หุ้น 10 เด้ง
ธันวาคม 8, 201 Posted by ดร.นิเวศน์ /
http://www.thaivi.org/
บทความเมื่อสัปดาห์ก่อนของผมพูดถึง “หุ้นผู้บริโภค” ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นในปัจจุบันว่าเป็น หุ้นที่เป็น “ผู้ชนะ” ในแง่ที่มันได้เติบโตขึ้นมาจนมีขนาดใหญ่มาก สัดส่วนของหุ้นผู้บริโภคในตลาดหุ้นคิดตาม Market Cap. หรือมูลค่าตลาดนั้นเพิ่มขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มอื่นโดยเฉพาะหุ้นของบริษัทผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ในบทความนั้น ผมพูดถึงหุ้นผู้บริโภคขนาดใหญ่จำนวนประมาณเกือบ 30 ตัว ในบทความนี้ ผมจะมองย้อนหลังไป 10 ปี และดูว่ามีหุ้นตัวไหนบ้างที่เติบโตขึ้นมากจนมีมูลค่าตลาดโตขึ้นเป็น 10 เท่าขึ้นไป หรือเป็นหุ้น “10 เด้ง” ซึ่งเท่ากับการที่หุ้นให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปีแบบทบต้นและสามารถเรียกว่าเป็นหุ้น “Super Stock” ได้
หุ้นตัวแรกก็คือ หุ้น MINT ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีราคาเพียง 1.99 บาท จนถึงช่วงปัจจุบันมีราคา 24 บาท เท่ากับราคาปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 12 เท่า นี่คือหุ้นที่ทำกิจการภัตตาคารทั้งที่เป็นอาหารจานด่วน อาหารทั่วไป ร้านไอศกรีม และอีกครึ่งหนึ่งทำกิจการโรงแรมที่มีเครือข่ายกว้างขวางและขยายไปทั่วโลก ส่วนหุ้นตัวที่สองก็คือหุ้น CENTEL ซึ่งก็เป็นบริษัทที่ทำกิจการแบบเดียวกับหุ้น MINT เกือบจะทุกประการ หุ้น CENTEL ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคา 2.15 บาทเป็น 36 บาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 16.7 เท่าในเวลา 10 ปี
หุ้นตัวต่อมาคือหุ้น SCBLIF ซึ่งทำกิจการประกันชีวิตซึ่งมีการเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดให้ธนาคารเข้ามาเป็นผู้ขายประกันให้กับลูกค้าของธนาคารได้ ส่งผลให้ SCBLIF ซึ่งอยู่ในเครือแบงค์ขนาดใหญ่ในขณะนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว ราคาหุ้นของ SCBLIF ปรับเพิ่มขึ้นจาก 13.28 บาทกลายเป็น 1046 บาท หรือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬารถึง 78.8 เท่า ถึงแม้ว่าราคาที่ประมาณ 13 บาทนั้นจะไม่ใคร่มีการซื้อขาย และราคาที่เริ่มมีการซื้อขายในช่วง 7- 8 ปีที่ผ่านมาจะเป็นประมาณ 70 กว่าบาท หุ้นตัวนี้ก็ยังเป็นหุ้น 10 เด้ง อยู่ดี
หุ้นกลุ่มที่มีหุ้น 10 เด้งมากที่สุด และเป็นหุ้นขนาดใหญ่ทุกตัวที่ผมได้กล่าวถึงก็คือหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ซึ่งประกอบด้วยหุ้น BIGC CPALL MAKRO HMPRO และ ROBINS โดยที่หุ้น BIGC ปรับตัวขึ้นจาก 18.1 บาทเมื่อ 10 ปีที่แล้วเป็น 185 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 10.2 เท่า หุ้น CPALL เพิ่มขึ้นจาก 3.03 บาทเป็น 41.75 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 13.8 เท่า หุ้น MAKRO เพิ่มขึ้นจาก 2.4 บาทเป็น 32.75 บาท หรือเพิ่มเป็น 13.7 เท่า หุ้น HMPRO เพิ่มขึ้นมหาศาลจาก 0.49 บาท เป็น 10.6 บาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 21.6 เท่าในเวลา 10 ปี และสุดท้ายหุ้น ROBINS ที่เพิ่มขึ้นจาก 3.5 บาทเป็น 53 บาทหรือเพิ่มขึ้น 15.1 เท่า
หุ้นโรงพยาบาลที่โตขึ้นเป็นหุ้น 10 เด้งก็คือหุ้น BGH ซึ่งโตขึ้นจาก 6.66 บาทเป็น 129.5 บาทหรือเพิ่มขึ้นมากถึง 19.4 เท่า และนี่ก็คือหุ้นของโรงพยาบาลที่โตขึ้นเร็วมากด้วยกลยุทธ์การเทคโอเวอร์โรงพยาบาลทั่วประเทศ กลายเป็นเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่ “ระดับโลก” โดยที่ยังไม่ได้มีท่าทีว่าจะหยุด
หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่น่าสนใจเนื่องจากมีหุ้นขนาดใหญ่มากอยู่หลายตัวก็คือหุ้นในกลุ่มสื่อสาร ถ้ามองย้อนหลังไป 10 ปี กลับพบว่าไม่มีหุ้นตัวไหนที่เป็นหุ้น 10 เด้งเลยสำหรับหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่บอกว่าหุ้นในกลุ่มสื่อสารขนาดใหญ่นั้น ในอดีตก็ใหญ่มากอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้น TRUE นั้น ในช่วงปลายปี 2551 มีราคาเพียง 0.81 บาท ในขณะนี้ที่ช่วงปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 9.05 บาทหรือเพิ่มขึ้นเป็น 11.2 เท่า เช่นเดียวกับหุ้น JAS ในช่วงต้นปี 2552 ก็มีราคาประมาณ 0.37 บาท และปรับเพิ่มขึ้นในปัจจุบันเป็น 7.9 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 21.4 เท่า
นอกจากหุ้น 10 เด้ง ดังที่กล่าวถึงแล้ว หุ้นผู้บริโภคขนาดใหญ่บางตัวก็มีการเติบโตขึ้นมากเป็นหลายเท่าในช่วง 10 ปี โดยหุ้นตัวแรกก็คือ หุ้น CPF ที่ราคาปรับขึ้นจาก 3.9 บาทเป็น 27.5 บาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 7 เท่า หุ้นตัวที่สองคือหุ้น CPN ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.75 บาทเป็น 42 บาท หรือเพิ่มขึ้น 8.8 เท่า ในเวลา 10 ปี และสุดท้ายคือหุ้น BH ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 12.3 บาท เป็น 90 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 7.3 เท่า และนี่ก็คือหุ้นที่โตประมาณ ปีละ 20% เศษ ๆ แบบทบต้นในเวลา 10 ปี ซึ่งต้องถือว่าเป็น หุ้นที่ “ยิ่งใหญ่” ได้
หุ้นชุดสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือหุ้นที่โตประมาณปีละ 15% แบบทบต้นเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นหุ้นที่ดีเยี่ยมประกอบไปด้วยหุ้น PS ที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.86 บาทเป็น 20.3 บาทหรือโตขึ้นเป็น 4.2 เท่าในเวลา 10 ปี หุ้น LPN ที่โตขึ้นจาก 3.71 บาทเป็น 18.7 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า หุ้น JAS ที่เพิ่มขึ้นจาก 1.41 บาทเป็น 7.9 บาท หรือเพิ่มขึ้น 5.6 เท่าในเวลา 10 ปี
หุ้น 10 เด้ง ในเวลา 10 ปี ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น ผมเห็นว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม “หุ้นเติบโต” หรือเป็น Growth Stock และเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ในแง่ที่มันเป็นกิจการที่แข็งแกร่งเป็นผู้นำโดยเฉพาะในด้านของฐานะทางการตลาด อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็น “เมกาเทรนด์” ที่ยังเติบโตได้ดีไปอีกหลาย ๆ ปีและมีศักยภาพสูงในแง่ที่ว่าตลาดในอนาคตยังเติบโตต่อไปได้อีกมาก มีผลประกอบการที่มั่นคงสม่ำเสมอ มีคุณสมบัติทางธุรกิจที่ดีเยี่ยมอื่น ๆ เช่น เป็นกิจการที่มีกระแสเงินสดที่ดีมาก มีกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE ในระดับที่สูง และสุดท้ายก็คือ เป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่พอสมควรในช่วงก่อนที่มันจะเริ่มเติบโตกลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่หรือใหญ่มากในปัจจุบันซึ่งทำให้มันเป็นหุ้นที่นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในจำนวนที่มีนัยสำคัญได้ในช่วงที่ราคาหุ้นยังต่ำอยู่ พูดง่าย ๆ หุ้น 10 เด้งที่พบนั้น ไม่ใช่กิจการขนาดเล็กที่มีความเสี่ยงสูง สำหรับนักลงทุนทั่ว ๆ ไปแล้ว นี่คือหุ้นดีที่ลงทุนได้อย่างสบายใจและให้ผลตอบแทนสุดยอดในระยะยาว
แน่นอนว่าหุ้นที่กลายเป็นหุ้น 10 เด้งในเวลา 10 ปีในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมานั้น ไม่ได้มีเฉพาะซุปเปอร์สต็อกดังที่กล่าวเท่านั้น มีหุ้นอีกจำนวนไม่น้อยที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าหรือมากกว่านั้นโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กถึงเล็กมากที่โตขึ้นมากและสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนมหาศาลในเวลาอันสั้น หุ้นเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วก็คือหุ้นกลุ่ม “Turnaround” หรือหุ้นที่เคยมีปัญหาหนักแทบเอาตัวไม่รอดแต่ในที่สุดก็ “ฟื้นตัว” ด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น หันไปทำธุรกิจใหม่หรือแก้ไขปัญหาทางการเงินสำเร็จ หรือแก้ไขหรือปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจจนสามารถฟื้นผลการดำเนินงานของกิจการขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นเหล่านี้ บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะสามารถซื้อหุ้นจำนวนมากในราคาที่ต่ำมากได้เนื่องจากสภาพคล่องในการซื้อขายอาจจะน้อยมาก นอกจากนั้น ก็เป็นเรื่องของความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงหากกิจการไม่ฟื้นและต้องเพิ่มทุนมหาศาลซึ่งจะ Dilute หรือลดสัดส่วนหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมลงไปมาก
หุ้น 10 เด้งอีกกลุ่มหนึ่งถ้าจะมีก็คือ หุ้น “Cyclical” หรือหุ้นวัฏจักร ซึ่งมักเป็นหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโภคภัณฑ์ที่มีราคาผันผวนรุนแรง ในยามที่ราคาสินค้าตกต่ำสุดขีดนั้น ราคาหุ้นก็มักจะตกต่ำลงไปมากอย่างไม่น่าเชื่อ และนั่นก็คือจุดที่จะทำให้มันกลายเป็นหุ้น “10 เด้ง” ถ้าราคาสินค้าเริ่มเปลี่ยนทิศอย่างแรงซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตาม และในบางครั้งมากเป็น 10 เท่าในเวลาอันสั้น ประเด็นก็คือ หุ้นวัฏจักรนั้น ราคาที่สูงขึ้นเป็น 10 เท่านั้น อาจจะไม่สามารถยืนอยู่ได้นาน เมื่อ “หมดรอบ” มันก็มักจะปรับตัวลงอย่างแรงซึ่งทำให้การลงทุนโดยเฉพาะในยามที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงแล้วกลายเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก ดังนั้น สำหรับนักลงทุนทั่ว ๆ ไปแล้วก็เป็นเรื่องยากที่จะทำกำไรจากหุ้นในกลุ่มนี้
https://www.facebook.com/#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376
หุ้น 10 เด้ง-ดร.นิเวศน์
ธันวาคม 8, 201 Posted by ดร.นิเวศน์ / http://www.thaivi.org/
บทความเมื่อสัปดาห์ก่อนของผมพูดถึง “หุ้นผู้บริโภค” ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นในปัจจุบันว่าเป็น หุ้นที่เป็น “ผู้ชนะ” ในแง่ที่มันได้เติบโตขึ้นมาจนมีขนาดใหญ่มาก สัดส่วนของหุ้นผู้บริโภคในตลาดหุ้นคิดตาม Market Cap. หรือมูลค่าตลาดนั้นเพิ่มขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มอื่นโดยเฉพาะหุ้นของบริษัทผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ในบทความนั้น ผมพูดถึงหุ้นผู้บริโภคขนาดใหญ่จำนวนประมาณเกือบ 30 ตัว ในบทความนี้ ผมจะมองย้อนหลังไป 10 ปี และดูว่ามีหุ้นตัวไหนบ้างที่เติบโตขึ้นมากจนมีมูลค่าตลาดโตขึ้นเป็น 10 เท่าขึ้นไป หรือเป็นหุ้น “10 เด้ง” ซึ่งเท่ากับการที่หุ้นให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปีแบบทบต้นและสามารถเรียกว่าเป็นหุ้น “Super Stock” ได้
หุ้นตัวแรกก็คือ หุ้น MINT ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีราคาเพียง 1.99 บาท จนถึงช่วงปัจจุบันมีราคา 24 บาท เท่ากับราคาปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 12 เท่า นี่คือหุ้นที่ทำกิจการภัตตาคารทั้งที่เป็นอาหารจานด่วน อาหารทั่วไป ร้านไอศกรีม และอีกครึ่งหนึ่งทำกิจการโรงแรมที่มีเครือข่ายกว้างขวางและขยายไปทั่วโลก ส่วนหุ้นตัวที่สองก็คือหุ้น CENTEL ซึ่งก็เป็นบริษัทที่ทำกิจการแบบเดียวกับหุ้น MINT เกือบจะทุกประการ หุ้น CENTEL ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคา 2.15 บาทเป็น 36 บาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 16.7 เท่าในเวลา 10 ปี
หุ้นตัวต่อมาคือหุ้น SCBLIF ซึ่งทำกิจการประกันชีวิตซึ่งมีการเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดให้ธนาคารเข้ามาเป็นผู้ขายประกันให้กับลูกค้าของธนาคารได้ ส่งผลให้ SCBLIF ซึ่งอยู่ในเครือแบงค์ขนาดใหญ่ในขณะนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว ราคาหุ้นของ SCBLIF ปรับเพิ่มขึ้นจาก 13.28 บาทกลายเป็น 1046 บาท หรือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬารถึง 78.8 เท่า ถึงแม้ว่าราคาที่ประมาณ 13 บาทนั้นจะไม่ใคร่มีการซื้อขาย และราคาที่เริ่มมีการซื้อขายในช่วง 7- 8 ปีที่ผ่านมาจะเป็นประมาณ 70 กว่าบาท หุ้นตัวนี้ก็ยังเป็นหุ้น 10 เด้ง อยู่ดี
หุ้นกลุ่มที่มีหุ้น 10 เด้งมากที่สุด และเป็นหุ้นขนาดใหญ่ทุกตัวที่ผมได้กล่าวถึงก็คือหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ซึ่งประกอบด้วยหุ้น BIGC CPALL MAKRO HMPRO และ ROBINS โดยที่หุ้น BIGC ปรับตัวขึ้นจาก 18.1 บาทเมื่อ 10 ปีที่แล้วเป็น 185 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 10.2 เท่า หุ้น CPALL เพิ่มขึ้นจาก 3.03 บาทเป็น 41.75 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 13.8 เท่า หุ้น MAKRO เพิ่มขึ้นจาก 2.4 บาทเป็น 32.75 บาท หรือเพิ่มเป็น 13.7 เท่า หุ้น HMPRO เพิ่มขึ้นมหาศาลจาก 0.49 บาท เป็น 10.6 บาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 21.6 เท่าในเวลา 10 ปี และสุดท้ายหุ้น ROBINS ที่เพิ่มขึ้นจาก 3.5 บาทเป็น 53 บาทหรือเพิ่มขึ้น 15.1 เท่า
หุ้นโรงพยาบาลที่โตขึ้นเป็นหุ้น 10 เด้งก็คือหุ้น BGH ซึ่งโตขึ้นจาก 6.66 บาทเป็น 129.5 บาทหรือเพิ่มขึ้นมากถึง 19.4 เท่า และนี่ก็คือหุ้นของโรงพยาบาลที่โตขึ้นเร็วมากด้วยกลยุทธ์การเทคโอเวอร์โรงพยาบาลทั่วประเทศ กลายเป็นเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่ “ระดับโลก” โดยที่ยังไม่ได้มีท่าทีว่าจะหยุด
หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่น่าสนใจเนื่องจากมีหุ้นขนาดใหญ่มากอยู่หลายตัวก็คือหุ้นในกลุ่มสื่อสาร ถ้ามองย้อนหลังไป 10 ปี กลับพบว่าไม่มีหุ้นตัวไหนที่เป็นหุ้น 10 เด้งเลยสำหรับหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่บอกว่าหุ้นในกลุ่มสื่อสารขนาดใหญ่นั้น ในอดีตก็ใหญ่มากอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้น TRUE นั้น ในช่วงปลายปี 2551 มีราคาเพียง 0.81 บาท ในขณะนี้ที่ช่วงปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 9.05 บาทหรือเพิ่มขึ้นเป็น 11.2 เท่า เช่นเดียวกับหุ้น JAS ในช่วงต้นปี 2552 ก็มีราคาประมาณ 0.37 บาท และปรับเพิ่มขึ้นในปัจจุบันเป็น 7.9 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 21.4 เท่า
นอกจากหุ้น 10 เด้ง ดังที่กล่าวถึงแล้ว หุ้นผู้บริโภคขนาดใหญ่บางตัวก็มีการเติบโตขึ้นมากเป็นหลายเท่าในช่วง 10 ปี โดยหุ้นตัวแรกก็คือ หุ้น CPF ที่ราคาปรับขึ้นจาก 3.9 บาทเป็น 27.5 บาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 7 เท่า หุ้นตัวที่สองคือหุ้น CPN ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.75 บาทเป็น 42 บาท หรือเพิ่มขึ้น 8.8 เท่า ในเวลา 10 ปี และสุดท้ายคือหุ้น BH ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 12.3 บาท เป็น 90 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 7.3 เท่า และนี่ก็คือหุ้นที่โตประมาณ ปีละ 20% เศษ ๆ แบบทบต้นในเวลา 10 ปี ซึ่งต้องถือว่าเป็น หุ้นที่ “ยิ่งใหญ่” ได้
หุ้นชุดสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือหุ้นที่โตประมาณปีละ 15% แบบทบต้นเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นหุ้นที่ดีเยี่ยมประกอบไปด้วยหุ้น PS ที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.86 บาทเป็น 20.3 บาทหรือโตขึ้นเป็น 4.2 เท่าในเวลา 10 ปี หุ้น LPN ที่โตขึ้นจาก 3.71 บาทเป็น 18.7 บาท หรือเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า หุ้น JAS ที่เพิ่มขึ้นจาก 1.41 บาทเป็น 7.9 บาท หรือเพิ่มขึ้น 5.6 เท่าในเวลา 10 ปี
หุ้น 10 เด้ง ในเวลา 10 ปี ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น ผมเห็นว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม “หุ้นเติบโต” หรือเป็น Growth Stock และเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ในแง่ที่มันเป็นกิจการที่แข็งแกร่งเป็นผู้นำโดยเฉพาะในด้านของฐานะทางการตลาด อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็น “เมกาเทรนด์” ที่ยังเติบโตได้ดีไปอีกหลาย ๆ ปีและมีศักยภาพสูงในแง่ที่ว่าตลาดในอนาคตยังเติบโตต่อไปได้อีกมาก มีผลประกอบการที่มั่นคงสม่ำเสมอ มีคุณสมบัติทางธุรกิจที่ดีเยี่ยมอื่น ๆ เช่น เป็นกิจการที่มีกระแสเงินสดที่ดีมาก มีกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ ROE ในระดับที่สูง และสุดท้ายก็คือ เป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่พอสมควรในช่วงก่อนที่มันจะเริ่มเติบโตกลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่หรือใหญ่มากในปัจจุบันซึ่งทำให้มันเป็นหุ้นที่นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในจำนวนที่มีนัยสำคัญได้ในช่วงที่ราคาหุ้นยังต่ำอยู่ พูดง่าย ๆ หุ้น 10 เด้งที่พบนั้น ไม่ใช่กิจการขนาดเล็กที่มีความเสี่ยงสูง สำหรับนักลงทุนทั่ว ๆ ไปแล้ว นี่คือหุ้นดีที่ลงทุนได้อย่างสบายใจและให้ผลตอบแทนสุดยอดในระยะยาว
แน่นอนว่าหุ้นที่กลายเป็นหุ้น 10 เด้งในเวลา 10 ปีในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมานั้น ไม่ได้มีเฉพาะซุปเปอร์สต็อกดังที่กล่าวเท่านั้น มีหุ้นอีกจำนวนไม่น้อยที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าหรือมากกว่านั้นโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กถึงเล็กมากที่โตขึ้นมากและสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนมหาศาลในเวลาอันสั้น หุ้นเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วก็คือหุ้นกลุ่ม “Turnaround” หรือหุ้นที่เคยมีปัญหาหนักแทบเอาตัวไม่รอดแต่ในที่สุดก็ “ฟื้นตัว” ด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น หันไปทำธุรกิจใหม่หรือแก้ไขปัญหาทางการเงินสำเร็จ หรือแก้ไขหรือปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจจนสามารถฟื้นผลการดำเนินงานของกิจการขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นเหล่านี้ บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะสามารถซื้อหุ้นจำนวนมากในราคาที่ต่ำมากได้เนื่องจากสภาพคล่องในการซื้อขายอาจจะน้อยมาก นอกจากนั้น ก็เป็นเรื่องของความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงหากกิจการไม่ฟื้นและต้องเพิ่มทุนมหาศาลซึ่งจะ Dilute หรือลดสัดส่วนหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมลงไปมาก
หุ้น 10 เด้งอีกกลุ่มหนึ่งถ้าจะมีก็คือ หุ้น “Cyclical” หรือหุ้นวัฏจักร ซึ่งมักเป็นหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโภคภัณฑ์ที่มีราคาผันผวนรุนแรง ในยามที่ราคาสินค้าตกต่ำสุดขีดนั้น ราคาหุ้นก็มักจะตกต่ำลงไปมากอย่างไม่น่าเชื่อ และนั่นก็คือจุดที่จะทำให้มันกลายเป็นหุ้น “10 เด้ง” ถ้าราคาสินค้าเริ่มเปลี่ยนทิศอย่างแรงซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตาม และในบางครั้งมากเป็น 10 เท่าในเวลาอันสั้น ประเด็นก็คือ หุ้นวัฏจักรนั้น ราคาที่สูงขึ้นเป็น 10 เท่านั้น อาจจะไม่สามารถยืนอยู่ได้นาน เมื่อ “หมดรอบ” มันก็มักจะปรับตัวลงอย่างแรงซึ่งทำให้การลงทุนโดยเฉพาะในยามที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงแล้วกลายเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก ดังนั้น สำหรับนักลงทุนทั่ว ๆ ไปแล้วก็เป็นเรื่องยากที่จะทำกำไรจากหุ้นในกลุ่มนี้
https://www.facebook.com/#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376