"สิ่งที่แม่ต้องการ ผมทำให้แม่ได้แล้วนะ" ... คำซาบซึ้งหนึ่งที่ "พระครรชิต ปิยสีโล" (คนกตัญญู) กล่าวกับแม่ของท่าน

อยากให้กัลยาณมิตรทุกท่าน ... ได้อ่านบันทึกนี้จนจบครับ ;)...


"๑ พระอาจารย์ ๙ มารร้าย ปิดอบายใน ๑ พรรษา" เป็นหนังสือที่ได้มีการพูดคุยสัมภาษณ์เหล่าพระลูกศิษย์ของพระอาจารย์นวลจันทร์ ที่ลูกศิษย์แต่ละรูปก่อนบวช คือ คนที่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น บางคนเคยเป็นผู้บริหารไทยในจำนวนไม่กี่คนของบริษัทผู้ผลิตรถยนตร์ข้ามชาติ บางคนเป็นถึงผู้กำกับหนังโฆษณามือรางวัล บางคนเคยยักยอกเงินชาวบ้านเป็นล้าน ๆ และทำให้ผู้หญิงต้องไปทำแท้งมาก่อน ! แถมบางคนก็เป็นนักเรียนนอกที่เคยติดคุกมาแล้วถึง ๔ ปี ! ... สุดขั้วทุกคน อัตตาหนาเตอะ แต่สุดท้ายก็เข้ามาอยู่ในร่มกาสาวพักตร์ได้อย่างไร (ลองหาซื้อมาอ่านดูนะครับ)




ตามที่เล่ามานี้ ถือว่า สุดขั้วทุกคน ... แต่ในบันทึกนี้ผมขอกล่าวถึง ท่านสุดท้าย คือ ท่านที่ ๙ พระครรชิต ปิยสิโล อายุ ๓๓ ปี อดีตครูอนุบาล / บวชพรรษา ๒๕๕๐ (ตอนนี้ยังไม่สึก)





พระอาจารย์นวลจันทร์พูดถึงพระครรชิต

ท่านเป็นต้นแบบที่ดี เพราะท่านเป็นครูมาก่อน จริยาวัตรของท่านก็งดงาม มีความละเอียดอ่อน มุ่งมั่นดี ท่านเหมาะกับการทำงาน ถ้าให้ท่านมาภาวนาตามรูปแบบ บางทีก็ไม่ได้เรื่อง ต้องให้เจริญสติไปในขณะที่กำลังทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม กรรมฐานของท่านจะก้าวหน้าได้ไวมาก อาตมาเคยบอกท่านว่า "ให้อาศัยการทำงานเป็นการพักผ่อน พักไปในตัว จะได้ไม่ต้องเอาตัวไปพัก" บอกอย่างนี้แล้วท่านเข้าใจเลย ท่านได้ประโยชน์มากจากประโยคนี้ ลองไปถามท่านดูเองว่าเป็นอย่างไร มันเป็นความลับของชีวิตที่น่ารู้มาก ๆ



ผู้สัมภาษณ์ คือ คุณวีริศ อุโฆษผล จากสำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ เลือกที่จะนำถ้อยความทั้งหมดมาไว้ในหนังสือ โดยมิอาจตัดทอนออกได้



วัยเด็ก

ชีวิตเมื่อได้มองย้อนลงไปตอนวัยเด็ก ทะลุลงไปตอนที่ยังเป็นเด็กชายครรชิตอยู่ อาตมาเป็นคนจังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอกาญจนดิษฐ์ มีพี่น้องด้วยกัน ๕ คน ลูกผู้ชายทั้งนั้นเลย อาตมาเป็นคนสุดท้อง โยมแม่มีอาตมาตอนอายุสี่สิบกว่าแล้ว พี่ ๆ เขาดื่มนมโยมแม่กันไปหมดแล้ว พอมาถึงอาตมาโยมแม่เลยไม่มีนมให้ดื่มแล้ว อาตมาดื่มน้ำข้าวแทน ก็รอดมาได้นะ

การที่อาตมาได้มาเป็นพระต้องขอบพระคุณโยมแม่มากที่สุดเลย เพราะโยมแม่เป็นผู้ชี้นำทางให้ ตั้งแต่ ๗ ขวบท่านก็พาไปวัด ต้องเดินกันไปประมาณ ๕ - ๖ กิโลเมตรกว่าจะถึง อาตมาอยู่ที่ตำบลทุ่งรัง มีแต่ลูกรังลูกกรวด ก็ต้องเดินฝ่าไป บางครั้งก็ตกคันนาบ้าง โดนโยมแม่ตีเอาบ้าง แต่เมื่อไปถึงวัด สิ่งหนึ่งที่สะดุดขึ้นมาในจิตในใจก็คือ การได้กราบพระประธานนี่แหละ ไปวัดทุกครั้งโยมแม่ก็จะพาไปกราบทุกครั้ง เวลาที่เห็นประธาน ในจิตในใจก็จะคิดว่าทำไมท่านถึงได้สงบร่มเย็นอย่างนี้หนอ ทำไมถึงได้ยิ้มแย้มแจ่มใสมีเมตตาขนาดนี้หนอ




โยมแม่ขายข้าวหลาม


ที่บ้านของอาตมามีอาชีพทำนา โยมแม่ทำนาด้วย ขายของด้วย ก็ได้เห็นความทุกข์ยากลำบากของท่านเยอะ ช่วงวันหยุดโยมแม่จะไปขายข้าวหลาม ต้องเดินเป็นสิบ ๆ กิโลเมตร ต้องตื่นขึ้นมาปอกข้าวหลามตั้งแต่ตีสาม เพราะโยมแม่ท่านค่อนข้างจะละเอียด ต้องทำงานเรียบร้อย อาตมาเคยเดินตามท่านไปขาย พอเห็นเด็กทะเลาะกันโยมแม่ก็บอกว่า "ลูก ๆ ๆ อย่าทะเลาะกัน มากินข้าวหลามกันดีกว่า" ไอ้เรายืนอยู่ข้างหลังก็งงว่ากำไรมันจะมาจากไหนล่ะนี้ พอเขามาซื้อแล้วก็แถมให้อีกนะ เวลาแถมอาตมาจะดึงกระบอกเล็กให้ โยมแม่ก็บอกให้ส่งกระบอกใหญ่ให้ โอ้! โยมแม่ใจดีมาก

โยมแม่ของอาตมาตัวเล็กมากเลย แต่เวลาเดินไปขายของต้องหาบคานไว้ทั้งข้างหน้าข้างหลัง น้ำหนักเยอะมาก อาตมาเดินตามหลังต่างไปตั้งแต่ ๗ ขวบ ปรารถนาสิ่งหนึ่งก็คือ อยากจะช่วยท่านแบ่งเบาภาระ แต่เราทำได้แค่เอาข้าวหลามใส่ถุงพลาสติกหรือถือไว้ในมือข้างละ ๖ กระบอก แล้วก็เดินตามท่านไป เวลาที่หิวก็จะไม่ได้กินของอื่นหรอก โยมแม่จะชวนนั่งริมทางแล้วปอกข้าวหลามให้ลูกกิน เพราะฉะนั้นข้าวหลามที่อร่อยที่สุดสำหรับอาตมาจึงไม่ใช่ของหนองมนนะ แต่เป็นของโยมแม่นี่แหละ อร่อยมากเลย ข้าวหลามของโยมแม่





วันหนึ่ง

มีอยู่วันหนึ่ง เวลาประมาณสิบโมงกว่า ๆ อากาศร้อน แดดเปรี้ยงเลย โยมแม่ใส่งอบเดินไปสักพักท่านก็เป็นลม เราเห็นว่าปกติโยมแม่เดินตรงดี แต่วันนี้ทำไมเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา แล้วก็ค่อย ๆ ทรุดตัวล้ม อาตมาก็เข้าไปประคอง ท่านเหงื่อท่วมเลยนะ ตัวเย็นเชียว เราก็ถอดหมวกท่านมาพัดวีให้ นั่งกันอยู่ริมทางสองแม่ลูก ความคิดโผล่ขึ้นมาแวบหนึ่งเลยว่า "ผมไม่ให้แม่ทำแล้วนะ ถ้าแม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ ผมไม่ให้แม่ทำแล้ว" ว่าแล้วอาตมาก็เดินไปจับตะกร้าข้าวหลามทั้งหลายจะลากทิ้งลงในคูน้ำข้างทาง แต่โยมแม่ก็ร้องห้ามไว้ว่า "อย่านะลูก อย่าทำอย่างนั้นนะ แม่ต้องทำอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วลูกจะเอาเงินที่ไหนไปโรงเรียน จะเลี้ยงลูกทั้งห้าคนได้อย่างไร" อาตมาก็เลยขอโยมแม่ว่า "ถ้าอย่างนั้นวันนี้ไม่ต้องขายก็แล้วกันนะแม่" แล้วสองแม่ลูกก็ช่วยกันหาบข้าวหลามกลับบ้าน วันนั้นที่บ้านอิ่มเลย เพราะได้กินข้าวหลามกันทั้งบ้าน"





ความประทับใจที่สุดในชีวิตของอาตมา


มีอยู่ครั้งหนึ่งประทับใจที่สุดในชีวิต เพราะผู้ที่เป็นแม่เป็นพ่อสละทั้งชีวิตให้ลูกเลย คือบ้านอาตมาเป็นบ้านไม้ หลังคามุงจาก ใช้ฟากไม้ไผ่มาตีทำพื้น วันนั้นพายุพัดกระหน่ำแรงมาก เกือบครึ่งชั่วโมง หลังคาบ้านปลิวว่อนไปหมด ฝาบ้านหลุดลุ่ยกระจุยกระจาย สังกะสีที่ใช้มุงหลังคาห้องน้ำปลิวเฉียดหัวอาตมาไปแค่นิดเดียวเอง รู้สึกว่าโดนเส้นผมเลย ถ้าเข้าใกล้อีกนิดวันนั้นอาตมาหัวหลุดแน่ ๆ โชคดีที่รอดชีวิตมาได้

อาตมากลัวลมที่พัดแรง เพราะบรรยากาศมืดมัว มองไม่เห็นอะไร มีแต่เสียงต้นไม้หักพลัวะพละเต็มไปหมด แต่ครู่หนึ่งก็มีหญิงชายคู่หนึ่งเอาตัวเองมากางกั้นไว้ไม่ให้อะไรมาโดนลูก หญิงชายคู่นั้นก็คือ โยมพ่อโยมแม่ นี่แหละ เหมือนเวลาที่ฝนตกแล้วแม่ไก่จะกางปีกให้ลูกมาซุกตัวอยู่ข้างใต้ วันนั้นก็เหมือนกันเลย โยมพ่อกับโยมแม่มาบังลมบังสิ่งต่าง ๆ เอาไว้ กอดปิดเราไว้มิดชิดเลย เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากนะ ความรักลูกถึงขั้นยอมสละชีวิตของตัวเองได้

พอพายุสงบปรากฎว่าด้านหลังของโยมพ่อที่ปกติจะเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่เสื้อ ก็มีรอยหนาม รอยขีดข่วน เลือดออกซิบ ๆ เห็นแล้วข้างในใจอาตมาคิดเลยว่า เราเนรคุณไม่ได้แล้ว ทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจไม่ได้เลย ดูสิ ท่านรักเราขนาดนี้ ยอมสละชีวิตของตัวเอง เป็นการทุ่มเทที่สุดแล้ว





เรียนหนังสือ คือ ความฝัน


ชีวิตของอาตมาอยู่มาด้วยความยากลำบากนะ ค่อนข้างยากจน แต่โยมพี่ก็มีเมตตา ซื้อทีวีขาว-ดำมาให้ที่บ้านได้ใช้ตอนอาตมามาเรียนอยู่ชั้น ป.๖ วันหนึ่งโยมพ่อโยมแม่นั่งดูทีวี เห็นพระเทพฯ พระราชทานปริญญาบัตร โยมพ่อก็ว่า "ถ้าลูกเราห้าคนนี้มีคนได้รับปริญญาสักคนก็คงจะดี" อาตมาได้ยินแล้วก็ฝันไปไกลเลยจะเป็นนายร้อยดีไหมนะ แต่เพราะที่บ้านยากจน เราไม่มีทุนการศึกษา จะทำอย่างไรได้ พอจบ ป.๖ อาตมาก็ต้องออกมาทำงาน ทำงานเป็นพี่เลี้ยงนักเรียนในโรงเรียนเอกชน เสาร์อาทิตย์เท่านั้นที่จะว่าง ก็ไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย หมุนเวียนกันอยู่อย่างนั้น จนขยับขึ้นมาเรื่อย ๆ จบ ม.ต้นก็ต่อ ม.ปลาย





ระหว่างการเรียนมหาวิทยาลัย


พอได้เรียนต่อปริญญาตรี ตอนนั้นอาตมาได้เป็นครูพละสอนเด็กอนุบาลแล้ว แต่เงินเดือนน้อย ไม่พอ อาตมาก็ต้องทำอาชีพเสริม ทำงานเป็นคนใส่ชุดในเครื่องแบบก็คือเป็น รปภ.อยู่ในโรงพยาบาล ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าอาตมาจะทำงานที่โรงเรียนจนเลิก เวลาห้าโมงเย็น พอหกโมงเย็นก็ต้องไปเป็นยามอยู่จนถึงเที่ยงคืน มีวันหนึ่งอาตมาต้องเฝ้ายามต่อสองกะ เพราะ รปภ.ที่จะมาเฝ้ากะเที่ยงคืนถึงแปดโมงเช้าเขาไม่มา อาตมาก็อยู่ต่อไปจนถึงเช้า

จากนั้นก็ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรียนที่ราชภัฏ วันนั้นอึดมาก ยังงงตัวเองเลยว่าไปถึงโรงเรียนได้อย่างไร อาจารย์ที่สอนท่านก็ถามว่า "ครรชิตไหวไหม" เราก็ตอบว่า "ไหวครับ ไหว" แต่ข้างในเบลอไปหมดแล้ว สุดท้ายไม่รู้ว่าอาตมาเคยไปแกล้งใครไว้ก่อน เงินเดือน รปภ.แทนที่จะออกให้เดือนต่อเดือน หัวหน้ายามก็มาบอกว่ายังไม่ออกนะ สามเดือนผ่านไปเขาก็ยังไม่เอามาให้ อาตมาต้องใช้เงินจ่ายค่าหน่วยกิต แต่ในเมื่อเขาไม่มีให้ อาตมาก็เลยต้องลาออกจากการเป็น รปภ.

ช่วงนั้นกดดันมาก ขี่รถไปเรียนก็เครียด เรียนก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ จะทำอย่างไรดี แค่เงินเดือนครูไม่พอค่าหน่วยกิต อาตมาเลยไปสมัครเป็นพนักงานเสริฟในคาเฟ่ โชคดีที่เจ้าของโรงเรียนท่านอนุญาตอีกเหมือนกัน ช่วงนั้นเข้างานตั้งแต่หกโมงเย็น เลิกงานตีสอง กว่าจะเก็บโต๊ะเสร็จก็ตีสาม พอกลับไปถึงที่พักเจ็ดโมงเช้าก็ต้องมาสอนนักเรียน อาตมาทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งร่างกายซีดเหลือง...





และแล้ว ...


และแล้ววันหนึ่ง เป็นวันซ้อมรับปริญญา ก็มีผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งใส่ชุดสีครีม มาพร้อมกับช่อดอกไม้ เป็นดอกกุหลาบสีขาว ซึ่งคาดว่าผู้หญิงคนนี้คงไม่เคยซื้อดอกไม้ให้ใครหรอก ท่านอุ้มมาแล้วก็ยื่นให้ และบอกมาคำหนึ่งว่า "แม่ภูมิใจในตัวลูกมากเลย" แล้วอาตมาก็โผเข้าไปกอดท่าน ยกมือกราบที่อกและบอกว่า "สิ่งที่แม่ต้องการ ผมทำให้แม่ได้แล้วนะ" โยมแม่ได้ยินก็ร้องไห้ วันนั้นเรากอดกันแบบไม่อายใครเลย รู้สึกว่าเป็นวันที่มีความอบอุ่นเป็นพิเศษ อาตมาทำเต็มที่แล้ว โยมพ่อเองก็ภาคภูมิใจว่าลูกเรามันอึด มันสู้ มันทำจนได้





สร้างโบสถ์ให้พระอรหันต์คู่หนึ่ง


เมื่อไม่นานมานี้หลังจากที่ได้บวชแล้ว อาตมามีดำริว่าจะสร้างบ้าน ที่จริงก็ไม่ใช่บ้านหรอก สร้างโบสถ์ให้พระอรหันต์คู่หนึ่ง อาตมามีพระอรหันต์ด้วยนะ ก็ไปกราบท่านอยู่บ่อย ๆ ถึงเป็นพระก็ไปกราบท่าน เพราะท่านเป็นพระอรหันต์จริง ๆ สัมผัสได้ด้วยใจเลย อาตมาก็ได้สร้างโบสถ์ขึ้นมาหลังหนึ่งโดยไม่ได้เรี่ยไรใคร แต่บอกโยมพี่ว่า ตอนนี้พระประธานของบ้านสึกหรอไปเยอะแล้วนะ ควรจะมีอุโบสถดี ๆ ไว้สักหลัง เพื่อที่ท่านจะได้อยู่อาศัย เราไปมาจะได้กราบไหว้ ได้ความสงบร่มเย็นจากท่าน

ในที่สุดอาตมาก็สร้างอุโบสถหลังนั้นจนสำเร็จ ก็ไปสร้างทั้งตอนที่เป็นพระอยู่นี่แหละ ยอมรับนะว่าทำงานก่อสร้างไม่เป็น แต่แปลกใจที่ว่า ทำไป ๆ ก็เป็นเอง ทั้งขุดหลุม ปักเสา กวนปูน ลาดพื้น ก่ออิฐฉาบปูน ขึ้นบนหลังคาไปมุงกระเบื้อง รู้สึกว่าเราทำได้ แล้วก็ทำจนสำเร็จ โดยไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยเลย จากนั้นก็อัญเชิญพระอรหันต์ทั้งคู่เข้าบ้าน อาตมากราบท่านแล้วบอกว่า "ผมทำให้พ่อให้แม่เรียบร้อยแล้วนะ"





ทุกครั้งที่อาตมาทำกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะในคอร์สปฏิบัติเอย หรือว่าไปที่ต่าง ๆ เอย อาตมาจะโทรศัพท์ไปบอกท่านว่า "อาตมาได้ใช้ร่างกายนี้ที่โยมพ่อโยมแม่ให้มามาทำสิ่งที่ดีงาม อาตมาจะไม่ใช้ร่างกายนี้ไปทำความชั่ว ทำสิ่งไม่ดี ขอให้อานิสงส์ทั้งหลายที่ทำนี้ย้อนคืนมากลับไปท่านทั้งหมด" อาตมาไม่ต้องอะไร ต้องการเพียงแค่ให้กายนี้ใจนี้ได้มาทำสิ่งดีงาม เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านให้โอกาสชีวิตนี้เป็นทางผ่านเข้ามา และเลี้ยงดูดูแลอาตมาอย่างเต็มที่ อาตมาขอมอบกายถวายชีวิตนี้แก่ท่าน ได้มีโอกาสทำสิ่งดีงามอะไรก็ให้บุญกุศลนั้นกลับคืนสู่ท่าน โดยไม่ปรารถนาสิ่งใดเลย


นี่คือเรื่องราวของพระหนุ่มวัยเพียง ๓๓ ปี ซึ่งถ้าใครได้พบเจอตัวจริงที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลาก็คงคิดไม่ถึงเลยว่า ท่านเคยผ่านมรสุมชีวิตอันยากเย็นมาก่อน จึงนับเป็นโชคดีของเราที่ได้พูดคุยกับท่านต่อถึงเรื่องราวที่มีค่าดั่ง "เส้นชัย" แห่งการเดินทางตามหาความหมายของชีวิต ในฐานะที่ได้เกิดมาเป็น "ลูกผู้ชาย"



..............................................................................................................................................................................
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่