คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
บางทีคนเราก็กังวลและกลัวกับอนาคตมากจนเกินไป มากจนบางทีมันทำให้เราลืมปัจจุบัน ...ลืมทำปัจจุบันระหว่างคนสองคนให้ดีกว่าที่มันควรจะเป็น...เราจะไม่ขอออกความเห็นในเรื่องราวของคุณนะคะ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์และไม่ได้เห็นด้วยตา แต่จะขอเล่าเรื่องราวที่ได้ประสบพบเจอมาของคนที่รู้จักให้ฟัง เรื่องนี้เป็นอะไรที่เศร้ามาก...
คนสองคนที่เรารู้จักนี้ อยู่ในสถานภาพและสภาวะการณ์คล้ายๆ ของคุณกับสามี แต่ต่างกันตรงที่ฝ่ายสามีเป็นคนอยู่บ้านทำธุรกิจ และฝ่ายภรรยาทำงานรับราชการอยู่บนดอย จะกลับบ้านอาทิตย์ละครั้ง หรือถ้าอาทิตย์ไหนยุ่งๆ ก็ไม่ได้กลับ บางเดือนอาจจะกลับเดือนละครั้งก็มี เหตุการณ์ดำเนินไปแบบนี้ประมาณสิบปี...
หลายๆ คนก็เป็นห่วงสถานภาพทางครอบครัวของทั้งคู่ว่าอยู่ไกลกัน นานๆ เจอกันที พ่อแม่พี่น้องก็กลัวว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแปรเปลี่ยนหรือมีมือที่สาม (เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในสังคมข้าราชการที่สามีภรรยาไม่ได้ทำงานหรืออาศัยอยู่ด้วยกัน)...แต่ระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ความห่างไกลไม่ได้ทำลายความรักที่แท้จริงของคนสองคน...ทั้งสองคนยังรักกันดี แม้นว่านานๆ จะเจอกันครั้ง แต่ด้วยความที่นานๆ เจอกันที ลูกที่อยากมีก็ไม่มีวี่แววว่าจะมี ความตึงเครียดจากการทำงานที่ไม่ได้มีการผ่อนคลายหรือระบายให้ใครฟัง เพราะต่างฝ่ายต่างอยู่ไกลกัน ไม่มีเวลาได้มาสนใจไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน เจ็บก็เจ็บคนเดียว ป่วยก็ป่วยคนเดียว ทนได้ก็ทนไป ทนไม่ได้ก็หาซื้อยามากินเอง เรื่อยๆ เปื่อยๆ เป็นแบบนี้ตลอด จนมันกลายเป็นตัวทำลายสุขภาพที่ไม่เคยมีใครนึกถึง...
ฝ่ายสามีป่วยออดๆ แอดๆ มานาน ที่ทำได้ก็คือดูแลตัวเองไป อยากไปหาหมอก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ไปเพราะมัวยุ่งๆ อยู่กับกิจการงานธุรกิจที่ขึ้นๆ ลงๆ ฝ่ายภรรยาก็ไม่ได้มีเวลามาดูแลหรือจ้ำจี้จ้ำไชให้ไปหาหมอ...จนท้ายที่สุดฝ่ายสามีก็เสียชีวิต...ถามว่าแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงทุนลงแรงทำไป เราทำไปเพื่ออะไร "เพื่ออนาคต" หรือเปล่า... เพื่ออนาคตนี่แหละที่คนส่วนใหญ่มักจะตอบกัน แต่ก็นั่นแหละ กว่าจะรู้ว่าเราแคร์อนาคตมากจนเกินไป มากจนลืมปัจจุบัน อะไรๆ มันก็สายไปเสียแล้ว...เราเคยได้พูดคุยกับฝ่ายภรรยา และมีอยู่ประโยคหนึ่งที่ฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจก็คือ "ถ้ารู้ว่าจุดจบมันจะเป็นแบบนี้ จะขอไม่ไปบรรจุเป็นข้าราชการ จะขอทำงานเป็นพนักงานบริษัทใกล้บ้านต่อไป (ตอนแต่งงานใหม่ๆ ฝ่ายชายทำธุรกิจใกล้บ้าน ฝ่ายหญิงก็ทำงานบริษัทใกล้ๆ บ้านฝ่ายชายเหมือนกัน) เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขเราก็ไม่ค่อยได้มีเวลาได้สนใจดูแลกันเท่าไหร่ มันเหมือนว่าเรายังไม่ได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่กันและกัน เราให้ความสำคัญกับของนอกกายมากจนเกินไป"...
เราได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดจากคู่ชีวิตคู่นี้ และเราบอกกับตัวเราเองเสมอว่า "ชีวิตคู่มันก็ควรต้องอยู่กันเป็นคู่"...ชีวิตคู่ที่อยู่แบบคี่ มันก็เหมือนกับว่าเราได้เปิดประตูรอชีวิตคี่แบบถาวรไปแล้ว เพราะโอกาสประสบความสำเร็จมันก็มีมากพอๆ กับโอกาสที่จะมีมือที่สามจะแทรกเข้ามา หรืออย่างที่เลวร้ายที่สุดก็เหมือนคู่ของคนรู้จักของเราที่ได้เล่าไปแล้วนั่นเอง นั่นก็คือการไม่มีเวลาได้ดูแลกันในยามเจ็บป่วยเป็นไข้ ไม่มีเวลาได้ใส่ใจทุกข์สุขให้กันและกัน...สำหรับคู่ของคุณเราก็ไม่รู้ว่าอนาคตมันจะมีแนวโน้มไปทางไหน แต่สำหรับคู่ของเรา เราได้ข้อคิดมาว่า เราจะไม่กังวลกับอนาคตจนลืมปัจจุบัน เราจะไม่กลัวว่าถ้าเรายังเป็นอยู่เป็นคู่ด้วยกันแบบนี้แล้วในอนาคตเราสองคนจะต้องลำบากนู่นนี่ เราจะต้องขาดนั่นนี่ หรือลูกเราจะลำบากหรืออะไร...เราจะพึงพอใจกับสิ่งที่เรามี ยินดีกับสิ่งที่เราได้ และทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุดก็พอ (เราไม่อยากเสียสละปัจจุบันด้วยการแยกกันอยู่กับคนที่เรารัก เพื่อหวังผลอันไม่แน่นอนในอนาคต)...ความไม่แน่นอนมันเกิดขึ้นได้เสมอ แล้ววันนี้เราได้ดูแลกันและกันอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง
คนสองคนที่เรารู้จักนี้ อยู่ในสถานภาพและสภาวะการณ์คล้ายๆ ของคุณกับสามี แต่ต่างกันตรงที่ฝ่ายสามีเป็นคนอยู่บ้านทำธุรกิจ และฝ่ายภรรยาทำงานรับราชการอยู่บนดอย จะกลับบ้านอาทิตย์ละครั้ง หรือถ้าอาทิตย์ไหนยุ่งๆ ก็ไม่ได้กลับ บางเดือนอาจจะกลับเดือนละครั้งก็มี เหตุการณ์ดำเนินไปแบบนี้ประมาณสิบปี...
หลายๆ คนก็เป็นห่วงสถานภาพทางครอบครัวของทั้งคู่ว่าอยู่ไกลกัน นานๆ เจอกันที พ่อแม่พี่น้องก็กลัวว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแปรเปลี่ยนหรือมีมือที่สาม (เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในสังคมข้าราชการที่สามีภรรยาไม่ได้ทำงานหรืออาศัยอยู่ด้วยกัน)...แต่ระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ความห่างไกลไม่ได้ทำลายความรักที่แท้จริงของคนสองคน...ทั้งสองคนยังรักกันดี แม้นว่านานๆ จะเจอกันครั้ง แต่ด้วยความที่นานๆ เจอกันที ลูกที่อยากมีก็ไม่มีวี่แววว่าจะมี ความตึงเครียดจากการทำงานที่ไม่ได้มีการผ่อนคลายหรือระบายให้ใครฟัง เพราะต่างฝ่ายต่างอยู่ไกลกัน ไม่มีเวลาได้มาสนใจไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน เจ็บก็เจ็บคนเดียว ป่วยก็ป่วยคนเดียว ทนได้ก็ทนไป ทนไม่ได้ก็หาซื้อยามากินเอง เรื่อยๆ เปื่อยๆ เป็นแบบนี้ตลอด จนมันกลายเป็นตัวทำลายสุขภาพที่ไม่เคยมีใครนึกถึง...
ฝ่ายสามีป่วยออดๆ แอดๆ มานาน ที่ทำได้ก็คือดูแลตัวเองไป อยากไปหาหมอก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ไปเพราะมัวยุ่งๆ อยู่กับกิจการงานธุรกิจที่ขึ้นๆ ลงๆ ฝ่ายภรรยาก็ไม่ได้มีเวลามาดูแลหรือจ้ำจี้จ้ำไชให้ไปหาหมอ...จนท้ายที่สุดฝ่ายสามีก็เสียชีวิต...ถามว่าแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงทุนลงแรงทำไป เราทำไปเพื่ออะไร "เพื่ออนาคต" หรือเปล่า... เพื่ออนาคตนี่แหละที่คนส่วนใหญ่มักจะตอบกัน แต่ก็นั่นแหละ กว่าจะรู้ว่าเราแคร์อนาคตมากจนเกินไป มากจนลืมปัจจุบัน อะไรๆ มันก็สายไปเสียแล้ว...เราเคยได้พูดคุยกับฝ่ายภรรยา และมีอยู่ประโยคหนึ่งที่ฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจก็คือ "ถ้ารู้ว่าจุดจบมันจะเป็นแบบนี้ จะขอไม่ไปบรรจุเป็นข้าราชการ จะขอทำงานเป็นพนักงานบริษัทใกล้บ้านต่อไป (ตอนแต่งงานใหม่ๆ ฝ่ายชายทำธุรกิจใกล้บ้าน ฝ่ายหญิงก็ทำงานบริษัทใกล้ๆ บ้านฝ่ายชายเหมือนกัน) เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขเราก็ไม่ค่อยได้มีเวลาได้สนใจดูแลกันเท่าไหร่ มันเหมือนว่าเรายังไม่ได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่กันและกัน เราให้ความสำคัญกับของนอกกายมากจนเกินไป"...
เราได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดจากคู่ชีวิตคู่นี้ และเราบอกกับตัวเราเองเสมอว่า "ชีวิตคู่มันก็ควรต้องอยู่กันเป็นคู่"...ชีวิตคู่ที่อยู่แบบคี่ มันก็เหมือนกับว่าเราได้เปิดประตูรอชีวิตคี่แบบถาวรไปแล้ว เพราะโอกาสประสบความสำเร็จมันก็มีมากพอๆ กับโอกาสที่จะมีมือที่สามจะแทรกเข้ามา หรืออย่างที่เลวร้ายที่สุดก็เหมือนคู่ของคนรู้จักของเราที่ได้เล่าไปแล้วนั่นเอง นั่นก็คือการไม่มีเวลาได้ดูแลกันในยามเจ็บป่วยเป็นไข้ ไม่มีเวลาได้ใส่ใจทุกข์สุขให้กันและกัน...สำหรับคู่ของคุณเราก็ไม่รู้ว่าอนาคตมันจะมีแนวโน้มไปทางไหน แต่สำหรับคู่ของเรา เราได้ข้อคิดมาว่า เราจะไม่กังวลกับอนาคตจนลืมปัจจุบัน เราจะไม่กลัวว่าถ้าเรายังเป็นอยู่เป็นคู่ด้วยกันแบบนี้แล้วในอนาคตเราสองคนจะต้องลำบากนู่นนี่ เราจะต้องขาดนั่นนี่ หรือลูกเราจะลำบากหรืออะไร...เราจะพึงพอใจกับสิ่งที่เรามี ยินดีกับสิ่งที่เราได้ และทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุดก็พอ (เราไม่อยากเสียสละปัจจุบันด้วยการแยกกันอยู่กับคนที่เรารัก เพื่อหวังผลอันไม่แน่นอนในอนาคต)...ความไม่แน่นอนมันเกิดขึ้นได้เสมอ แล้ววันนี้เราได้ดูแลกันและกันอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง
แสดงความคิดเห็น
มีใครที่แต่งงานแล้วต้องแยกกันอยู่กับสามีบ้าง
ในระยะเวลาหนึ่งปีที่แยกกันอยู่ ดิฉันต้องทำงานหนักขึ้นเท่าตัว เพื่อให้รายได้เท่าเดิม (หักรายจ่ายแล้ว 100000-150000ต่อเดือน) เพราะมีภาระค่าตึก ส่งบ้าน ส่งรถ พ่อแม่ครอบครัวที่ส่งเสีย จะหวังพึ่งเงินเดือนข้าราชการของสามีแค่ 18000 ไม่ได้เลย ขนาดทนกู้ยืมเรียนของสามีที่จ่ายรายปีดิฉันยังต้องจ่ายให้เขาเลย เงินเดือนแค่เขาใช้คนเดียวก็หมดแล้วค่ะ ทุกวันนี้ใช้ชีวิตทุกอย่างต้องพึ่งตัวเองก๊อกน้ำเสีย ไฟไม่ติด ซื้อของยกของหนักๆเข้าบ้านคนเดียว 1 เดือนเจอกันแค่ 1-2ครั้ง ตอนนี้รู้สึกเบื่อเหนือยและก็ท้อแท้มากค่ะ เคยคิดว่าอยากแต่งงานมีลูกอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา สามีอยากมีลูกมากๆเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นแบบนี้แล้วดิฉันต้องทำงานเหนื่อยเครียดแล้วต้องมาเลี้ยงลูกตัวคนเดียวอีก คงไม่ไหว
อย่างนี้เขาเรียกว่าคู่ชีวิตกันหรือเปล่า รู้สึกว่าจะแต่งงานทำไมนะ อยู่เป็นโสดหาเงินใช้คนเดียวยังสบายใจกว่า บางครั้งก็คิดว่าตัวเองเห็นแก่ตัวหรือ่อนแอเกินไปหรือเปล่า เพราะเห็นหลายคนที่ทำงานห่างไกล นานๆเจอกันทีเขาก็ดูรักกันและมีความสุขดีนะ อยากรู้ว่ามีความรู้สึก เหนื่อย เหงา บ้างไหม หรือมีความคิดยังไงบ้างคะ จะได้มาปรับใช้กับตัวเอง ไม่อยากจะต้องมาทะเลาะกันจนหย่าร้างเพราะเรื่องแค่นี้