อยากจะเอาชีวิตคู่ของตัวเองเป็นอุทาหรณ์ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นนะคะ
เริ่มมาจากรู้จักกับสามีมาประมาณเกือบ 8 ปีถึงได้แต่งงานกันชีวิตก่อนแต่งงาน ต่างคนต่างทำงานมีระยะห่างให้กันละกันไม่มีเรื่องทะเลาะกันรุ่นแรงมากมายอะไร เมื่อแต่งงานก็ท้องและมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ชีวิตเริ่มเปลี่ยนจากที่ตัวดิฉันเองที่ไม่มีความต้องการทางเพศหลงเหลืออยู่เลยเมื่อมีลูก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรซึ่งเป็นปัญหาของสามีมากๆ ในช่วงแรกสามีก็พยายามจะแก้ไขปัญหาชองเราสองคนดิฉันไม่ใส่ใจและคิดว่าสามีต้องเข้าใจว่าเราเหนื่อยเลี้ยงลูก ทำงาน
คงจะเหมือนกันกับหลาย ๆ ครอบครัวสำหรับปัญหานี้เพียงแต่ว่า ทางแก้ของสามีคงจะแตกต่างกันไป แน่นอนค่ะของสามีดิฉันคือการมีภรรยาน้อยเป็นลูกน้องตัวเองที่ตามกันมาตั้งแต่ที่ทำงานเก่าจนที่ทำงานปัจจุบัน น่าจะคบกันตั้งแต่ที่ทำงานเก่ามาเรื่อย ๆ เคยระแวงถามก็ตอบว่าไม่มีอะไร กว่าดิฉันจะมาทราบเรื่องก็คบกันมา 3 ปีกว่า ซึ่งมันก็สายเกินไปแล้วที่จะแยกสามีออกมาจากฝ่ายตรงข้าม หลังจากทราบเรื่องดิฉันพยายามแก้ไขทุกอย่างเป็นระยะเวลา 2 ปีเต็มที่ต้องอดทนไม่มีปาก ไม่มีเสียง สามีจะทำตัวอย่างไรทนค่ะ เราผิดรับกรรมไป สามีอยากมีอะไรกับเราก็ยอม พอถามกลับคำตอบที่ได้คือ ดิฉันเป็นฝ่ายต้องการ งงซิค่ะ คิดว่าซักวันสามีจะคิดได้ เหมือนในละครเลยค่ะ เอาแต่คิดถึงวันเก่าที่สามีเคยสัญญาว่าจะรัก และดูแลกันและกันไปจนวันตาย จะตั้งใจทำมาหากินช่วยเหลือกันและกัน พอเราถามสิ่งเหล่านี้กลับไปคำตอบที่ได้คือ เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน ต่างกรรมต่างวาระ เราเพียงแค่ยอมรับว่าเรื่องมันเกิดไปแล้ว เริ่มมาจากเรา เราต้องเป็นคนรับผิด โดยการยอมรับให้ได้ว่าต้องมีสองบ้าน เราถามกลับว่าในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งว่า ฝ่ายตรงข้ามอดทนได้เหรอ สองบ้านในเมื่อความหวังคือบ้านเดียวเพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสม คำตอบคือ ผู้หญิงรู้ตัวดีว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร และผู้หญิงมีบุญคุณมากที่ทำให้สามีไม่ต้องไปเที่ยวอาบอบนวด ไม่รู้ว่าผู้หญิงจะรู้ตัวไหมว่าฝ่ายชายคิดอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ผู้หญิงก็รู้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาว่ามีครอบครัว ความหวังเท่านั้นที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ได้ในโลกมืด ๆ ของเธอ ตอนแรก ๆ ที่รู้ ก็คุยกับฝ่ายตรงข้ามแต่เหมือนเขาจะรักมาก เขาพูดแต่ว่าจะทดลองเป็นบ้านที่สองดูว่าเป็นอย่างไร เพราะทุกวันนี้อยู่ในที่มืดก็ไม่มีความสุข รองเป็นบ้านที่สองอาจจะสุขก็ได้ เอาจริงนะคะไม่คิดจริง ๆ ว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะไม่มีศีลธรรม จรรยา ได้ขนาดนี้ การศึกษาไม่ได้ช่วยทำให้ความคิดดีขึ้น เรียนจบปริญญาโทก็ไม่มีประโยชน์ พ่อเป็นบุคคลที่เคารพนับถือในวงการมวยก็ไม่ช่วยให้คิดถึงหน้าตาในสังคมว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องสังคมไม่ยอมรับ ดิฉันนับถือผู้หญิงคนนี้มากยึดมั่นในรัก ยอมทรมานที่จะอยู่อย่างไม่มีตัวตันได้นับจนถึงวันนี้ก็ 5 ปีกว่าๆ ถ้าเป็นคู่ปกติก็น่าจะได้แต่งงานกันไปแล้วมั้งค่ะ
ปัจจุบันแยกกันอยู่มาเกือบปี เหตุที่ทนต่อไม่ได้คือความไม่รับผิดชอบในความเป็นพ่อ ความรับผิดชอบในความเป็นสามีคงไม่ต้องคิดเพราะไม่มีนานแล้ว ทุกครั้งที่ให้กลับบ้านเร็วมาอยู่กับลูกสาว จะตอบว่างานยุ่ง และตัวสามีจะคิดว่าตนเองถูกกดดันให้ต้องมารับหน้าที่ต่าง ๆ ที่ผ่านมาดิฉันไม่เคยเรียกร้องให้ต้องมาดูแลลูกสาวเลยถ้าไม่จำเป็นใน 1 ปี น่าจะไม่เกิน 2-3 ครั้ง ในความคิดของสามีคงคิดว่ามาก ส่วนฝ่ายตรงข้ามปัจจุบันจะได้สิ่งที่หวังรึยังก็ไม่ทราบได้ มีตัวตนหรือไม่ก็ไม่รู้ และทำงานที่เดียวกันเหมือนเดิม
ดิฉันเขียนแบบสั้น ๆ นะคะ จริง ๆ มีรายละเอียดมากกว่านี้เยอะมากแค่อยากจะบอกว่าผู้หญิงเราเมื่อแต่งงานแล้วต้องทำหน้าที่ให้ครบทั้งภรรยาและแม่ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ถึง ณ ปัจจุบันนี้ดิฉันจะทำครบแล้วก็ไม่มีประโยชน์สามีไม่หยุดที่จะมีสองบ้าน (ที่ยังเรียกสามีเพราะยังไม่ได้หย่าร้างอย่างเป็นทางการ) และการที่ดิฉันต้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เป็นเพราะตนเองเลือกเอง สามีกล่าวแบบนั้นเขาไม่ได้เป็นฝ่ายเลือก
อีกสิ่งที่สำคัญของชีวิตคู่คือ การยอมรับนับถือกัน ให้เกียรติกันอันนี้สำคัญมากค่ะ ดิฉันมารู้ตัวตอนหลังว่าขาดสิ่งนี้ทำให้เราไม่ต้องการมีสัมพันธ์กับเขา
ปัจจุบันดิฉันพยายามเป็นทั้งแม่และพ่อให้ดีที่สุดให้กับลูกสาว ไม่ให้เขารู้สึกขาด ถึงแม้ลึก ๆ จะยังเจ็บอยู่ไม่รู้เมื่อไหร่จะหายไป ทุกวันนี้ยังคงถูกสามีพูดอยู่เลยค่ะว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมเราผิดก่อนเขาถึงเป็นแบบนี้ เมื่อก่อนอาจจะใช่นะคะ แต่ตลอดระยะเวลา 2 ปีหลังจากจับได้ ดิฉันว่าดิฉันปรับปรุงตัวเองเพื่อให้ครอบครัวยังเป็นครอบครัวไม่ต้องการแตกแยก แต่ทำคนเดียวมันคงจะไมได้ค่ะ มันก็มัวันที่จะหมดแรง และหมดความอดทน ทำจนความรู้สึกผิดมันค่อย ๆ หายไปสิ่งหนึ่งที่ดิฉันพูดตลอดกับสามีว่า ไม่เคยบอกว่าตัวเองไม่ผิด รู้ว่าผิดและพร้อมแก้ไขเพื่อให้ครอบครัวเป็นครอบครัว แต่ในทางกลับกันเขาไม่คิดว่าตนเองผิดดังนั้นทางออกคือดิฉันต้องยอมรับและแยกทางไป
ความผิดพลาดในการดำเนินชีวิตครอบครัว เลือกผิด ทำผิด ไม่มีจิตสำนึก มันคือเรื่องที่เราต้องยอมรับ
เริ่มมาจากรู้จักกับสามีมาประมาณเกือบ 8 ปีถึงได้แต่งงานกันชีวิตก่อนแต่งงาน ต่างคนต่างทำงานมีระยะห่างให้กันละกันไม่มีเรื่องทะเลาะกันรุ่นแรงมากมายอะไร เมื่อแต่งงานก็ท้องและมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ชีวิตเริ่มเปลี่ยนจากที่ตัวดิฉันเองที่ไม่มีความต้องการทางเพศหลงเหลืออยู่เลยเมื่อมีลูก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรซึ่งเป็นปัญหาของสามีมากๆ ในช่วงแรกสามีก็พยายามจะแก้ไขปัญหาชองเราสองคนดิฉันไม่ใส่ใจและคิดว่าสามีต้องเข้าใจว่าเราเหนื่อยเลี้ยงลูก ทำงาน
คงจะเหมือนกันกับหลาย ๆ ครอบครัวสำหรับปัญหานี้เพียงแต่ว่า ทางแก้ของสามีคงจะแตกต่างกันไป แน่นอนค่ะของสามีดิฉันคือการมีภรรยาน้อยเป็นลูกน้องตัวเองที่ตามกันมาตั้งแต่ที่ทำงานเก่าจนที่ทำงานปัจจุบัน น่าจะคบกันตั้งแต่ที่ทำงานเก่ามาเรื่อย ๆ เคยระแวงถามก็ตอบว่าไม่มีอะไร กว่าดิฉันจะมาทราบเรื่องก็คบกันมา 3 ปีกว่า ซึ่งมันก็สายเกินไปแล้วที่จะแยกสามีออกมาจากฝ่ายตรงข้าม หลังจากทราบเรื่องดิฉันพยายามแก้ไขทุกอย่างเป็นระยะเวลา 2 ปีเต็มที่ต้องอดทนไม่มีปาก ไม่มีเสียง สามีจะทำตัวอย่างไรทนค่ะ เราผิดรับกรรมไป สามีอยากมีอะไรกับเราก็ยอม พอถามกลับคำตอบที่ได้คือ ดิฉันเป็นฝ่ายต้องการ งงซิค่ะ คิดว่าซักวันสามีจะคิดได้ เหมือนในละครเลยค่ะ เอาแต่คิดถึงวันเก่าที่สามีเคยสัญญาว่าจะรัก และดูแลกันและกันไปจนวันตาย จะตั้งใจทำมาหากินช่วยเหลือกันและกัน พอเราถามสิ่งเหล่านี้กลับไปคำตอบที่ได้คือ เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน ต่างกรรมต่างวาระ เราเพียงแค่ยอมรับว่าเรื่องมันเกิดไปแล้ว เริ่มมาจากเรา เราต้องเป็นคนรับผิด โดยการยอมรับให้ได้ว่าต้องมีสองบ้าน เราถามกลับว่าในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งว่า ฝ่ายตรงข้ามอดทนได้เหรอ สองบ้านในเมื่อความหวังคือบ้านเดียวเพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสม คำตอบคือ ผู้หญิงรู้ตัวดีว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร และผู้หญิงมีบุญคุณมากที่ทำให้สามีไม่ต้องไปเที่ยวอาบอบนวด ไม่รู้ว่าผู้หญิงจะรู้ตัวไหมว่าฝ่ายชายคิดอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ผู้หญิงก็รู้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาว่ามีครอบครัว ความหวังเท่านั้นที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ได้ในโลกมืด ๆ ของเธอ ตอนแรก ๆ ที่รู้ ก็คุยกับฝ่ายตรงข้ามแต่เหมือนเขาจะรักมาก เขาพูดแต่ว่าจะทดลองเป็นบ้านที่สองดูว่าเป็นอย่างไร เพราะทุกวันนี้อยู่ในที่มืดก็ไม่มีความสุข รองเป็นบ้านที่สองอาจจะสุขก็ได้ เอาจริงนะคะไม่คิดจริง ๆ ว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะไม่มีศีลธรรม จรรยา ได้ขนาดนี้ การศึกษาไม่ได้ช่วยทำให้ความคิดดีขึ้น เรียนจบปริญญาโทก็ไม่มีประโยชน์ พ่อเป็นบุคคลที่เคารพนับถือในวงการมวยก็ไม่ช่วยให้คิดถึงหน้าตาในสังคมว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องสังคมไม่ยอมรับ ดิฉันนับถือผู้หญิงคนนี้มากยึดมั่นในรัก ยอมทรมานที่จะอยู่อย่างไม่มีตัวตันได้นับจนถึงวันนี้ก็ 5 ปีกว่าๆ ถ้าเป็นคู่ปกติก็น่าจะได้แต่งงานกันไปแล้วมั้งค่ะ
ปัจจุบันแยกกันอยู่มาเกือบปี เหตุที่ทนต่อไม่ได้คือความไม่รับผิดชอบในความเป็นพ่อ ความรับผิดชอบในความเป็นสามีคงไม่ต้องคิดเพราะไม่มีนานแล้ว ทุกครั้งที่ให้กลับบ้านเร็วมาอยู่กับลูกสาว จะตอบว่างานยุ่ง และตัวสามีจะคิดว่าตนเองถูกกดดันให้ต้องมารับหน้าที่ต่าง ๆ ที่ผ่านมาดิฉันไม่เคยเรียกร้องให้ต้องมาดูแลลูกสาวเลยถ้าไม่จำเป็นใน 1 ปี น่าจะไม่เกิน 2-3 ครั้ง ในความคิดของสามีคงคิดว่ามาก ส่วนฝ่ายตรงข้ามปัจจุบันจะได้สิ่งที่หวังรึยังก็ไม่ทราบได้ มีตัวตนหรือไม่ก็ไม่รู้ และทำงานที่เดียวกันเหมือนเดิม
ดิฉันเขียนแบบสั้น ๆ นะคะ จริง ๆ มีรายละเอียดมากกว่านี้เยอะมากแค่อยากจะบอกว่าผู้หญิงเราเมื่อแต่งงานแล้วต้องทำหน้าที่ให้ครบทั้งภรรยาและแม่ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ถึง ณ ปัจจุบันนี้ดิฉันจะทำครบแล้วก็ไม่มีประโยชน์สามีไม่หยุดที่จะมีสองบ้าน (ที่ยังเรียกสามีเพราะยังไม่ได้หย่าร้างอย่างเป็นทางการ) และการที่ดิฉันต้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เป็นเพราะตนเองเลือกเอง สามีกล่าวแบบนั้นเขาไม่ได้เป็นฝ่ายเลือก
อีกสิ่งที่สำคัญของชีวิตคู่คือ การยอมรับนับถือกัน ให้เกียรติกันอันนี้สำคัญมากค่ะ ดิฉันมารู้ตัวตอนหลังว่าขาดสิ่งนี้ทำให้เราไม่ต้องการมีสัมพันธ์กับเขา
ปัจจุบันดิฉันพยายามเป็นทั้งแม่และพ่อให้ดีที่สุดให้กับลูกสาว ไม่ให้เขารู้สึกขาด ถึงแม้ลึก ๆ จะยังเจ็บอยู่ไม่รู้เมื่อไหร่จะหายไป ทุกวันนี้ยังคงถูกสามีพูดอยู่เลยค่ะว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมเราผิดก่อนเขาถึงเป็นแบบนี้ เมื่อก่อนอาจจะใช่นะคะ แต่ตลอดระยะเวลา 2 ปีหลังจากจับได้ ดิฉันว่าดิฉันปรับปรุงตัวเองเพื่อให้ครอบครัวยังเป็นครอบครัวไม่ต้องการแตกแยก แต่ทำคนเดียวมันคงจะไมได้ค่ะ มันก็มัวันที่จะหมดแรง และหมดความอดทน ทำจนความรู้สึกผิดมันค่อย ๆ หายไปสิ่งหนึ่งที่ดิฉันพูดตลอดกับสามีว่า ไม่เคยบอกว่าตัวเองไม่ผิด รู้ว่าผิดและพร้อมแก้ไขเพื่อให้ครอบครัวเป็นครอบครัว แต่ในทางกลับกันเขาไม่คิดว่าตนเองผิดดังนั้นทางออกคือดิฉันต้องยอมรับและแยกทางไป