กระทู้นี้ไม่ใช่ข้อเขียนของผม, แต่เป็นบทความ ของ Raja Petra Kamarudin จากเวบ
http://www.malaysia-today.net/mtcolumns/no-holds-barred/60441-as-i-was-saying
ซึ่งเขียนไว้ใน
The Ant Daily เมื่อ November 14th, 2013 ว่า ดังนี้:
เพื่อนมุสลิมชาวมาเลย์ของผมหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของผมในเรื่องความเชื่อในเรื่องศาสนาของขาวมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อของชาวมาเลย์, และเขาเหล่านั้นได้บอกกับผมเช่นนั้น อย่างไม่มีข้อสงสัย,แต่บางคนถึงกับโจมตีผมถึงทัศนะที่โง่เขลา,ขาดความรู้ในเรื่องอิสลามของผมและแนะนำให้ผมไปศึกษาศาสนาอิสลามให้เข้าใจมากขึ้นก่อนที่จะออกความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม
วันนี้, อดีต Perlis Mufti, Professor Datuk Dr Asri Zainal Abidin,ได้กล่าวยืนยันสิ่งที่ผมได้กล่าวอยู่เสมอมา(อย่างน้อยก็หนึ่งสิ่งที่ผมกล่าวอยู่บ่อยๆ)เป็นเวลานานพอสมควร, และส่วนมากก็เกี่ยวกับความแตกแยกภายในศาสนาอิสลาม (บวกความแตกต่าง ระหว่างชาวมุสลิมและชาวยิว / คริสเตียน)ซึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองและไม่เกี่ยวกับความเชื่อหรือศาสนา
อย่างไรก็ตามท่านทั้งหลายสามารถที่จะอ่านได้จากสิ่งที่รายงานไว้ข้างล่างนี้ (จากลิ้งค์ข้างล่าง)
ประเด็นที่ผมได้กล่าวถึงมาเป็นเวลานาน, มาถึงตอนนี้ก็คือว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของสหพันธรัฐ (หมายถึงมันเป็นศาสนาอย่างเป็นทางการของมาเลเซีย) ดังนั้นเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการพูดคุยเกี่ยวกับศาสนาอิสลามโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศาสนาอิสลามมีผลต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริงและมีอิทธิพลต่อ (และบางครั้งก็เป็นตัวกำหนด) นโยบายของรัฐบาลในการตัดสินใจของศาลและในเรื่องอื่น ๆ
กล่าวอย่างสั้นๆ ก็คือ ศาสนาอิสลามจะเป็นสิ่งที่กำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศมาเลเซียและทิศทางที่จะนำมาเลเซียก้าวไปข้างหน้า, ดังนั้นเราจึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่ไวต่อความสำคัญในสิ่งที่ถูกกล่าวถึงและการปฏิบัติต่อศาสนาอิสลาม,และเราจะไม่มีทางเลือกนอกจากจะร่วมใน วาทกรรมที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม, ถ้าหากว่าศาสนาอิสลามเป็นของส่วนตัวของแต่ละคนแล้ว เราอาจจะเพิกเฉยได้, แต่ทั้งนี้เพราะว่าศาสนาอิสลามไม่ใช่เรื่องส่วนตัวสำหรับเราชาวมาเลย์, ศาสนาอิสลามสัมผ้สฃีวิตของมุสลิมเราและรวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมด้วย
ในเรื่องนี้ชาวมาเลย์มุสลิมควรจะเข้าใจว่า ถ้าพวกท่านแยกศาสนาอิสลามออกจากหลักสำคัญของสังคมหรือการปกครองแล้วเรื่องศาสนาจะเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคล, ไม่มีความจำเป็นจะต้องนำมาถกปัญหากันในที่สาธารณะ, แต่เมื่อเราลากหรือดึงศาสนาเข้ามาเป็นหลักสำคัญของสังคมหรือการปกครองแล้ว เมื่อนั้นสาธารณชนจะหารือหรือถกเถียงในเรื่องของอิสลาม, และเมื่อมีการถกเถียงกัน ทัศนะจะแยกออกเป็นสองอย่างคือ มีทั้งในทางบวกและในทางลบ
อะไรก็ตาม Dr Asri ได้ชี้ให้เห็นว่า ส่วนมากความเชื่อของชาวมาเลย์ในเรื่องของศาสนาอิสลามนั้น ถูกบิดเบือนและให้คำแนะนำที่ผิดทาง, วันนี้ Dr Asri กล่าวถึงเรื่อง วันอาซูรอ และ ความแตกแยกของซุนนีย์มุสลิมและชีอะต์มุสลิม, อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่แต่เพียงความเชื่อที่ผิดทั้งสองอย่าง, แต่ยังมีปัญหาอื่นอีกมากที่บางเรื่องผมได้กล่าวไปแล้วในอดีต
มุสลิมควรที่จะทบทวนประเมินความเชื่อในเรื่องศาสนา สิ่งที่เชื่อไม่ใช่ว่าจะถูกต้องทั้งหมด,คำสอนส่วนมากถูกบิดเบน มาเป็นเวลานานกว่า 1000 ปี เพื่อที่จะให้เข้ากับวาระทางการเมืองตลอดเวลาที่ผ่านมา, จากฮาดีษจำนวน 700,000 ฮาดีษ, ได้ถูกกลั่นกรองลงมาเหลือเพียง 7,000 ฮาดีษซึ่งลดลงมาเป็นจำนวนน้อยกว่า 1.0%, แม้กระนั้นก็ตามเมื่อเราพิจารณาตัดฮาดีษที่ คาบเกี่ยวหรือซ้ำกันออกไปแล้ว, มันจะลดลงมาถึงจำนวนที่น้อยกว่า 5000 ฮาดีษ,หรือ แค่ 0.7% และบางนิกายในศาสนาอิสลามก็ยอมรับเพียง 500 ฮาดีษ,หรือ ไม่ก็ปฏิเสธฮาดีษ ทั้งหมดเลย.
เป็นที่เชื่อกันว่า”ฮาดีษ ส่วนมากที่มาก ถูกสร้างขึ้นโดย "spin doctor" 'ในช่วงเวลา ระหว่างการแตกแยกของมุสลิมและสงครามกลางเมือง, ดังนั้นฮาดีษส่วนมากจึงเป็นที่น่าสงสัย, และเนื่องจากฮาดีษนั้นมีความสำคัญมากทั้งนี้เพราะว่าเมื่อกล่าวถึง คัมภีร์อัลกุรอานแล้วชาวมุสลิม จะมีความพร้อมใจกัน,ยึดมั่นเป็นหนึ่งเดียว,แต่ฮาดีษเป็นสิ่งที่ทำให้มุสลิมแตกแยกกัน และก็ฮาดีษอีกนั้นแหละที่ทำให้ชาวมุสลิมทำในสิ่งที่คัมภีร์อัลกุรอานห้ามไม่ให้กระทำ, ดังนั้นปัญหาในเรื่อง “ฮาดีษ” จึงไม่อาจจะละเลยได้
............................................................................
อ่านเรื่อง “ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมและการถือปฏิบัติศาสนกิจ”
โดย: Professor Datuk Dr Asri Zainal Abidin จากลิ้งค์ข้างล่างนี้
Differentiate between cultural and religious practices
http://www.malaysia-today.net/mtcolumns/no-holds-barred/60441-as-i-was-saying
"ทัศนะเกี่ยวกับศาสนาอิสลามของเพื่อนบ้าน"
http://www.malaysia-today.net/mtcolumns/no-holds-barred/60441-as-i-was-saying
ซึ่งเขียนไว้ใน The Ant Daily เมื่อ November 14th, 2013 ว่า ดังนี้:
เพื่อนมุสลิมชาวมาเลย์ของผมหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของผมในเรื่องความเชื่อในเรื่องศาสนาของขาวมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อของชาวมาเลย์, และเขาเหล่านั้นได้บอกกับผมเช่นนั้น อย่างไม่มีข้อสงสัย,แต่บางคนถึงกับโจมตีผมถึงทัศนะที่โง่เขลา,ขาดความรู้ในเรื่องอิสลามของผมและแนะนำให้ผมไปศึกษาศาสนาอิสลามให้เข้าใจมากขึ้นก่อนที่จะออกความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม
วันนี้, อดีต Perlis Mufti, Professor Datuk Dr Asri Zainal Abidin,ได้กล่าวยืนยันสิ่งที่ผมได้กล่าวอยู่เสมอมา(อย่างน้อยก็หนึ่งสิ่งที่ผมกล่าวอยู่บ่อยๆ)เป็นเวลานานพอสมควร, และส่วนมากก็เกี่ยวกับความแตกแยกภายในศาสนาอิสลาม (บวกความแตกต่าง ระหว่างชาวมุสลิมและชาวยิว / คริสเตียน)ซึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองและไม่เกี่ยวกับความเชื่อหรือศาสนา
อย่างไรก็ตามท่านทั้งหลายสามารถที่จะอ่านได้จากสิ่งที่รายงานไว้ข้างล่างนี้ (จากลิ้งค์ข้างล่าง)
ประเด็นที่ผมได้กล่าวถึงมาเป็นเวลานาน, มาถึงตอนนี้ก็คือว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของสหพันธรัฐ (หมายถึงมันเป็นศาสนาอย่างเป็นทางการของมาเลเซีย) ดังนั้นเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการพูดคุยเกี่ยวกับศาสนาอิสลามโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศาสนาอิสลามมีผลต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริงและมีอิทธิพลต่อ (และบางครั้งก็เป็นตัวกำหนด) นโยบายของรัฐบาลในการตัดสินใจของศาลและในเรื่องอื่น ๆ
กล่าวอย่างสั้นๆ ก็คือ ศาสนาอิสลามจะเป็นสิ่งที่กำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศมาเลเซียและทิศทางที่จะนำมาเลเซียก้าวไปข้างหน้า, ดังนั้นเราจึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่ไวต่อความสำคัญในสิ่งที่ถูกกล่าวถึงและการปฏิบัติต่อศาสนาอิสลาม,และเราจะไม่มีทางเลือกนอกจากจะร่วมใน วาทกรรมที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม, ถ้าหากว่าศาสนาอิสลามเป็นของส่วนตัวของแต่ละคนแล้ว เราอาจจะเพิกเฉยได้, แต่ทั้งนี้เพราะว่าศาสนาอิสลามไม่ใช่เรื่องส่วนตัวสำหรับเราชาวมาเลย์, ศาสนาอิสลามสัมผ้สฃีวิตของมุสลิมเราและรวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมด้วย
ในเรื่องนี้ชาวมาเลย์มุสลิมควรจะเข้าใจว่า ถ้าพวกท่านแยกศาสนาอิสลามออกจากหลักสำคัญของสังคมหรือการปกครองแล้วเรื่องศาสนาจะเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคล, ไม่มีความจำเป็นจะต้องนำมาถกปัญหากันในที่สาธารณะ, แต่เมื่อเราลากหรือดึงศาสนาเข้ามาเป็นหลักสำคัญของสังคมหรือการปกครองแล้ว เมื่อนั้นสาธารณชนจะหารือหรือถกเถียงในเรื่องของอิสลาม, และเมื่อมีการถกเถียงกัน ทัศนะจะแยกออกเป็นสองอย่างคือ มีทั้งในทางบวกและในทางลบ
อะไรก็ตาม Dr Asri ได้ชี้ให้เห็นว่า ส่วนมากความเชื่อของชาวมาเลย์ในเรื่องของศาสนาอิสลามนั้น ถูกบิดเบือนและให้คำแนะนำที่ผิดทาง, วันนี้ Dr Asri กล่าวถึงเรื่อง วันอาซูรอ และ ความแตกแยกของซุนนีย์มุสลิมและชีอะต์มุสลิม, อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่แต่เพียงความเชื่อที่ผิดทั้งสองอย่าง, แต่ยังมีปัญหาอื่นอีกมากที่บางเรื่องผมได้กล่าวไปแล้วในอดีต
มุสลิมควรที่จะทบทวนประเมินความเชื่อในเรื่องศาสนา สิ่งที่เชื่อไม่ใช่ว่าจะถูกต้องทั้งหมด,คำสอนส่วนมากถูกบิดเบน มาเป็นเวลานานกว่า 1000 ปี เพื่อที่จะให้เข้ากับวาระทางการเมืองตลอดเวลาที่ผ่านมา, จากฮาดีษจำนวน 700,000 ฮาดีษ, ได้ถูกกลั่นกรองลงมาเหลือเพียง 7,000 ฮาดีษซึ่งลดลงมาเป็นจำนวนน้อยกว่า 1.0%, แม้กระนั้นก็ตามเมื่อเราพิจารณาตัดฮาดีษที่ คาบเกี่ยวหรือซ้ำกันออกไปแล้ว, มันจะลดลงมาถึงจำนวนที่น้อยกว่า 5000 ฮาดีษ,หรือ แค่ 0.7% และบางนิกายในศาสนาอิสลามก็ยอมรับเพียง 500 ฮาดีษ,หรือ ไม่ก็ปฏิเสธฮาดีษ ทั้งหมดเลย.
เป็นที่เชื่อกันว่า”ฮาดีษ ส่วนมากที่มาก ถูกสร้างขึ้นโดย "spin doctor" 'ในช่วงเวลา ระหว่างการแตกแยกของมุสลิมและสงครามกลางเมือง, ดังนั้นฮาดีษส่วนมากจึงเป็นที่น่าสงสัย, และเนื่องจากฮาดีษนั้นมีความสำคัญมากทั้งนี้เพราะว่าเมื่อกล่าวถึง คัมภีร์อัลกุรอานแล้วชาวมุสลิม จะมีความพร้อมใจกัน,ยึดมั่นเป็นหนึ่งเดียว,แต่ฮาดีษเป็นสิ่งที่ทำให้มุสลิมแตกแยกกัน และก็ฮาดีษอีกนั้นแหละที่ทำให้ชาวมุสลิมทำในสิ่งที่คัมภีร์อัลกุรอานห้ามไม่ให้กระทำ, ดังนั้นปัญหาในเรื่อง “ฮาดีษ” จึงไม่อาจจะละเลยได้
............................................................................
อ่านเรื่อง “ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมและการถือปฏิบัติศาสนกิจ”
โดย: Professor Datuk Dr Asri Zainal Abidin จากลิ้งค์ข้างล่างนี้
Differentiate between cultural and religious practices
http://www.malaysia-today.net/mtcolumns/no-holds-barred/60441-as-i-was-saying