ผู้ก่อการประท้วงในช่วงนี้บอกว่าเป้าหมายของพวกเขาอยู่ที่การล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” แต่มิได้ให้คำจำกัดความสำหรับคำนั้น
ในฐานะผู้ที่ได้วิพากษ์ระบอบทักษิณมาเป็นเวลากว่า 12 ปี ขอนำคำอธิบายที่ได้เสนอไว้ในที่ต่างๆ มาปันกันพร้อมกับเสนอต่อไปว่าการล้มล้างระบอบดังกล่าวนั้นแสนยากยิ่ง
ระบอบทักษิณ (Taksinocracy) เป็นคำเกิดใหม่ซึ่งใช้เรียกกระบวนทำลายแก่นในของสังคมไทยผ่านการบริหารบ้านเมือง ระบอบนี้มีส่วนประกอบ 5 ด้านด้วยกันคือ
อัตตาธิปไตย (Autocracy) ซึ่งหมายถึง หัวหน้ารัฐบาล หรือผู้บงการอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้สั่งการทุกอย่างไม่ต่างกับระบอบเผด็จการ ตามหลักประชาธิปไตย การบริหารบ้านเมืองจะทำโดยรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน ส่วนระบอบทักษิณเป็นขั้วตรงข้ามโดยสิ้นเชิง นั่นคือ การบริหารบ้านเมืองทำโดยรัฐบาลที่มีคนเพียงคนเดียวสั่งการให้ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของคนคนนั้นเป็นหลัก แต่อ้างเอาการเป็นประชาธิปไตยบังหน้า ตนเองทำผิดกฎหมาย แต่กล่าวโทษว่ากฎหมาย หรือไม่ก็ศาลเป็นฝ่ายผิด
ขโมยาธิปไตย (Kleptocracy) ได้แก่ การจงใจใช้ความฉ้อฉลเป็นบรรทัดฐานในการบริหารบ้านเมือง ความฉ้อฉลไม่จำกัดอยู่ที่การฉ้อราษฎร์บังหลวงจำพวกหักเงินใต้โต๊ะในอัตราร้อยละ 30 ของโครงการรัฐบาลและการติดสินบนในกิจการต่างๆ เท่านั้น หากยังครอบคลุมไปถึงการไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมและศีลธรรมจรรยาอีกด้วย การไม่ยอมรับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเป็นตัวอย่างที่แจ้งชัดที่สุดในด้านละเมิดกฎหมาย การใช้การโกหกที่อ้างว่าสีขาวซึ่งทำได้เป็นการทำผิดศีลธรรมจรรยา
ธนาธิปไตย (Plutocracy) ได้แก่ เงินเป็นทั้งเป้าหมายในการกระทำทุกอย่างและการใช้เงินปูทางไปสู่เป้าหมายนั้นโดยเฉพาะการเข้าถึงอำนาจรัฐ การใช้เงินจ้างนักเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อสนับสนุนผู้บงการและการซื้อสิทธิขายเสียงเป็นส่วนประกอบสำคัญ นอกจากนั้น ยังมีมาตรการอีกมาก เช่น การแต่งตั้งผู้สนับสนุนไปดำรงตำแหน่งต่างๆ รวมทั้งกรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ การใช้เงินโน้มน้าวองค์กรเอกชน บุคคล สื่อและนักวิชาการเพื่อจูงใจให้พวกเขาสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลแบบผิด ๆ และไร้จิตสำนึก
ญาติกาธิปไตย (Cronyismocracy) ได้แก่ การแต่งตั้งญาติพี่น้องและพวกพ้องให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ และการกระทำทุกอย่างเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มนี้เป็นหลักนอกเหนือจากของตัวผู้บงการเอง
ประชานิยมาธิปไตย (Populismocracy) คือ การมอมเมาประชาชนด้วยมาตรการและโครงการประชานิยมซึ่งเป็นการหยิบยื่นสิ่งต่างๆ ให้ประชาชนแบบให้เปล่าโดยซุกซ่อนที่มาและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการหยิบยื่นเหล่านั้นไว้อย่างแยบยล ตั้งแต่ปี 2544 โครงการจำพวกนี้ทยอยออกมาแบบไม่ขาดสาย โครงการสุดท้ายที่จะทำลายประเทศไทยแบบราบคาบคือโครงการรับจำนำข้าว
หากพิจารณาดูดีๆ จะเห็นว่าส่วนประกอบทั้งห้านี้มีอยู่ในสังคมไทยมานานแล้วยกเว้น “ประชานิยมาธิปไตย” สังคมไทยบริหารด้วยระบอบเผด็จการมานมนานรวมทั้งในช่วงที่มีรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งหลายต่อหลายครั้งด้วย ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาก็เช่นกัน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ยังเป็นเผด็จการเสียเป็นส่วนใหญ่โดยมีทักษิณเป็นผู้บงการทุกอย่างอยู่ข้างหลังรัฐบาล หรือ เป็นผู้ก่อเหตุการณ์ที่รัฐบาลต้องตอบโต้ หรือไม่ก็ต้องตอบสนอง ส่วนทางด้านการใช้ความฉ้อฉลนั้นมิได้อยู่เฉพาะในวงการบริหารบ้านเมืองเท่านั้น มันแทรกซึมอยู่ทั่วไปในสังคมไทย ซึ่งได้แก่ การไม่ทำตามกฎเกณฑ์ของสังคมไม่ว่าจะเป็นการทำผิดกฎจราจรเป็นรายวัน หรือการทิ้งขยะลงไปในแม่น้ำลำคลอง
ในด้านการใช้เงินนำหน้า หรือการบูชาเงิน หลังจากสังคมไทยได้วิวัฒน์จากสังคมเกษตรแบบพอมีพอกินเป็นส่วนใหญ่มาเป็นสังคมผสมระหว่างเกษตรเชิงเดี่ยว การท่องเที่ยวและบริการและการอุตสาหกรรม การใช้เงินมีความจำเป็นและได้รับการเน้นย้ำมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเงินกลายเป็นพระเจ้าที่เข้าไปแทรกอยู่ในทุกวงการ สำหรับการเล่นพวกเล่นพ้องนั้นก็มีมานานแล้ว ฉะนั้น ส่วนประกอบทั้งสี่ด้านนี้ฝังลึกอยู่ก่อนในสังคมไทย ทักษิณและพรรคพวกทำให้มันเข้มข้นยิ่งขึ้น
ประชานิยมาธิปไตยเป็นแนวนโยบายเลวร้ายซึ่งเป็นของใหม่สำหรับสังคมไทย อย่างไรก็ตาม คนไทยพอใจในการได้รับของเปล่าที่รัฐบาลหยิบยื่นให้ เพียงในเวลาไม่นาน คนไทยส่วนใหญ่จึงเสพมันจนติดงอมแงม เฉกเช่นยาเสพติดทั้งหลาย เมื่อติดแล้วเลิกยาก เรื่องนี้มีตัวอย่างมากมายซึ่งชี้ชัดว่าสังคมจะล้มละลายเมื่อเวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง ประเทศในละตินอเมริกาโดยเฉพาะอาร์เจนตินาและเวเนซุเอลาเป็นตัวอย่างที่มักยกมาอ้างกันเสมอ
โดยสรุป ระบอบทักษิณจะอยู่กับสังคมไทยต่อไปไม่ว่าทักษิณจะอยู่หรือลงเวทีไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้ที่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสดใสขึ้นมาทันทีเมื่อบนเวทีไม่มีทักษิณ ชินวัตร เป็นการคิดผิดถนัดทีเดียว การขุดรากถอนโคนส่วนประกอบทั้งห้าจะยากยิ่งกว่าการขับไล่ทักษิณลงจากเวทีหลายเท่านัก คนไทยจึงควรตระหนักและออกมาช่วยกัน มิฉะนั้น ความคาดหวังจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย
ที่มา:http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/sawai/20131206/547824/ล้างระบอบทักษิณเป็นโจทย์แสนหินสำหรับคนไทย.html
ต้องขุดรากถอนโคน เท่านั้น...
ล้างระบอบทักษิณเป็นโจทย์แสนหินสำหรับคนไทย!
ในฐานะผู้ที่ได้วิพากษ์ระบอบทักษิณมาเป็นเวลากว่า 12 ปี ขอนำคำอธิบายที่ได้เสนอไว้ในที่ต่างๆ มาปันกันพร้อมกับเสนอต่อไปว่าการล้มล้างระบอบดังกล่าวนั้นแสนยากยิ่ง
ระบอบทักษิณ (Taksinocracy) เป็นคำเกิดใหม่ซึ่งใช้เรียกกระบวนทำลายแก่นในของสังคมไทยผ่านการบริหารบ้านเมือง ระบอบนี้มีส่วนประกอบ 5 ด้านด้วยกันคือ
อัตตาธิปไตย (Autocracy) ซึ่งหมายถึง หัวหน้ารัฐบาล หรือผู้บงการอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้สั่งการทุกอย่างไม่ต่างกับระบอบเผด็จการ ตามหลักประชาธิปไตย การบริหารบ้านเมืองจะทำโดยรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน ส่วนระบอบทักษิณเป็นขั้วตรงข้ามโดยสิ้นเชิง นั่นคือ การบริหารบ้านเมืองทำโดยรัฐบาลที่มีคนเพียงคนเดียวสั่งการให้ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของคนคนนั้นเป็นหลัก แต่อ้างเอาการเป็นประชาธิปไตยบังหน้า ตนเองทำผิดกฎหมาย แต่กล่าวโทษว่ากฎหมาย หรือไม่ก็ศาลเป็นฝ่ายผิด
ขโมยาธิปไตย (Kleptocracy) ได้แก่ การจงใจใช้ความฉ้อฉลเป็นบรรทัดฐานในการบริหารบ้านเมือง ความฉ้อฉลไม่จำกัดอยู่ที่การฉ้อราษฎร์บังหลวงจำพวกหักเงินใต้โต๊ะในอัตราร้อยละ 30 ของโครงการรัฐบาลและการติดสินบนในกิจการต่างๆ เท่านั้น หากยังครอบคลุมไปถึงการไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมและศีลธรรมจรรยาอีกด้วย การไม่ยอมรับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเป็นตัวอย่างที่แจ้งชัดที่สุดในด้านละเมิดกฎหมาย การใช้การโกหกที่อ้างว่าสีขาวซึ่งทำได้เป็นการทำผิดศีลธรรมจรรยา
ธนาธิปไตย (Plutocracy) ได้แก่ เงินเป็นทั้งเป้าหมายในการกระทำทุกอย่างและการใช้เงินปูทางไปสู่เป้าหมายนั้นโดยเฉพาะการเข้าถึงอำนาจรัฐ การใช้เงินจ้างนักเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อสนับสนุนผู้บงการและการซื้อสิทธิขายเสียงเป็นส่วนประกอบสำคัญ นอกจากนั้น ยังมีมาตรการอีกมาก เช่น การแต่งตั้งผู้สนับสนุนไปดำรงตำแหน่งต่างๆ รวมทั้งกรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ การใช้เงินโน้มน้าวองค์กรเอกชน บุคคล สื่อและนักวิชาการเพื่อจูงใจให้พวกเขาสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลแบบผิด ๆ และไร้จิตสำนึก
ญาติกาธิปไตย (Cronyismocracy) ได้แก่ การแต่งตั้งญาติพี่น้องและพวกพ้องให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ และการกระทำทุกอย่างเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มนี้เป็นหลักนอกเหนือจากของตัวผู้บงการเอง
ประชานิยมาธิปไตย (Populismocracy) คือ การมอมเมาประชาชนด้วยมาตรการและโครงการประชานิยมซึ่งเป็นการหยิบยื่นสิ่งต่างๆ ให้ประชาชนแบบให้เปล่าโดยซุกซ่อนที่มาและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการหยิบยื่นเหล่านั้นไว้อย่างแยบยล ตั้งแต่ปี 2544 โครงการจำพวกนี้ทยอยออกมาแบบไม่ขาดสาย โครงการสุดท้ายที่จะทำลายประเทศไทยแบบราบคาบคือโครงการรับจำนำข้าว
หากพิจารณาดูดีๆ จะเห็นว่าส่วนประกอบทั้งห้านี้มีอยู่ในสังคมไทยมานานแล้วยกเว้น “ประชานิยมาธิปไตย” สังคมไทยบริหารด้วยระบอบเผด็จการมานมนานรวมทั้งในช่วงที่มีรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งหลายต่อหลายครั้งด้วย ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาก็เช่นกัน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ยังเป็นเผด็จการเสียเป็นส่วนใหญ่โดยมีทักษิณเป็นผู้บงการทุกอย่างอยู่ข้างหลังรัฐบาล หรือ เป็นผู้ก่อเหตุการณ์ที่รัฐบาลต้องตอบโต้ หรือไม่ก็ต้องตอบสนอง ส่วนทางด้านการใช้ความฉ้อฉลนั้นมิได้อยู่เฉพาะในวงการบริหารบ้านเมืองเท่านั้น มันแทรกซึมอยู่ทั่วไปในสังคมไทย ซึ่งได้แก่ การไม่ทำตามกฎเกณฑ์ของสังคมไม่ว่าจะเป็นการทำผิดกฎจราจรเป็นรายวัน หรือการทิ้งขยะลงไปในแม่น้ำลำคลอง
ในด้านการใช้เงินนำหน้า หรือการบูชาเงิน หลังจากสังคมไทยได้วิวัฒน์จากสังคมเกษตรแบบพอมีพอกินเป็นส่วนใหญ่มาเป็นสังคมผสมระหว่างเกษตรเชิงเดี่ยว การท่องเที่ยวและบริการและการอุตสาหกรรม การใช้เงินมีความจำเป็นและได้รับการเน้นย้ำมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเงินกลายเป็นพระเจ้าที่เข้าไปแทรกอยู่ในทุกวงการ สำหรับการเล่นพวกเล่นพ้องนั้นก็มีมานานแล้ว ฉะนั้น ส่วนประกอบทั้งสี่ด้านนี้ฝังลึกอยู่ก่อนในสังคมไทย ทักษิณและพรรคพวกทำให้มันเข้มข้นยิ่งขึ้น
ประชานิยมาธิปไตยเป็นแนวนโยบายเลวร้ายซึ่งเป็นของใหม่สำหรับสังคมไทย อย่างไรก็ตาม คนไทยพอใจในการได้รับของเปล่าที่รัฐบาลหยิบยื่นให้ เพียงในเวลาไม่นาน คนไทยส่วนใหญ่จึงเสพมันจนติดงอมแงม เฉกเช่นยาเสพติดทั้งหลาย เมื่อติดแล้วเลิกยาก เรื่องนี้มีตัวอย่างมากมายซึ่งชี้ชัดว่าสังคมจะล้มละลายเมื่อเวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง ประเทศในละตินอเมริกาโดยเฉพาะอาร์เจนตินาและเวเนซุเอลาเป็นตัวอย่างที่มักยกมาอ้างกันเสมอ
โดยสรุป ระบอบทักษิณจะอยู่กับสังคมไทยต่อไปไม่ว่าทักษิณจะอยู่หรือลงเวทีไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้ที่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสดใสขึ้นมาทันทีเมื่อบนเวทีไม่มีทักษิณ ชินวัตร เป็นการคิดผิดถนัดทีเดียว การขุดรากถอนโคนส่วนประกอบทั้งห้าจะยากยิ่งกว่าการขับไล่ทักษิณลงจากเวทีหลายเท่านัก คนไทยจึงควรตระหนักและออกมาช่วยกัน มิฉะนั้น ความคาดหวังจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย
ที่มา:http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/sawai/20131206/547824/ล้างระบอบทักษิณเป็นโจทย์แสนหินสำหรับคนไทย.html