข้าเมืองกันสะดวกละซิ”

ท่านอธิบดีพูดพลางตบบ่าลูกน้องอย่างรักใคร่

“ครับท่านค่อยสบายขึ้นหน่อย ไม่ต้องใช้ม้าเหมือนเมื่อก่อน”

จากนั้นคุณณรงค์ก็หันไปแนะนำเหล่าข้าราชการที่สังกัดภายในอุทยาน ให้ท่านอธิบดีปกรณ์ได้รู้จัก พร้อมทั้งแนะนำบุตรสาวคนเดียวของเขาด้วย

“อายุเท่าไรแล้วหนู คงเป็นน้องนายปัณณ์ซิเนี่ยตัวเล็กนิดเดียว”

“สิบสองค่ะ”

เด็กหญิงตัวผอมบางผมสีดำเป็นมันนั้นซอยบางๆสั้นเสมอปลายคาง ดวงตากลมโตสีนิลมีประกายสดใสหากแฝงริ้วรอยซุกซนตามวัย

“นี่ลูกชายฉัน..ชื่อปัณณ์อายุสิบแปดเห็นจะเป็นพี่หนูอยู่หลายปีแหละ ปีหน้าก็จะเรียนต่อที่อังกฤษแล้วล่ะเขาตามมาด้วยเพราะชอบป่าชอบเขาเหมือนพ่อ”

อธิบดีปกรณ์พูดถึงบุตรชายอย่างเอ็นดู จากนั้นทั้งคณะก็เดินทางขึ้นสู่บ้านพัก ที่ตระเตรียมเอาไว้อย่างเรียบร้อย โดยในตอนเย็นจะมีการร่วมประทานอาหารค่ำร่วมกัน ถือเป็นการเลี้ยงรับรองตามธรรมเนียม แม้ท่านอธิบดีจะคัดค้านด้วยเห็นว่าสิ้นเปลืองเกินเหตุ หากลูกน้องเก่าก็ยังยืนยันในเจตนาเดิม


เปลวไฟจากกองฟืนขนาดใหญ่นั้นดูลุกโชติช่วงให้ความอบอุ่นกับผู้คนที่กำลังนั่งรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน โต๊ะไม้หยาบๆปูทับด้วยผ้าฝ้ายพื้นเมืองของท้องถิ่น ทำให้บรรยากาศอันเรียบง่ายนั้นดูดีขึ้น ดูเหมือนอากาศบนยอดเขากลางเดือนตุลาคม จะเริ่มเหน็บหนาวไม่น้อยในยามค่ำคืนเช่นนี้

“เรียนหนังสือที่ไหนเหรอ แถวนี้ไม่เห็นมีโรงเรียน”

ปัณณ์เอ่ยถามเด็กหญิงบุตรสาวของหัวหน้าอุทยาน เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าผู้ใหญ่เริ่มสนทนากันในเรื่องอื่นไปแล้ว

“เรียนอยู่ในตัวเมืองค่ะ ตอนนี้ปิดเทอมก็เลยกลับมาอยู่กับพ่อ”

เด็กหญิงตอบมือก็หันเนื้อหมูหันชิ้นโตในจาน โต๊ะของทางผู้ใหญ่ยังคุยกันสนุกสนานเด็กหญิงและเด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่โต๊ะเล็กใกล้กับกองไฟที่ทีหมูหันตัวโตห้อยโหนอยู่

“เธอชื่ออะไร?”

ปัณณ์ยังถามต่อ พลางจิ้มเนื้อหมูหอมกรุ่นนั้นเข้าปากเคี้ยว

“มณีรินทร์ค่ะ..เรียกว่านกยูงก็ได้เพราะชื่อจริงมันเหมือนนางเอกละครวิทยุ”

เด็กหญิงบอกพลางหัวเราะคิก ก็เพื่อนๆหลายคนที่โรงเรียนแม่ชีมักเอาชื่อเธอมาวิจารณ์ออกบ่อยไป บ้างก็บอกว่าดูคุณนาย บางคนหนักกว่านั้นนางเอกลิเกชัดๆ ทำให้บางครั้งเจ้าตัวนึกอยากจะเปลี่ยนชื่อขึ้นมาเหมือนกัน ไม่รู้พ่อแม่คิดยังถึงได้ตั้งชื่อลูกสาวแบบนี้

“ไม่เห็นเหมือน…ดีสิแปลกดีออกบอกใครเขาก็จำได้”

“แล้วคุณปัณณ์ล่ะคะ ชื่ออะไร?”

คนย้อนถามมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ ดวงหน้าขาวใสที่กระทบแสงไฟนั้นดูเหมือนภาพถ่ายสีชาเก่าๆ หากดวงตากลมโตสีเหมือนนิลคู่นั้น ดูสดใสและบริสุทธิ์เหลือเกิน

“ก็ชื่อปัณณ์นี่แหละเป็นทั้งชื่อจริงแล้วก็ชื่อเล่น”

เด็กหนุ่มพูดเสียงกลั้นหัวเราะ รู้สึกถึงความใสซื่อของอีกฝ่าย มณีรินทร์ทำหน้าเก้อเขินเด็กหญิงจึงเฉไฉไปหั่นหมูมาเพิ่มให้ เมื่อเห็นว่าจานของเขาเริ่มจะพร่องลงมากแล้ว

“พรุ่งนี้ไปดูนกด้วยกันไม๊ เห็นคุณพ่อบอกว่าที่นี้มีนกป่าเยอะมาก”

ปัณณ์เอ่ยชวน เสียงพูดคุยจากวงของผู้ใหญ่เริ่มครึกครื้นผสมผสานกับสายลมหนาวที่พัดวูบเข้ามา  

“ไม่มีกล้องส่องทางไกลค่ะ มองไม่เห็นหรอกนกมันอยู่บนยอดไม้โน้น”

คนตอบสีหน้าละห้อยลงเล็กน้อย นกแถวนี้สีสวยดีอยู่เหรอ เธอเคยเห็นออกบ่อยไปบางครั้งก็บินมาเกาะแถวกิ่งไม้ใกล้บ้านพักเป็นประจำ ร้องเพลงให้ฟังแทบทุกเช้าก็ได้แต่มองไกลๆไม่ได้เห็นชัดเสียที เพราะไม่มีกล้องส่องทางไกลอย่างที่คนดูนกเขามีกัน

“ก็เดี๋ยวให้ยืม ผลัดกันสนุกน่า...ไปเถอะ”

ปัณณ์คะยั้นคะยอ หากเด็กหญิงกลับมีที่ท่าลังเล

“พ่อคงไม่ให้ไปหรอกกลัวอันตราย...เป็นผู้หญิง”

เด็กหญิงบอกเสียงอ่อย ดวงหน้าขาวๆนั้นก็ยังหมองตาม..ความจริงพ่อก็เคยพาไปดูนกออกบ่อยไป แต่ครั้งนี้มีแขกผู้ใหญ่มาพ่อคงไม่อนุญาตแน่ ด้วยเกรงว่าเธอจะทโมนปีนป่ายเล่นบนต้นไม้เหมือนดั่งที่เคยไปกับผู้เป็นบิดา

“เดี๋ยวจะขออนุญาตให้เอาไม๊...ไปด้วยกันตั้งหลายคนไม่มีอะไรหรอกน่า เชื่อซิ”

คนชวนรับรองแข็งขัน คืนนั้นกว่างานเลี้ยงจะเลิกราก็คงล่วงเลยเข้าไปค่อนคืน มณีรินทร์ทนอากาศหนาวไม่ไหวเด็กหญิงจึงกลับเข้าบ้านพักเสียก่อน นึกภาวนาในใจว่าพรุ่งนี้พ่อคงอนุญาต ถ้าลูกชายของท่านอธิบดีเอ่ยปากขอให้เธอตามเข้าป่าไปด้วย  


ลำแสงสีทองสาดส่องเข้ามาในห้องนอนเล็กๆของบ้านพักข้าราชการป่าไม้ มณีรินทร์พลิกตัวใต้ผ้าห่มหนาอากาศในตอนเช้ายังหนาวเย็น แม้ว่าจะยังไม่ก้าวเข้าฤดูหนาวอย่างเต็มตัว เด็กหญิงลุกขึ้นจากเตียงหน้าที่เตรียมกาแฟให้บิดาเธอปฏิษัติทุกครั้ง เมื่อกลับมาพักที่นี้หลังมารดาเสียชีวิตจากอุษัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน เด็กหญิงก็ถูกส่งไปอยู่ที่โรงเรียนประจำในตัวจังหวัดเชียงใหม่ จะได้กลับมาที่นี้ก็ต่อเมื่อปิดเทอมหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์เท่านั้น

อาหารเช้าของบิดาคือกาแฟเข้มๆกับขนมปังกรอบหรือไม่ก็โจ๊กสำเร็จรูป ส่วนอาหารกลางวันและอาหารเย็นบิดาจะให้แม่ครัวของที่นี้ซึ่งก็เป็นภรรยาของคนงานในอุทยาน รับหน้าที่นั้นไป มณีรินทร์ชงโอวัลตินแก้วโตให้กับตัวเองหยิบขนมปังกรอบออกมาเทะเล่นก็ดูเข้ากันดี เด็กหญิงเดินไปที่หน้าต่างพลางชโงกมองไปทางบ้านพักของท่านอธิบดี ใจจดใจจ่อถึงการไปเดินดูนกในป่าของเช้าวันนี้

“พ่อกาแฟอีกแก้วไหมจ๊ะ”

เด็กหญิงสาวเอ่ยถามอย่างเอาใจเมื่อกาแฟแก้วแรกของบิดาพร่องไปแล้ว

“เอ๊ะ...วันนี้ลูกสาวพ่อชักแปลกๆ ปกติไม่เคยถามนะ”

คุณณรงค์เย้าลูกสาวคนเดียว สีหน้าดูอ่อนโยน

“ก๊อ...หนูเห็นพ่อชอบดื่มจังไอ้รสขมๆขื่นๆเนี่ย มันอร่อยตรงไหนสู้โอวัลตินของหนูก็ไม่ได้ หวานมันกว่ากันเยอะเลย”

มณีรินทร์บอกพร้อมกับทำหน้าแหย เพราะตอนชงเคยแอบชิมอยู่หลายครั้ง

“โตเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องดื่มกาแฟ เด็กก็ต้องดื่มโอวัลตินร่างกายจะได้แข็งแรง”

บิดาพูดพลางยกมือขึ้นวางบนศีรษะได้รูปนั้นอย่างรักใคร่ เด็กหญิงจึงถือโอกาสเอ่ยปากขออนุญาตไปดูนกกับคณะของท่านอธิบดี ก็เช้าๆแบบนี้พ่อยังอารมณ์ดีขืนรอให้สายหน่อย พ่ออาจอารมณ์เสียเพราะลูกน้องทำงานไม่ได้ดั่งใจ นั้นอาจเป็นสาเหตุให้เด็กหญิง ‘อดเที่ยว’

“จะไปรบกวนท่านหรือเปล่า เราเป็นผู้หญิงปีนป่ายไม่สะดวกนะลูก”

บิดาแย้งนั้นทำให้เด็กหญิงเริ่มใจเสีย หรือจะเงียบไว้รอให้คุณปัณณ์มาขออีกที

“หนูจะไม่เป็นภาระของใคร รับรองได้”

มณีรินทร์บอกเสียงหนักแน่น เก็บถ้วยกาแฟของพ่อและถ้วยโอวัลตินของตัวเองไปล้าง ที่ลานซักล้างหลังบ้านพัก เสียงพูดคุยทักทายจากหน้าบ้านแสดงว่ามีแขกมาพบบิดาแต่เช้า และเพียงอึดใจเดียวเสียงบิดาก็เรียกหา จากหน้าบ้าน

“ไปเตรียมตัวแล้วกัน เดี๋ยวท่านอธิบดีก็จะไปแล้วไม่มีกล้องก็ดูด้วยตาเปล่าก็ได้”

“เย้...ขอบคุณค่ะพ่อ”

เด็กหญิงร้องอย่างดีใจ พร้อมออกอาการเต้นคองกา

“ไปขอบคุณ คุณปัณณ์โน้นเขามาขออนุญาตกับพ่อ แล้วอย่าทำให้ผู้ใหญ่เป็นห่วงล่ะ”

บิดาบอกพร้อมบุ้ยใบ้ไปที่หน้าบ้าน เธอจึงได้เห็นเพียงหลังไวๆของเด็กหนุ่ม

“แล้วพ่อไม่ไปด้วยกันหรือจ๊ะ?”

เด็กหญิงย้อนถามก็กิจกรรมนี้บิดาก็โปรดปรานไม่น้อย อีกอย่างท่านอธิบดีก็วางใจให้พ่อนำทาง เพราะรู้จักนกหลายชนิดในแถบนี้มากกว่าใคร

“ก็ไปนะซิ”

“โธ่!แล้วก็ไม่บอกหนู หลอกให้ใจเสียอยู่ได้พ่อเนี่ยใช้ไม่ได้เลย”

มณีรินทร์บ่นพลางเกาหัวแกรกที่โดนบิดาอำ เด็กหญิงรีบวิ่งขึ้นชั้นสองของบ้านพัก เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นผ้าพื้นเมืองของทางเหนือ เพราะพ่อเคยสอนว่า ‘เวลาจะดูนกต้องกลมกลืนไปกับธรรมชาติ’ เสื้อผ้าสีฉูดฉาดพวกแดง ชมพู ขาว มีอันต้องงด  


สภาพป่าเขาอันเงียบสงบมีเพียงเสียงนกน้อยขับขานร้องเพลงให้ฟังอยู่ในดงไพรกว้าง คณะดูนกที่เดินลัดเลาะไปแนวนานๆจะมีการพูดคุยกันบ้าง เพราะต่างคนต่างดื่มด่ำไปกับธรรมชาติรอบตัว แม้ไม่ชมนกแต่ก็ยังชมไม้ได้

“ดอกอะไรเหรอ?”

ปัณณ์เอ่ยถามเด็กหญิงมณีรินทร์เมื่อมือบางๆนั้นถือก้านดอกไม้สีเหลืองอ่อนเอาไว้อย่างทะนุถนอม ขณะที่เจ้าตัวก็กำลังปีนลงจากต้นไม้

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะมันขึ้นตามซอกเขา”  

คนตอบหันมายิ้มตาหยี เมื่อลงมายืนบนพื้นแล้ว

“เธอคงชอบดอกไม้ล่ะซิ เห็นเก็บไปหลายดอกแล้วนี่”

เด็กหนุ่มเอ่ยถามพลางเอนตัวพิงกับต้นไม้ใกล้ๆ เมื่อเห็นกลุ่มผู้ใหญ่เริ่มนั่งพักกันบ้างแล้ว

“ชอบค่ะเอาไปใส่ในแจกันหอมดี แต่ไม่กี่วันมันก็โรย”

คนพูดทำเสียงละห้อย เพราะหลายครั้งมักเก็บไปใส่แจกันบนโต๊ะอาหารพอข้ามวันก็ร่วงโรย

“ให้มันอยู่กับต้นไม่ดีกว่าเหรอ ไม่เหี่ยวดี”

ปัณณ์แนะนำหากคนรับฟังกลับทำจมูกย่น มือบางเด็ดก้านดอกไม้สีเหลืองนั้นฉับ เมื่อรวมกับที่เด็ดเมื่อเช้าก็หลายสิบดอกเข้าไปแล้ว

“อยู่กับต้นก็ไม่มีใครมาดูหรอกค่ะ ในป่าในเขาแบบนี้เก็บเอาไปบ้านดีกว่า...ได้ดูเอง”

“ดื้อจัง...”

ปัณณ์พึมพำแต่น้ำเสียงไม่จริงจังเท่าไรนัก คณะดูนกเริ่มเคลื่อนต่อไปจุดหมายปลายทางคือต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นกันหนาทึบ แหล่งหากินของนกหัวขวาน

“นกยูงจะเอาไปทับในหนังสือเอาไว้ให้คุณปัณณ์สักดอก”

เด็กหญิงยังวิ่งเข้ามากระซิบบอก ดวงหน้าขาวเป็นสีแดงระเรื่อเพราะความร้อนของอากาศที่เริ่มระอุขึ้นในช่วงบ่าย แม้ตอนกลางคืนกับช่วงเช้าจะเย็นก็ตาม

“เอามาให้ทำไมผู้ชายเขาไม่เก็บดอกไม้กันหรอก”

“ก็เอาไปเป็นที่ระลึกซิคะ...จะได้จำได้ว่าใครให้...แล้วให้ที่ไหน เมื่อไหร่”

คนพูดดวงหน้าเหมือนจะแดงขึ้นอีกนิด หากแล้วเจ้าตัวก็รีบวิ่งจู๊ดไปไปรวมกลุ่มกับพวกผู้ใหญ่ที่เดินล่วงหน้าไปพอสมควรแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่