ข้าราชการ คือกลุ่มคนที่อาสารับใช้ชาติและประชาชน แม้จะได้รับเงินเดือนน้อยกว่าภาคเอกชนหรือแม้กระทั่งพนักงานรัฐวิสาหกิจหลายเท่าตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนกลุ่มนี้ทำงานกินเงินเดือนน้อยเนื่องจากเห็นว่าเป็นอาชีพที่มั่นคง มีเกียรติ ความภาคภูมิใจและสวัสดิการที่ดี แต่วันนี้ รัฐบาลได้ทำลายความคิดดังกล่าวด้วยการผลักดันให้อาชีพราชการซึ่งเป็นเสมือนประชาชนชั้น 2 ให้ดำดิ่งด้อยลงไปอีก
ปัจจุบันนี้ กรมบัญชีกลางภายใต้นโยบายของรัฐบาลผ่านกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการคลัง ได้ออกระเบียบลิดรอนสิทธิในสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการมาโดยตลอด ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2556 ก็โดยกำหนดราคาเบิกจ่ายยาของยาชื่อสามัญที่สูงมาก และเบิกค่ายาต้นแบบเท่ากับต้นทุนที่จัดซื้อ ซึ่งจัดเป็นการลำเอียง เนื่องจากจะมีผลต่อคุณภาพและประสิทธิผลในการรักษา โดยเฉพาะยาบางรายการที่ไม่สามารถทดแทนกันได้ โดยอาจทำให้ผู้ป่วยมีระยะเวลาการรักษาที่นานขึ้น เพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อน และเป็นเหตุให้โรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยขาดความเชื่อมั่นว่าโรงพยาบาลอาจจะไม่สามารถจัดหายาที่เหมาะสมตามความจำเป็นทั้งยาต้นแบบ (original) และยาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานได้ เนื่องจากข้อบังคับของกรมบัญชีกลางมีการจำกัดสิทธิในการใช้ยา โดยถืองบประมาณและการประหยัดเป็นหลัก
สาเหตุ หลักที่ทำให้เกิดความยุ่งเหยิงและการลิดรอนสิทธิข้าราชการเรื่อยมาเป็นเพราะ การเปลี่ยนพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.2523 ตามสิทธิที่เคยได้รับ เนื่องจากเป็นพันธะสัญญาเดิมต่อข้าราชการที่เคยได้รับสิทธิก่อนปี พ.ศ.2553 เป็นพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.2553 ที่ให้กระทรวงการคลังผู้ซึ่งไม่มีความรู้ในเรื่องการรักษาพยาบาลเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ ประเภท และอัตราการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นเลิศในธุรกิจด้านการบริการ เช่น บริการการท่องเที่ยว แต่ส่วนที่เห็นได้ชัดเจนคืองานด้านสาธารณสุข จะพบว่ามีชาวต่างประเทศบินมารับการรักษาอย่างมาก อาจเรียกได้ว่ามีรายได้เข้าประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 1.4 แสนล้านบาท นั้นหมายความว่าการเข้ามาใช้นวัตกรรมและวิทยาการทางการแพทย์ไทยไม่ได้เป็นรองประเทศอื่น รวมทั้งราคาเมื่อเทียบกับต่างชาติก็มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า เมื่อเทียบคุณภาพทัดเทียมกัน รัฐได้ดูแลอุ้มชูผู้ด้อยโอกาส แรงงานต่างชาติเป็นอย่างดี และใช้งบประมาณไม่น้อยในด้านสาธารณสุข แต่ขณะที่รัฐพยายามจะลดงบประมาณของข้าราชการลง ซึ่งดูน่าจะไม่เป็นธรรมต่อข้าราชการ ครอบครัว และข้าราชการบำนาญเป็นอย่างยิ่ง
โดย – พลตรีหญิง พูลศรี เปาวรัตน์
ประธานชมรมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ
2 ธันวาคม 2556
http://peopleunitynews.com/web02/2013/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81/
บทความ // ข้าราชการไทยถูกรัฐบาลลดงบประมาณรักษาพยาบาล
ข้าราชการ คือกลุ่มคนที่อาสารับใช้ชาติและประชาชน แม้จะได้รับเงินเดือนน้อยกว่าภาคเอกชนหรือแม้กระทั่งพนักงานรัฐวิสาหกิจหลายเท่าตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนกลุ่มนี้ทำงานกินเงินเดือนน้อยเนื่องจากเห็นว่าเป็นอาชีพที่มั่นคง มีเกียรติ ความภาคภูมิใจและสวัสดิการที่ดี แต่วันนี้ รัฐบาลได้ทำลายความคิดดังกล่าวด้วยการผลักดันให้อาชีพราชการซึ่งเป็นเสมือนประชาชนชั้น 2 ให้ดำดิ่งด้อยลงไปอีก
ปัจจุบันนี้ กรมบัญชีกลางภายใต้นโยบายของรัฐบาลผ่านกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการคลัง ได้ออกระเบียบลิดรอนสิทธิในสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการมาโดยตลอด ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2556 ก็โดยกำหนดราคาเบิกจ่ายยาของยาชื่อสามัญที่สูงมาก และเบิกค่ายาต้นแบบเท่ากับต้นทุนที่จัดซื้อ ซึ่งจัดเป็นการลำเอียง เนื่องจากจะมีผลต่อคุณภาพและประสิทธิผลในการรักษา โดยเฉพาะยาบางรายการที่ไม่สามารถทดแทนกันได้ โดยอาจทำให้ผู้ป่วยมีระยะเวลาการรักษาที่นานขึ้น เพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อน และเป็นเหตุให้โรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยขาดความเชื่อมั่นว่าโรงพยาบาลอาจจะไม่สามารถจัดหายาที่เหมาะสมตามความจำเป็นทั้งยาต้นแบบ (original) และยาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานได้ เนื่องจากข้อบังคับของกรมบัญชีกลางมีการจำกัดสิทธิในการใช้ยา โดยถืองบประมาณและการประหยัดเป็นหลัก
สาเหตุ หลักที่ทำให้เกิดความยุ่งเหยิงและการลิดรอนสิทธิข้าราชการเรื่อยมาเป็นเพราะ การเปลี่ยนพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.2523 ตามสิทธิที่เคยได้รับ เนื่องจากเป็นพันธะสัญญาเดิมต่อข้าราชการที่เคยได้รับสิทธิก่อนปี พ.ศ.2553 เป็นพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.2553 ที่ให้กระทรวงการคลังผู้ซึ่งไม่มีความรู้ในเรื่องการรักษาพยาบาลเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ ประเภท และอัตราการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นเลิศในธุรกิจด้านการบริการ เช่น บริการการท่องเที่ยว แต่ส่วนที่เห็นได้ชัดเจนคืองานด้านสาธารณสุข จะพบว่ามีชาวต่างประเทศบินมารับการรักษาอย่างมาก อาจเรียกได้ว่ามีรายได้เข้าประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 1.4 แสนล้านบาท นั้นหมายความว่าการเข้ามาใช้นวัตกรรมและวิทยาการทางการแพทย์ไทยไม่ได้เป็นรองประเทศอื่น รวมทั้งราคาเมื่อเทียบกับต่างชาติก็มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า เมื่อเทียบคุณภาพทัดเทียมกัน รัฐได้ดูแลอุ้มชูผู้ด้อยโอกาส แรงงานต่างชาติเป็นอย่างดี และใช้งบประมาณไม่น้อยในด้านสาธารณสุข แต่ขณะที่รัฐพยายามจะลดงบประมาณของข้าราชการลง ซึ่งดูน่าจะไม่เป็นธรรมต่อข้าราชการ ครอบครัว และข้าราชการบำนาญเป็นอย่างยิ่ง
โดย – พลตรีหญิง พูลศรี เปาวรัตน์
ประธานชมรมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ
2 ธันวาคม 2556
http://peopleunitynews.com/web02/2013/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81/