แชร์ประสบการณ์สอบ TOEFL ที่ OBAC และ Paradigm Language Institute ค่ะ

เริ่มเรื่องก็เนื่องด้วยมีแพลนจะไป exchange ต่างประเทศตอนปี 3 เลยทำให้เราต้องมาพานพบกับ TOEFL ค่ะ ก่อนจะเข้ามหาลัยไม่เคยคิดเรื่องการไปเรียนต่อต่างประเทศมาก่อนเลย จนเข้ามาเรียนคณะอินเตอร์นี่ละค่ะ ถึงเริ่มเห็นความสำคัญของการไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่เมืองนอก อมยิ้ม07 เลยทำให้เราตัดสินใจอยากไปเรียนเมืองนอก
แต่ทางมหาลัยก็มีเงื่อนไขตอนยื่น application คือเราต้องไปสอบวัดระกับความสามารถทางภาษา อันนี้แหละเห็นแล้วแทบร้อง อมยิ้ม20 เพราะส่วนตัวเป็นคนที่ไม่มีพื้นด้านภาษาอังกฤษเลย เป็นเด็ก made in Thailand ของจริง ก่อนเข้ามหาลัยเขียนภาษาอังกฤษรวมกันไม่เกิน 3 หน้า เรื่องฟังพูดนี่ไปกันใหญ่ เวลาฟังก็ฟังไม่ออกเหมือนฟังภาษาต่างดาว ส่วนพูดก็งงๆมึนๆ คนฟังก็มึนตาม 555
ตอนเลือกเข้าเรียนคณะอินเตอร์เพราะมีความหวังว่ามันจะช่วยพัฒนาศักยภาพด้านภาษาบ้าง แต่สามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร!! ส่วนใหญ่คนอื่นที่เก่งขึ้นเพราะเค้าหาโอกาสฝึกฝนเอง คุยกับนักเรียนแลกเปลี่ยนบ้าง หลังๆมานี้เราก็พยายามฝึกฝนบ้าง แต่ส่วนใหญ่เพื่อนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษของเรา อมยิ้ม24

เตรียมตัวสอบ ใช้เวลาในการเตรียมตัวประมาณสองเดือนค่ะ ตั้งแต่ช่วงปลายๆเดือนกรกฎาหลังเรียนซัมเมอร์จบก็เริ่มซื้อหนังสือมาอ่านและฝึกเอง ตอนแรกก็อยากจะไปหาที่สอนพิเศษนะคะ แต่ดูจากราคาและได้ไปทดลองเรียนดูก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรมาก ความงกเลยกำเริบมานั่งอ่านเองดีกว่า 555 จะแบ่งย่อยออกมานะคะว่าสิ่งที่ใช้เตรียมตัวมีอะไรบ้าง

1. คอร์ส writing อ.ดวงใจ ที่ราชดำเนิน อันนี้เป็นคอร์สเดียวที่ลงเรียนค่ะ เพราะราคาไม่แพงประมาณ 3000 บาทเรียนได้ 18 ครั้ง (ถูกมากกก) และมันไม่ได้ไกลจากมหาลัยเท่าไหร่เลยลองเรียนดูค่ะ การสอนจะออกสไตล์โบราณๆคือเขียนขึ้นกระดานให้จดตาม อ.ก็จะให้พวก Pattern, Phrase, Guideline, etc. ซึ่งจริงๆพวกนี้หาอ่านได้ในหนังสือของทุกสำนักค่ะ เพราะชีทของที่นี่จริงๆก็ซีร็อกมาจากหนังสือเตรียมสอบ toefl หลายๆสำนัก ส่วนตัวตอนไปเรียนเหมือนเป็นการอ่านหนังสือให้ฟังซะมากกว่า เหมาะสำหรับคนขี้เกียจแบบเราที่มีหนังสือไม่เคยเปิดอ่าน 555
สรุปแล้วเราไปเรียนประมาณ 10 ครั้งก็รู้สึกเสียเวลาเพราะมันซ้ำไปซ้ำมาเลยไม่ได้ไปเรียนต่อแล้วค่ะ **หากจะไปลงเรียนที่นี่แนะนำว่าควรมีพื้นฐานการเขียนที่ดีในระดับนึง เพราะอาจารย์จะสอนแค่แนวการเขียน การจัดย่อหน้า คำนำ เนื้อหา สารบัญ แนวนี้มากกว่าไม่ได้เป็นการปูพื้นฐานการฝึกเขียนแต่เริ่ม ประกอบกับไม่ได้เปิดโอกาสให้เราฝึกเขียนเอง อาจารย์ท่านจะยกตัวอย่างขึ้นกระดานให้เราลอกตาม**
ข้อดี
- ราคาไม่แพง
- สอนแบบฟอร์มสำเร็จสำหรับคนที่เขียนพอได้
- หนังสือเรียนเหมือนสรุปเนื้อหาสำคัญๆของทุกสำนัก
- สอนวันละ topic จัดเวลาเรียนเองได้ ไม่ต้องมาตลอด
ข้อเสีย
- แอบน่าเบื่อ สอนซ้ำๆวนไปวนมา
- ถ้าเขียนไม่ได้เลยแนะนำว่าอย่าเพิ่งลงคอร์สนี้
- แอร์หนาวไปไหน

2. BARRON + stimulation test เราซื้อแบบเล่มหลักที่มี CD จำลองข้อสอบมาทำค่ะ ปกเขียวๆ ราคาประมาณเกือบ 1000 บาท อันนี้เป็นเล่มนึงที่แนะนำมากกกก เพราะแนวข้อสอบคล้ายกับข้อสอบจริงมากสุด ยกเว้นเรื่อง choice ที่แอบปัญญาอ่อนนิดๆ มันตัดช้อยส์ง่ายเกินไปหน่อย ใครที่มีเวลามากพอแนะนำว่าควรอ่านเล่มนี้ก่อนค่ะ เพราะข้อสอบมีหลายชุดมากกก 8 ชุดถ้าจำไม่ผิดนะคะ และสำหรับ speaking ก็มีโปรแกรมอัดเสียงของเราเหมือนตอนสอบจริง เวลามานั่งฟังซ้ำก็จะได้รู้ถึงความปัญญาอ่อนของตัวเอง 555 ที่ต่างจากเล่มอื่นคือเค้าจะสอนพวก academic skill เช่น paraphrasing analysis วิธีเลคเชอร์ บลา บลา บลา ซึ่งตรงนี้เราข้ามไป ไม่ได้อ่านเพราะมีวิชาที่คณะสอนตอนปีหนึ่ง แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ใช้ academic english อันนี้ช่วยได้เยอะ เล่มนี้ถ้าอ่านจบทำได้คุณจะมีพื้นที่แน่นมากๆ
ข้อดี
- มีครบตั้งแต่สากเบือยันเรือรบเล่มเดียวจบ
- ข้อสอบมีหลายชุดมากกก เอาไว้ฝึกทำให้อุ่นใจ
- แนวข้อสอบใกล้เคียงกับของจริง แอบยากกว่าด้วย
- มี study plan ให้เอาไว้วางแผนการอ่านด้วย
- โปรแกรมสามารถอัดเสียงตอน speaking ได้
- เป็นการเริ่มต้นที่ดีเพราะเค้าเน้นเรื่องการปูพื้น skill ที่จำเป็นในการสอบ
ข้อเสีย
- ค่อนข้างพูดเร็วกว่าข้อสอบจริงฟังไม่ทันอย่าตกใจ
- choice มันปัญญาอ่อนเกินทำให้เราตายใจ ข้อสอบจริงช้อยส์โหดกว่านี้
- ข้อสอบ speaking & writing ยากกว่าของจริงเยอะอยู่ แบบอ่านทีไม่รู้จะตอบอะไรอึ้ง 555
- ส่วนตัวคิดว่ายังมีเทคนิคต่างๆน้อยไปหน่อย

3. McGraw Hill official ETS TOEFL preparation เล่มนี้แนะนำสำหรับพวกไฟลนก้น 555 คือค่อนข้างบางกว่าเล่มอื่น และเขียนโดยผู้จัดสอบเอง ซึ่งแนวค่อนข้างตรงกับข้อสอบจริงแต่ง่ายกว่า 100 เท่าบอกเลย จะมีแบบจำลองข้อสอบมาให้สามชุด แนะนำให้ทำมันให้หมดเพื่อให้คุ้นเคยกับโปรแกรมและแนวข้อสอบว่ามันจะเป็นอะไรประมาณไหน เอาแค่ไปถึงหน้าห้องสอบไม่ช็อคหัวใจวายตาย การทำความคุ้นเคยกับรูปแบบการสอบนี่สำคัญมากกก เพราะมีเพื่อนเราคนนึงที่ไม่ได้รู้ว่ามันจะมีการตัดเวลาใน part listening คือเลือกคำตอบได้แค่ 10 นาทีต่อ set สรุปโดนตัดไปตอบยังไม่ครบ เอวัง... ส่วนตัวเราทำ CD จนครบส่วนตัวเล่มไม่ค่อยได้อ่านเท่าไหร่เพราะมันซ้ำๆกับเล่มอื่น
ข้อดี
- เหมือน survival kit ที่จะช่วยให้รู้ว่าแบบฟอร์มการสอบเป็นยังไง ไม่ไปนั่งงงในห้องสอบ
- ราคาไม่แรงมาก 600 กว่าบาทพร้อม CD ที่ศูนย์หนังสือจุฬา
- แนวข้อสอบค่อนข้างตรงโดยเฉพาะ speaking & writing
- เล่มไม่หนามาก ประหยัดเวลาสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาเตรียมตัว
ข้อเสีย
- ข้อสอบง่ายเกินทำให้ประมาทเวลาสอบจริงได้
- ไม่ค่อยมีเทคนิดเท่าไหร่ เหมือนแค่แนะนำตัวข้อสอบ

4.Princeton Review Cracking TOEFL อะไรสักอย่าง ซื้อแบบไม่มี CD ข้อสอบมา มีแต่ Audio CD ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ฟัง แต่เล่มนี้แนวข้อสอบจะยากพอๆกับของจริง แต่เนื้อหามันค่อยข้างไม่เหมือนกับข้อสอบจริงเท่าไหร่ งงมั้ย 555 แต่ที่ดีมากๆคือตัดช้อยส์ไม่ค่อยได้ ช้อยส์หลอกเยอะมากๆเหมือนกับข้อสอบจริงเลย เล่มนี้จะเด่นเรื่องเทคนิคที่แพรวพราวสุดยอด ตัดช้อยส์เอย วิธีอ่านไวเอย บลา บลา บลา เรื่องแนะนำและปู้พื้นฐานของตัวข้อสอบก็โอเคเลย ใครพอมีเวลาหน่อยแต่ยังไม่เยอะพอที่จะบ้าคลั่งกับ barron เล่มนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เสียดายที่ไม่ได้ลองซื้อแบบมี CD มาทำ
ข้อดี
- เทคนิคเยอะมากกกกก ทำไม่ได้ก็ต้องเดาให้ได้ 555
- สอนสกิลพื้นฐานหลายๆอย่างที่ไม่มีใน barron เช่น วิธีอ่านเร็ว
- แนะนำให้อ่านเป็นเล่มต่อจาก barron จะช่วยได้เยอะ
ข้อเสีย
- ตัวอย่างข้อสอบจริงมีแค่ชุดเดียว ไม่รู้ว่าเป็นแค่ edition นี้รึเปล่า
- การใช้เทคนิคเยอะไปอาจทำให้เสียเวลาในการสอบจริงได้ ใช้สัญชาตญาณดีกว่า 555

5. Cambridge TOEFL practice v.2006 เราโหลดแบบเวอร์ชันเก่าที่มันยังมีพาร์ทแกรมม่ามาแนวข้อสอบเลยไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ ไม่รู้ว่า edition ปัจจุบันเค้าปรับปรุงเหมือนข้อสอบจริงหรือยัง แต่ layout โปรแกรมก็คล้ายๆกับการสอบจริงอยู่บ้าง เอาไว้ทำหลังจากที่ทำเล่มอื่นจนเสร็จหมดแล้วดีกว่า พาร์ท reading โอเคมาก แต่ listening ก็จะมีบางส่วนที่ไม่เหมือนข้อสอบปัจจุบันบ้าง
ข้อดี
- ข้อสอบเยอะดี แนว reading ก็ค่อนข้างตรง
- เอาไว้ทำเล่นๆเตอนทำสำนักอื่นเสร็จหมดแล้ว
ข้อเสีย
- เป็นรูปแบบข้อสอบเก่าเลยไม่ค่อยเหมือนข้อสอบจริง
**ใครเคยทำเวอร์ชั่นใหม่รบกวนแชร์กันด้วยนะคะ**

6. Kaplan TOEFL เราทำเป็นเวอร์ชั่น CD ที่โหลดบิทมาค่ะ คือลองทำไปได้นิดหน่อยก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมือนกับสำนักอื่นๆแนวมันแปลกๆ สำเนียงฟังยากด้วยเลยไม่ได้ทำต่อ ซึ่งมันก็ไม่ค่อยตรงกับแนวข้อสอบจริงเท่าไหร่ค่ะ ดีนะเนี่ยที่ไม่บ้าพลังทำจนหมด 555
ข้อดี
- ยังหาไม่เจอ 555
ข้อเสีย
- แนวข้อสอบไม่ตรง

ขอแนะนำเป็นลำดับการอ่านคร่าวๆนะคะ
ETS > BARRON's > Princton Review > Cambridge
ตามนี้ค่ะ แต่ถ้าเวลาจำกัดจริงๆแนะนำเป็น ETS > Princeton Review ค่ะ

ตอนอ่านหนังสือก็ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงหลังจากเรียนที่มหาลัยเสร็จก็พยายามกลับมาอ่านทุกวัน โดยการไล่อ่านหนังสือมันทุกสำนักเลย 555 บางช่วงที่ยุ่งๆหรือติดสอบก็จะมีเว้นไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็พยายามอ่านให้ได้หนึ่ง passage ก่อนเข้านอน พยายามอ่านไปเรื่อยๆอย่าอัดตอนใกล้ๆสอบจะดีกว่า ช่วงใกล้ๆสอบแนะนำให้ฝึกทำแบบทดสอบเหมือนจริง คือ ทำต่อเนื่องทุกพาร์ท เพราะมันกินเวลานานเกือบ 4 ชั่วโมง ถ้าไม่เคยฝึกความอึดอยู่ในห้องสอบอาจจะรักษาสมาธิได้ไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนอื่นที่อยากแนะนำก็มีเรื่องการฝึก Speaking เราฝึกโดย App TSpeaking ใน iphone ซึ่งมันจะมีแนวข้อสอบให้เราได้ฝึกอัดเสียง พร้อมกับมีตัวอย่างคำตอบที่ดีว่ามันควรเป็นอย่างไร การฝึกพูดบ่อยๆสามารถช่วยให้เราพูดได้คล่องขึ้น ดีไม่ดีอาจจะเจอคำถามเดียวกับที่เราเคยฝึกด้วย 555 หากเป็นไปได้ลองฝึกทำข้อสอบในที่ๆมีเสียงรบกวนเพราะไปสนามจริงมันก็จะมีเสียงรบกวนตอนเราสอบบ้างมากน้อยแล้วแต่สนาม การฝึกทำในห้องสอบเงียบๆอาจจะทำให้เราไม่เคยชินต่อเสียงรบกวนได้

ขอต่อคอมเม้นท์ด้านล่างนะคะยังมีอีกเยอะมากๆๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่