สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
(ถ้าผิดกฎรบกวนบอกด้วยนะคะ จะแจ้งลบทันที)
คือจะบอกว่าใจเย็นๆ ให้น้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ดีใหมคะ
มันยังเป็นนักเรียนอยู่เลย ยิ่งทำเพลงเยอะตัวมันเองก็จะยิ่งเยอะ
ทั้งงาน ทั้งซ้อม ทั้งเรียน เรียนแบบนักเรียน จ-ศ 8.00-16.00 มันก็หนักหนาอยู่นะคะ
ขออนุญาติยกข้อความจาก การสัมภาษณ์หนังสือ CeCi Thailand ค่ะ
ขอบคุณ CeCi สำหรับบทสัมภาษณ์ชุดนี้เราชอบมากถึงมากที่สุดค่ะ
-----------------------------------------------
ยอมรับว่าเมื่อต้องคุยกับ ‘นนท์ ธนนท์’ ผู้ชนะคนแรกของรายการประกวดร้องเพลงเน้น (แค่) น้ำเสียงคุณภาพ The Voice Thailand ที่อายุแค่ 16 ปีในวันที่ชนะ และตอนนี้อายุเพียง 17 ฉันแอบเตรียมคำถาม ‘สำหรับเด็ก’ เอาไว้ให้เขาโดยเฉพาะ
แต่คำถามเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้ใช้ เพราะนี่คือเด็กอายุ 17 ที่มีความคิดความอ่านเหมือนคุณปู่อายุ 70 หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ นั้น นนท์ทำให้ฉัน ‘ซึ้ง’ ถึงสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า ‘Passion’ พร้อมๆ กับ ‘ทึ่ง’ ในความคิดแบบที่ผู้ใหญ่หลายคนคิดไม่ได้ มุมมองเรียบง่ายแต่เป็นจริง และเหนืออื่นใดคือความกตัญญู นี่คือหนึ่งในการพูดคุยที่ประทับใจที่สุดในหน้าที่การงานของฉัน... บอกเลย!
CeCi: เริ่มร้องเพลงตั้งแต่ตอนไหน
ตั้งแต่เด็กครับ 4 ขวบ อยู่อนุบาล 2 ถือไมค์ยืนหน้าตู้คาราโอเกะข้างบ้านแล้ว ร้องไปร้องมาก็บอกพ่อว่าอยากขึ้นเวทีร้องเพลง พ่อเลยเอาไปฝากกับครูที่ดูแลวงลูกทุ่งตั้งแต่อยู่ป.1 แล้วก็เริ่มเดินสายกับวง
CeCi : เด็กขนาดนั้น ชอบอะไรถึงได้จริงจังกับการร้องเพลง!
ร้านคาราโอเกะต่างจังหวัดจะมีพวกนักดื่มมานั่ง เขาก็แบบ... เอ้า หนู ร้องให้ฟังหน่อย พอเราร้องแล้วเขาหัวเราะ ไม่รู้ว่าเพราะเราตลก หรือร้องเพราะ หรืออะไร แต่เห็นเขามีความสุข เราชอบ แถมร้องจบเขาให้เงินมากินขนม บาทนึงบ้าง 5 บาท 10 บาท ผมเลยรู้สึกว่าการร้องเพลงไม่เบียดเบียนใคร แล้วยังช่วยพ่อแม่ได้ ถึงเงินจะน้อยแค่นี้ แต่ผมภูมิใจ
ประมาณป.6 ก็เริ่มประกวดร้องเพลงแถวภาคใต้ แพ้มาเรื่อยๆ เลยครับ แพ้จนเบื่อ ที่ชนะบ้างก็เป็นการประกวดพร้อมหางเครื่อง เขาดูหางเครื่องเป็นหลัก (หัวเราะ) การประกวดทำให้ผมเข้าใจคำว่า ‘โอกาสที่มีข้อจำกัด’ เพราะติดเรื่องรูปลักษณ์ตลอด เรารู้ข้อจำกัดตรงนี้ เลยไม่เสียใจมาก แค่เสียความรู้สึกบ้าง แต่ที่รู้สึกแย่มากทุกครั้งที่แพ้ เพราะสงสารพ่อแม่ที่ตามมาป้อนข้าวป้อนน้ำ มารอ 8 ชั่วโมงเพื่อออดิชั่น 30 วินาทีกับเรา...
CeCi : ทำไมต้องมุ่งมั่นกับการประกวดขนาดนี้!
ผมคิดว่าเราจะเฉยๆ ไม่ได้แล้ว พ่อแม่ทั้งแก่ทั้งเหนื่อยขึ้นทุกวัน อยู่ด้วยเงินนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้แล้ว ต้องจริงจัง บ้านผมลำบาก พ่อแม่เจ๊ง มีหนี้สินตั้งแต่ก่อนผมเกิด ทั้งที่เขาเคยสบายมากมาก่อน ผมรู้สึกว่าเราต้องเลี้ยงตัวเองให้ได้เพื่อไม่เป็นภาระ เลยเริ่มประกวดเวทีต่างๆ ที่เงินรางวัลสูงขึ้น
CeCi : เพราะสิ่งนี้ทำให้ไม่ท้อ...
ท้อมากครับ! (หัวเราะ) เจอแบบ... ออดิชั่น 30 วินาที กรรมการไม่มองหน้าผมเลย ก้มหน้าก้มตาอ่านเขียนโน่นนี่ ร้องจบก็ “ขอบคุณค่ะ” ตามองประตู เกือบเลิกแล้วครับ เท้าถอยไปข้างหลังแล้ว แต่แม่ไม่อยากให้เลิก เลยพาไปเรียนร้องเพลงช่วงม.3-ม.4 ผมเรียนแค่ 2-3 เดือน ก็เลิก เพราะไม่ใช่อย่างที่คิด ก่อนเรียน ผมเข้าใจว่าเราเหมือนเป็นดิน ครูดูว่าดินร่วนหรือเหนียว ควรปั้นทรงสูงหรือทรงแบน แล้วค่อยปั้นไปตามนั้น แต่กลายเป็นว่าครูมีแม่พิมพ์ หยิบดินมาวางแล้วกดแม่พิมพ์ปั๊มออกมา ต้องหายใจแบบนี้จะได้ร้องเหมือนครู ต้องร้องเปิดคอจะได้เหมือนพี่เบิร์ด แต่ผมอยากร้องเหมือนผมนี่ครับ ไม่ได้อยากเหมือนพี่เบิร์ด เลยเลิกเรียน ครูน่ารักนะแต่เรามีมุมมองของเราที่ไม่ตรงกับเขา
ช่วงที่กำลังจะเลิก ครูก็ส่งผมไปประกวดเวทีหนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าเวทีไหน ก่อนนั้นรู้จัก The Voice เคยดูทางยูทูบ แต่นึกว่ามีแค่ต่างประเทศ วันออดิชั่นเจอป้าย The Voice Thailand โห พูดไม่ถูกเลย ผมไปประกวดเป็นคู่กับเพื่อนที่เล่นเปียโน แต่ The Voice รับสมัครแค่ร้องเพลงแบบดูโอกับเดี่ยว เพื่อนเลยบอกให้ผมไปแข่งร้องเดี่ยวเถอะ ก็สมัครเลย ร้องเลย
ทำเพราะสนุก ใบสมัครนี่ผมเขียนแบบ... ใจผมหล่อมาก วาดรูปหัวใจด้วย เพราะคิดว่าไม่เจอเขาอีกแล้ว (หัวเราะ) ร้องจบ เดินออกมาคิดว่าไม่ได้แน่ แต่มีกำลังใจว่าถ้ามีรายการนี้ หลายคนที่ไม่มั่นใจเรื่องรูปลักษณ์จะมีโอกาส ผมแพลนว่าปีหน้าจะมาอีก ไม่ใช่จะมาจนกว่าจะชนะ แค่อยากมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกับเขา แต่ปรากฏว่าได้ครับ ก็เลยเข้ากรุงเทพฯ มาออดิชั่นรอบแรก
CeCi : เริ่มมีความหวังแล้ว...
คิดแค่ทำยังไงให้พ่อแม่ไม่ขายหน้า แม่ไม่เสียดายค่ารถ และเพื่อที่อีก 10 ปีข้างหน้าเราจะได้ไม่ต้องมาคิดว่าถ้าแค่วันนั้นเราทำเต็มที่... หวังไหม ไม่หวัง กลัวตกรอบไหม ไม่กลัว เพราะผมอายุยังน้อยและตกรอบมาเยอะ (ยิ้ม) แค่ทำให้เต็มที่เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจ ผมไม่อยากให้คนดูรู้สึกว่า เฮ้ย แค่นี้เหรอ เพราะทุกคนเสียเวลาที่มีค่าของเขามาดูเรา เราต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง
CeCi : ความรู้สึกในนาทีที่ได้เป็นวินเนอร์คนแรกของ The Voice Thailand ล่ะ
ความที่เราทำงานกันเป็นวงจรทุกอาทิตย์ คิดโชว์ ซ้อม แข่ง เลยไม่มีเวลาคิดว่าถึงรอบไหนแล้ว ผมเพิ่งคิดตอนอาทิตย์สุดท้ายว่าจะจบแล้วนี่ อารมณ์ตอนนั้นคือดีใจที่มาได้ขนาดนี้ มีโอกาสร้องกับพี่ก้อง นูโว ได้เห็นตัวจริงพี่ก้อง โห เอาไปคุยได้ยาว พอประกาศว่าเหลือ 2 คนสุดท้าย คือผมกับพี่เก่ง และมีคะแนนต่างกันไม่ถึง 5% ผมก็แบบ... แจ๋วเว้ย ได้ตั้งที่ 2 แล้วยังแพ้เขาแค่นิดเดียว เราอายุแค่ 16 ปี ทำได้ขนาดนี้ จะโม้ถึงลูกถึงหลาน
พอผลออกว่าผมชนะ ช็อก ผมว่าพี่เก่งเหมาะจะชนะ เพราะเขาเก่ง เขามีทีมช่วยคิด ในขณะที่ผมไปกับแม่ ที่ทำก็แค่ดับเครื่องชน รอดก็รอด ตายก็ตายตรงนั้น ผมไม่นึกว่าจะมีคนจ่าย 6 บาทโหวตให้เรา เราเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จักกันเลย แค่มีเพลงเป็นตัวกลางสื่อสารเท่านั้น วินาทีนั้น ผมหันไปมองหน้าแม่แล้วบอกว่าผมทำได้แล้วนะแม่! แม่ก็คิดเหมือนผมครับว่าได้ที่ 2 เข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรก ทุกอย่างใหม่หมด โห เวทีมีไฟด้วย เวทีบ้านเราไม่มีไฟนะครับ ไม่เคยร้องเพลงแล้วมีกล้องหมุนรอบตัว แต่เราทำได้ขนาดนี้
CeCi : ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นยังไง
ต้องเปลี่ยนชีวิต ย้ายมาอยู่กรุงเทพ เรียนม.4 ซ้ำอีกปี เพื่อนในชั้นอ่อนกว่าเรา แล้วเขาพูดภาษาใต้ไม่ได้ นี่คือปัญหาของผมเลย อาทิตย์แรกเพื่อนแบบ... พูดอะไรวะ เราก็ต้องปรับตัว ก็แค่นั้นเอง ผมว่าคนเราควรทำตัวเหมือนกิ้งก่า เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ให้เข้ากับทุกสิ่งได้ แต่ไม่เปลี่ยนรูปร่าง เปลี่ยนแค่สี เพื่อให้ทุกคนเข้าถึง แต่ต้องไม่ลืมตัวตน ไม่ลืมว่าก้าวแรกที่เหยียบคือจุดไหน เพราะทุกช่วงเวลามันแค่ขั้นหนึ่งของชีวิตเท่านั้น คนเราจะรู้ว่าชีวิตไปได้สูงสุดแค่ไหนคือวันที่เราตาย ถ้ายังอยู่ก็ปรับเปลี่ยนเรียนรู้ไป พัฒนาตรงไหนได้ก็ทำให้เต็มที่
CeCi : ชีวิตในวงการเพลงล่ะ
ผมตั้งใจจะทำงานเบื้องหลังตอนอายุ 30 แต่ตอนนี้มีโอกาสได้อยู่เบื้องหน้าก็ทำครับ เพราะการทำงานสายนี้สามารถพุ่งขึ้นพรวดเดียวได้ตลอดเวลา และสามารถวูบในทีเดียวก็ได้ มันขึ้นอยู่กับเราว่าจะทำยังไง ผมคิดแค่ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด อนาคตก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ผมอยากทำธุรกิจอะไรก็ได้ที่มั่นคง เพื่อที่ถ้าวันหนึ่งร้องเพลงไม่ได้ เราต้องมีอีกทางที่สามารถดูแลแม่ ดูแลคนที่เรารัก และดูแลตัวเราเองได้
CeCi : ตั้งใจหรือยังว่าจะเลือกเรียนคณะอะไร
ได้ทั้งนั้น ชีวิตเรามาแบบก้าวกระโดด ข้ามรายละเอียดหลายอย่างที่คิดไว้ แต่ตอนนี้คงมีเวลาให้ด้านอื่นน้อย ความรู้เรื่องเพลงเรื่องดนตรีน่าจะเยอะสุด เลยตั้งใจเน้นไปที่ดนตรี แต่ผมอยากเรียนให้จบหลายๆ ด้าน เราจะได้มีความรู้เยอะๆ มีทางเลือกหลายๆ ทางให้ยืนได้โดยไม่เดือดร้อนเบียดเบียนใคร ขนาดเพลงผมยังร้องหลายแนวเลย หลายคนอาจจะเลือกแนวเดียว เพราะเขาเชื่อว่าเขาทำได้ ผมก็เชื่อครับ แต่เชื่อว่าผมทำได้หลายสิ่ง ผมมีศรัทธา
ผมมองว่าการร้องเพลงหรือการแสดงมันเหมือนเราเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดเพลงและภาพสู่คนอื่น เราทำหน้าที่เหมือนจอภาพหรือลำโพง แต่ไม่มีใครฟังเพลงดูหนังแนวเดียวหรอก เหมือนที่ไม่มีใครกินอาหารแบบเดียวตลอดชีวิต ใครจะกินกะเพราไก่ทุกวันจนอายุ 60 ปี เราจึงต้องทำได้ทุกอย่าง ลูกค้ารออะไรใหม่ๆ ที่มีคุณภาพเสมอ ฉะนั้น จะให้ผมร้องเพลงแนวไหนได้หมด แต่ต้องมีคุณภาพ ไม่ต้องดังแต่ต้องดี
ผมมีความสุขกับการขึ้นไปบนเวทีแล้วไม่ใช่เรามีความสุขคนเดียว แต่คนฟังมีความสุขกับสิ่งที่เราร้อง สุขกับการมองเรา มันคือการแชร์ระหว่างกัน เขาอาจจะมองเราเป็นตัวตลกหรืออะไรก็ช่าง ทุกคนต้องการความสุขและรอยยิ้ม ถ้าผมสร้างได้ก็สร้างเถอะ เพราะโลกนี้ต้องการผู้ให้มากกว่าผู้รับ นั่นคือสังคมที่ดี
CeCi : ทำไมมีความคิดเป็นผู้ใหญ่แบบนี้!
คำสอนของพ่อแม่ครับ พ่อกับแม่เคยผ่านจุดสบายสุดๆ และจุดที่เป็นทุกข์สุดๆ เขาบอกเสมอว่าถ้าลำบากอย่าลืมความสบาย ถ้าสบายก็อย่าลืมความลำบาก สุขแล้วอย่าลืมทุกข์ ทุกข์ก็อย่าลืมสุข มันมีฟ้าหลังฝน แต่หลังจากนั้นก็มีฝนอีก ชีวิตเป็นวัฏจักรแบบนี้ ทุกสิ่งผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป... แค่นี้เอง ผมว่าบางทีการบรรลุนิติภาวะไม่ได้เกิดจากตัวเลขอายุ แต่เกิดจากการทำผิดซ้ำซากจนเรารู้ว่าไม่ควรทำ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดแบบนี้ ทุกคนมีแนวคิดของตัวเองมั้งครับ
ผมก็แค่ทำทุกอย่างให้เต็มที่ เพื่อไม่ต้องเสียดายหรือเสียใจเมื่อมองย้อนกลับมาจากอีก 10 ปีข้างหน้า เพราะมีแต่เราที่เลือกได้ว่าจะทำยังไง ผมเคยบวชเณรฤดูร้อน ในจำนวนเณร 200 กว่ารูป ผมนั่งสมาธิจนเป็น 1 ใน 10 รูปสุดท้าย นั่งอยู่ 5 ชั่วโมงกว่า จนเหมือนเราตรัสรู้ ผมมาแนวนี้ พระอาจารย์เคยบอกว่าไม่มีใครเข้าใจตัวเราเท่าตัวเราเอง ต่อให้เขาบอกเข้าใจเราเหลือเกิน เต็มที่ก็แค่อยู่ใกล้ๆ คนที่จะแก้ปัญหาจะทำจะเลิกก็คือตัวเราเอง แค่เข้าใจเรา เข้าใจโลก อยู่ให้ได้ อยู่ให้เป็น แค่นั้นเอง
CeCi : เด็กอายุ 17 แชมป์รายการ The Voice Thailand และมีความคิดเหมือนคนอายุ 70 อย่างนนท์ คิดว่าสิ่งที่วัยรุ่นควรรู้ควรเข้าใจคืออะไร
ทุกช่วงเวลามีอุปสรรค แต่ทุกเวลาก็มีโอกาสด้วยเหมือนกัน มันอยู่ที่เราจะมอง และไม่จำเป็นต้องมีแพตเทิร์นว่าฉันต้องเป็นคนดี ทำอะไรต้องมีหลักการ บางทีโลกก็ไม่ต้องการสูตร วาดรูปไม่ต้องเริ่มจากโครงร่าง วาดตาก่อนก็ได้ ทุกคนมีวิถีของตัวเอง แค่ศรัทธาในวิถี และอย่าเบียดเบียนใคร อะไรที่ดีต่อเรา ทำไปเถอะ ถ้าดีต่อคนอื่น ยิ่งต้องทำ ผู้ใหญ่ถึงได้สอนเรื่องเวรกรรม สิ่งไหนต้องทำ ต้องไม่ทำ รู้ไว้บ้าง โลกนี้ต้องการสิ่งที่ดี สังคมจะได้สวยงามขึ้น ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับพวกเรานี่แหละครับ
คือจะบอกว่าใจเย็นๆ ให้น้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ดีใหมคะ
มันยังเป็นนักเรียนอยู่เลย ยิ่งทำเพลงเยอะตัวมันเองก็จะยิ่งเยอะ
ทั้งงาน ทั้งซ้อม ทั้งเรียน เรียนแบบนักเรียน จ-ศ 8.00-16.00 มันก็หนักหนาอยู่นะคะ
ขออนุญาติยกข้อความจาก การสัมภาษณ์หนังสือ CeCi Thailand ค่ะ
ขอบคุณ CeCi สำหรับบทสัมภาษณ์ชุดนี้เราชอบมากถึงมากที่สุดค่ะ
-----------------------------------------------
ยอมรับว่าเมื่อต้องคุยกับ ‘นนท์ ธนนท์’ ผู้ชนะคนแรกของรายการประกวดร้องเพลงเน้น (แค่) น้ำเสียงคุณภาพ The Voice Thailand ที่อายุแค่ 16 ปีในวันที่ชนะ และตอนนี้อายุเพียง 17 ฉันแอบเตรียมคำถาม ‘สำหรับเด็ก’ เอาไว้ให้เขาโดยเฉพาะ
แต่คำถามเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้ใช้ เพราะนี่คือเด็กอายุ 17 ที่มีความคิดความอ่านเหมือนคุณปู่อายุ 70 หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ นั้น นนท์ทำให้ฉัน ‘ซึ้ง’ ถึงสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า ‘Passion’ พร้อมๆ กับ ‘ทึ่ง’ ในความคิดแบบที่ผู้ใหญ่หลายคนคิดไม่ได้ มุมมองเรียบง่ายแต่เป็นจริง และเหนืออื่นใดคือความกตัญญู นี่คือหนึ่งในการพูดคุยที่ประทับใจที่สุดในหน้าที่การงานของฉัน... บอกเลย!
CeCi: เริ่มร้องเพลงตั้งแต่ตอนไหน
ตั้งแต่เด็กครับ 4 ขวบ อยู่อนุบาล 2 ถือไมค์ยืนหน้าตู้คาราโอเกะข้างบ้านแล้ว ร้องไปร้องมาก็บอกพ่อว่าอยากขึ้นเวทีร้องเพลง พ่อเลยเอาไปฝากกับครูที่ดูแลวงลูกทุ่งตั้งแต่อยู่ป.1 แล้วก็เริ่มเดินสายกับวง
CeCi : เด็กขนาดนั้น ชอบอะไรถึงได้จริงจังกับการร้องเพลง!
ร้านคาราโอเกะต่างจังหวัดจะมีพวกนักดื่มมานั่ง เขาก็แบบ... เอ้า หนู ร้องให้ฟังหน่อย พอเราร้องแล้วเขาหัวเราะ ไม่รู้ว่าเพราะเราตลก หรือร้องเพราะ หรืออะไร แต่เห็นเขามีความสุข เราชอบ แถมร้องจบเขาให้เงินมากินขนม บาทนึงบ้าง 5 บาท 10 บาท ผมเลยรู้สึกว่าการร้องเพลงไม่เบียดเบียนใคร แล้วยังช่วยพ่อแม่ได้ ถึงเงินจะน้อยแค่นี้ แต่ผมภูมิใจ
ประมาณป.6 ก็เริ่มประกวดร้องเพลงแถวภาคใต้ แพ้มาเรื่อยๆ เลยครับ แพ้จนเบื่อ ที่ชนะบ้างก็เป็นการประกวดพร้อมหางเครื่อง เขาดูหางเครื่องเป็นหลัก (หัวเราะ) การประกวดทำให้ผมเข้าใจคำว่า ‘โอกาสที่มีข้อจำกัด’ เพราะติดเรื่องรูปลักษณ์ตลอด เรารู้ข้อจำกัดตรงนี้ เลยไม่เสียใจมาก แค่เสียความรู้สึกบ้าง แต่ที่รู้สึกแย่มากทุกครั้งที่แพ้ เพราะสงสารพ่อแม่ที่ตามมาป้อนข้าวป้อนน้ำ มารอ 8 ชั่วโมงเพื่อออดิชั่น 30 วินาทีกับเรา...
CeCi : ทำไมต้องมุ่งมั่นกับการประกวดขนาดนี้!
ผมคิดว่าเราจะเฉยๆ ไม่ได้แล้ว พ่อแม่ทั้งแก่ทั้งเหนื่อยขึ้นทุกวัน อยู่ด้วยเงินนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้แล้ว ต้องจริงจัง บ้านผมลำบาก พ่อแม่เจ๊ง มีหนี้สินตั้งแต่ก่อนผมเกิด ทั้งที่เขาเคยสบายมากมาก่อน ผมรู้สึกว่าเราต้องเลี้ยงตัวเองให้ได้เพื่อไม่เป็นภาระ เลยเริ่มประกวดเวทีต่างๆ ที่เงินรางวัลสูงขึ้น
CeCi : เพราะสิ่งนี้ทำให้ไม่ท้อ...
ท้อมากครับ! (หัวเราะ) เจอแบบ... ออดิชั่น 30 วินาที กรรมการไม่มองหน้าผมเลย ก้มหน้าก้มตาอ่านเขียนโน่นนี่ ร้องจบก็ “ขอบคุณค่ะ” ตามองประตู เกือบเลิกแล้วครับ เท้าถอยไปข้างหลังแล้ว แต่แม่ไม่อยากให้เลิก เลยพาไปเรียนร้องเพลงช่วงม.3-ม.4 ผมเรียนแค่ 2-3 เดือน ก็เลิก เพราะไม่ใช่อย่างที่คิด ก่อนเรียน ผมเข้าใจว่าเราเหมือนเป็นดิน ครูดูว่าดินร่วนหรือเหนียว ควรปั้นทรงสูงหรือทรงแบน แล้วค่อยปั้นไปตามนั้น แต่กลายเป็นว่าครูมีแม่พิมพ์ หยิบดินมาวางแล้วกดแม่พิมพ์ปั๊มออกมา ต้องหายใจแบบนี้จะได้ร้องเหมือนครู ต้องร้องเปิดคอจะได้เหมือนพี่เบิร์ด แต่ผมอยากร้องเหมือนผมนี่ครับ ไม่ได้อยากเหมือนพี่เบิร์ด เลยเลิกเรียน ครูน่ารักนะแต่เรามีมุมมองของเราที่ไม่ตรงกับเขา
ช่วงที่กำลังจะเลิก ครูก็ส่งผมไปประกวดเวทีหนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าเวทีไหน ก่อนนั้นรู้จัก The Voice เคยดูทางยูทูบ แต่นึกว่ามีแค่ต่างประเทศ วันออดิชั่นเจอป้าย The Voice Thailand โห พูดไม่ถูกเลย ผมไปประกวดเป็นคู่กับเพื่อนที่เล่นเปียโน แต่ The Voice รับสมัครแค่ร้องเพลงแบบดูโอกับเดี่ยว เพื่อนเลยบอกให้ผมไปแข่งร้องเดี่ยวเถอะ ก็สมัครเลย ร้องเลย
ทำเพราะสนุก ใบสมัครนี่ผมเขียนแบบ... ใจผมหล่อมาก วาดรูปหัวใจด้วย เพราะคิดว่าไม่เจอเขาอีกแล้ว (หัวเราะ) ร้องจบ เดินออกมาคิดว่าไม่ได้แน่ แต่มีกำลังใจว่าถ้ามีรายการนี้ หลายคนที่ไม่มั่นใจเรื่องรูปลักษณ์จะมีโอกาส ผมแพลนว่าปีหน้าจะมาอีก ไม่ใช่จะมาจนกว่าจะชนะ แค่อยากมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกับเขา แต่ปรากฏว่าได้ครับ ก็เลยเข้ากรุงเทพฯ มาออดิชั่นรอบแรก
CeCi : เริ่มมีความหวังแล้ว...
คิดแค่ทำยังไงให้พ่อแม่ไม่ขายหน้า แม่ไม่เสียดายค่ารถ และเพื่อที่อีก 10 ปีข้างหน้าเราจะได้ไม่ต้องมาคิดว่าถ้าแค่วันนั้นเราทำเต็มที่... หวังไหม ไม่หวัง กลัวตกรอบไหม ไม่กลัว เพราะผมอายุยังน้อยและตกรอบมาเยอะ (ยิ้ม) แค่ทำให้เต็มที่เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจ ผมไม่อยากให้คนดูรู้สึกว่า เฮ้ย แค่นี้เหรอ เพราะทุกคนเสียเวลาที่มีค่าของเขามาดูเรา เราต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง
CeCi : ความรู้สึกในนาทีที่ได้เป็นวินเนอร์คนแรกของ The Voice Thailand ล่ะ
ความที่เราทำงานกันเป็นวงจรทุกอาทิตย์ คิดโชว์ ซ้อม แข่ง เลยไม่มีเวลาคิดว่าถึงรอบไหนแล้ว ผมเพิ่งคิดตอนอาทิตย์สุดท้ายว่าจะจบแล้วนี่ อารมณ์ตอนนั้นคือดีใจที่มาได้ขนาดนี้ มีโอกาสร้องกับพี่ก้อง นูโว ได้เห็นตัวจริงพี่ก้อง โห เอาไปคุยได้ยาว พอประกาศว่าเหลือ 2 คนสุดท้าย คือผมกับพี่เก่ง และมีคะแนนต่างกันไม่ถึง 5% ผมก็แบบ... แจ๋วเว้ย ได้ตั้งที่ 2 แล้วยังแพ้เขาแค่นิดเดียว เราอายุแค่ 16 ปี ทำได้ขนาดนี้ จะโม้ถึงลูกถึงหลาน
พอผลออกว่าผมชนะ ช็อก ผมว่าพี่เก่งเหมาะจะชนะ เพราะเขาเก่ง เขามีทีมช่วยคิด ในขณะที่ผมไปกับแม่ ที่ทำก็แค่ดับเครื่องชน รอดก็รอด ตายก็ตายตรงนั้น ผมไม่นึกว่าจะมีคนจ่าย 6 บาทโหวตให้เรา เราเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จักกันเลย แค่มีเพลงเป็นตัวกลางสื่อสารเท่านั้น วินาทีนั้น ผมหันไปมองหน้าแม่แล้วบอกว่าผมทำได้แล้วนะแม่! แม่ก็คิดเหมือนผมครับว่าได้ที่ 2 เข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรก ทุกอย่างใหม่หมด โห เวทีมีไฟด้วย เวทีบ้านเราไม่มีไฟนะครับ ไม่เคยร้องเพลงแล้วมีกล้องหมุนรอบตัว แต่เราทำได้ขนาดนี้
CeCi : ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นยังไง
ต้องเปลี่ยนชีวิต ย้ายมาอยู่กรุงเทพ เรียนม.4 ซ้ำอีกปี เพื่อนในชั้นอ่อนกว่าเรา แล้วเขาพูดภาษาใต้ไม่ได้ นี่คือปัญหาของผมเลย อาทิตย์แรกเพื่อนแบบ... พูดอะไรวะ เราก็ต้องปรับตัว ก็แค่นั้นเอง ผมว่าคนเราควรทำตัวเหมือนกิ้งก่า เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ให้เข้ากับทุกสิ่งได้ แต่ไม่เปลี่ยนรูปร่าง เปลี่ยนแค่สี เพื่อให้ทุกคนเข้าถึง แต่ต้องไม่ลืมตัวตน ไม่ลืมว่าก้าวแรกที่เหยียบคือจุดไหน เพราะทุกช่วงเวลามันแค่ขั้นหนึ่งของชีวิตเท่านั้น คนเราจะรู้ว่าชีวิตไปได้สูงสุดแค่ไหนคือวันที่เราตาย ถ้ายังอยู่ก็ปรับเปลี่ยนเรียนรู้ไป พัฒนาตรงไหนได้ก็ทำให้เต็มที่
CeCi : ชีวิตในวงการเพลงล่ะ
ผมตั้งใจจะทำงานเบื้องหลังตอนอายุ 30 แต่ตอนนี้มีโอกาสได้อยู่เบื้องหน้าก็ทำครับ เพราะการทำงานสายนี้สามารถพุ่งขึ้นพรวดเดียวได้ตลอดเวลา และสามารถวูบในทีเดียวก็ได้ มันขึ้นอยู่กับเราว่าจะทำยังไง ผมคิดแค่ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด อนาคตก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ผมอยากทำธุรกิจอะไรก็ได้ที่มั่นคง เพื่อที่ถ้าวันหนึ่งร้องเพลงไม่ได้ เราต้องมีอีกทางที่สามารถดูแลแม่ ดูแลคนที่เรารัก และดูแลตัวเราเองได้
CeCi : ตั้งใจหรือยังว่าจะเลือกเรียนคณะอะไร
ได้ทั้งนั้น ชีวิตเรามาแบบก้าวกระโดด ข้ามรายละเอียดหลายอย่างที่คิดไว้ แต่ตอนนี้คงมีเวลาให้ด้านอื่นน้อย ความรู้เรื่องเพลงเรื่องดนตรีน่าจะเยอะสุด เลยตั้งใจเน้นไปที่ดนตรี แต่ผมอยากเรียนให้จบหลายๆ ด้าน เราจะได้มีความรู้เยอะๆ มีทางเลือกหลายๆ ทางให้ยืนได้โดยไม่เดือดร้อนเบียดเบียนใคร ขนาดเพลงผมยังร้องหลายแนวเลย หลายคนอาจจะเลือกแนวเดียว เพราะเขาเชื่อว่าเขาทำได้ ผมก็เชื่อครับ แต่เชื่อว่าผมทำได้หลายสิ่ง ผมมีศรัทธา
ผมมองว่าการร้องเพลงหรือการแสดงมันเหมือนเราเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดเพลงและภาพสู่คนอื่น เราทำหน้าที่เหมือนจอภาพหรือลำโพง แต่ไม่มีใครฟังเพลงดูหนังแนวเดียวหรอก เหมือนที่ไม่มีใครกินอาหารแบบเดียวตลอดชีวิต ใครจะกินกะเพราไก่ทุกวันจนอายุ 60 ปี เราจึงต้องทำได้ทุกอย่าง ลูกค้ารออะไรใหม่ๆ ที่มีคุณภาพเสมอ ฉะนั้น จะให้ผมร้องเพลงแนวไหนได้หมด แต่ต้องมีคุณภาพ ไม่ต้องดังแต่ต้องดี
ผมมีความสุขกับการขึ้นไปบนเวทีแล้วไม่ใช่เรามีความสุขคนเดียว แต่คนฟังมีความสุขกับสิ่งที่เราร้อง สุขกับการมองเรา มันคือการแชร์ระหว่างกัน เขาอาจจะมองเราเป็นตัวตลกหรืออะไรก็ช่าง ทุกคนต้องการความสุขและรอยยิ้ม ถ้าผมสร้างได้ก็สร้างเถอะ เพราะโลกนี้ต้องการผู้ให้มากกว่าผู้รับ นั่นคือสังคมที่ดี
CeCi : ทำไมมีความคิดเป็นผู้ใหญ่แบบนี้!
คำสอนของพ่อแม่ครับ พ่อกับแม่เคยผ่านจุดสบายสุดๆ และจุดที่เป็นทุกข์สุดๆ เขาบอกเสมอว่าถ้าลำบากอย่าลืมความสบาย ถ้าสบายก็อย่าลืมความลำบาก สุขแล้วอย่าลืมทุกข์ ทุกข์ก็อย่าลืมสุข มันมีฟ้าหลังฝน แต่หลังจากนั้นก็มีฝนอีก ชีวิตเป็นวัฏจักรแบบนี้ ทุกสิ่งผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป... แค่นี้เอง ผมว่าบางทีการบรรลุนิติภาวะไม่ได้เกิดจากตัวเลขอายุ แต่เกิดจากการทำผิดซ้ำซากจนเรารู้ว่าไม่ควรทำ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดแบบนี้ ทุกคนมีแนวคิดของตัวเองมั้งครับ
ผมก็แค่ทำทุกอย่างให้เต็มที่ เพื่อไม่ต้องเสียดายหรือเสียใจเมื่อมองย้อนกลับมาจากอีก 10 ปีข้างหน้า เพราะมีแต่เราที่เลือกได้ว่าจะทำยังไง ผมเคยบวชเณรฤดูร้อน ในจำนวนเณร 200 กว่ารูป ผมนั่งสมาธิจนเป็น 1 ใน 10 รูปสุดท้าย นั่งอยู่ 5 ชั่วโมงกว่า จนเหมือนเราตรัสรู้ ผมมาแนวนี้ พระอาจารย์เคยบอกว่าไม่มีใครเข้าใจตัวเราเท่าตัวเราเอง ต่อให้เขาบอกเข้าใจเราเหลือเกิน เต็มที่ก็แค่อยู่ใกล้ๆ คนที่จะแก้ปัญหาจะทำจะเลิกก็คือตัวเราเอง แค่เข้าใจเรา เข้าใจโลก อยู่ให้ได้ อยู่ให้เป็น แค่นั้นเอง
CeCi : เด็กอายุ 17 แชมป์รายการ The Voice Thailand และมีความคิดเหมือนคนอายุ 70 อย่างนนท์ คิดว่าสิ่งที่วัยรุ่นควรรู้ควรเข้าใจคืออะไร
ทุกช่วงเวลามีอุปสรรค แต่ทุกเวลาก็มีโอกาสด้วยเหมือนกัน มันอยู่ที่เราจะมอง และไม่จำเป็นต้องมีแพตเทิร์นว่าฉันต้องเป็นคนดี ทำอะไรต้องมีหลักการ บางทีโลกก็ไม่ต้องการสูตร วาดรูปไม่ต้องเริ่มจากโครงร่าง วาดตาก่อนก็ได้ ทุกคนมีวิถีของตัวเอง แค่ศรัทธาในวิถี และอย่าเบียดเบียนใคร อะไรที่ดีต่อเรา ทำไปเถอะ ถ้าดีต่อคนอื่น ยิ่งต้องทำ ผู้ใหญ่ถึงได้สอนเรื่องเวรกรรม สิ่งไหนต้องทำ ต้องไม่ทำ รู้ไว้บ้าง โลกนี้ต้องการสิ่งที่ดี สังคมจะได้สวยงามขึ้น ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับพวกเรานี่แหละครับ
แสดงความคิดเห็น
ปรากฏการณ์นักร้องไทย
สวัสดีชาวไทยที่เคารพทุกท่าน
คำว่าศิลปินนักร้องมีความจำเป็นต้อง อะไรที่เขาว่า หาตัวตน หาแนวของตัวเองหรือไม่ ใครเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์เหล่านี้ นักร้องหนึ่งคนทำไมต้องจำกัดว่า คนนั้นคือนักร้องสตริง คนนั้นต้องเป็นนักร้องลูกทุ่ง มีคำพูดว่านักร้องที่ดี นักร้องที่เก่ง ต้องฟังเพลงเยอะๆ หลายๆแนว ต้องร้องได้ทุกแนว จะทำให้เก่ง แล้วเวลาออกอัลบั้มทำไมต้องจำกัดว่าฉัน หรือคนนี้เป็นนักร้องแนวเพลงสตริง ทำเพลงออกมาก็ทำแต่เพลงสตริง ใครเป็นคนกำหนดกรอบหรือสร้างกำแพงเหล่านี้ไว้ แล้วเวลาประกวด กลับมีการทำโชว์หลายแนว คนเดียวมีร้องหลายแนว อย่าง น้องนนท์ ตอนประกวดมีร้องลูกทุ่งด้วย และน้องนนท์ก็ทำได้ดีมากทุกแนว แต่กลับขีดกรอบให้น้องนนท์หรือทำเพลงให้น้องนนท์แค่แนวสตริง คนที่เขาดูและติดตามน้องนนท์จากรายการ ตอนประกวด มีคนชอบน้องนนท์ทุกวัย คนที่โหวดให้น้องนนท์ เพราะชอบน้องนนท์ช่วงที่ร้องลูกทุ่งก็เยอะแยะ ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้สูงอายุที่ชอบฟังแนวเพลงลูกทุ่ง ที่ช่วยกันโหวดให้น้องนนท์ กลับไม่ได้ฟังผลงานของน้องนนท์ เพราะอาจจะไม่ชอบแนวสตริงที่น้องนนท์ทำอยู่ อย่างนี้ไม่แฟร์เลย ทำไมไม่สร้างปรากฏการณ์ขึ้นมาใหม่ให้กับวงการนักร้องไปเลย ทำเพลงให้น้องนนท์ร้องทั้งสตริงและลูกทุ่ง คิดว่าน้องนนท์จะทำได้ดี และดีมากด้วย ออกอัลบั้มเพลงสองแนวควบเลย ทำเพลงทั้งสองแนวปล่อยออกมาพร้อมกัน แต่แยกอัลบั้มกัน ไม่ได้รวมกัน คือทำแนวละอัลบั้มเลย แต่ทำปล่อยออกมาพร้อมกัน เด็กก็ฟังสตริงไป ผู้สูงอายุเขาก็ฟังลูกทุ่งไป แต่คิดว่ามากกว่าครึ่งจะฟังทั้งสองแนว มันเป็นปรากฏการณ์อะไรที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมี น้องนนท์โตมากับการร้องเพลงลูกทุ่งอยู่แล้ว เรื่องความสามารถไม่ต้องพูดถึง มีศักยภาพมากพอที่จะทำได้ทั้งสองแนว มันเป็นปรากฏการณ์ที่จะเชื่อมความแตกแยกที่ใครก็ไม่รู้มาแบ่งแยกไว้ ถ้าเปิดวิทยุคลื่นลูกทุ่ง เพลงลูกทุ่งของน้องนนท์ติดชาร์ตอันดับหนึ่ง พอเปิดไปคลื่นสตริง เพลงสตริงของน้องนนท์ติดชาร์ตอันดับหนึ่งอีกด้วย มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก อยากให้พิจารณาด่วนเลย หาโปรดิวส์เซอร์ด้านเพลงลูกทุ่งมาทำเพลงลูกทุ่งให้น้องนนท์ร้องด้วย ขอร้องงงงงงงงง
ขอแสดงความนับถือ แล้วก็
ขอแสดงความเคารพ
ปล. การสร้างปรากฏการณ์อย่างนี้มันไม่ได้ทำได้กับนักร้องทุกคน มันเฉพาะคนที่มีความสามารถจริงๆ น้องนนท์ทำได้ชัวร์ คนทั่วประเทศเชื่อมั่นน้องนนท์ แล้วน้องนนท์ไม่เชื่อมั่นในตัวเองหรืออย่างไร