ออกตัวก่อนว่าเพิ่งศึกษาเรื่องหุ้นอย่างจริงจังเมื่อ 5 เดือนที่ผ่าน แต่มีความสนใจในตัวหุ้นเป็นพิเศษ
และที่ทำกระทู้นี้ขึ้นเพื่อ
1. ทำความเข้าใจกับตัวเองเรื่องความรู้ว่ามีความถูกต้องเพียงใด ถ้าไม่ถูกต้องรบกวนผู้รู้ หรือ กูรู แนะนำได้เลยครับ เพื่อให้ท่านที่สนใจทราบด้วย
2. ให้ความรู้กับเพื่อนนักลงทุนที่ลงทุนใหม่ ให้เลือกหุ้นด้วยตัวเองเป็น ไม่อยากให้ตามเพื่อน ตามเซียน หรือตามโบรกเกอร์ แล้วพอหุ้นตก ติดดอยก็โทษพวกเค้าเหล่านั้นทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนกดสั่งซื้อ หรือ โทรไปบอกเขาเอง
และด้วยความมันส์ดังนี้
1. งงมากกับราคาขึ้นๆ ลงๆ ตามปัจจัยหลายๆอย่าง บางทีกำไรดีแต่ดีไม่เท่าที่คาดการณ์ (ไม่รู้ว่าใครคาดดารณ์) ราคาตก ขาดทุนแต่ขาดทุนน้อยกว่าที่คาด ราคาขึ้นซะงั้น
2. ค่าที่ใช้ในการเลือกมีเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น P/E ,EBITDA, EBIT,Revenue, ROA, ROE , Cash Flow , PEG เป็นต้น
3. กูรู VI แต่ละท่านมีแนวทางและเหตุผลในการเลือกหุ้นต่างกัน แต่ทุกคนที่เป็น VI จริงๆ Port ก็โตกันทุกคน
4. สูตรต่างๆที่ออกมาในท้องตลาด ทั้ง Internet และ หนังสือ อาจจะใช้ไม่ได้ผลในสถานการณ์ พูดง่ายๆ คือ คุณต้องหาสูตรที่เหมาะในการเลือกหุ้นกับวุฒิภาวะ วุฒิเชิงอารมณ์ของตัวคุณเอง
5. คำว่า "วินัยเชิงอารมณ์" และ "จิตวิทยาในการลงทุน" ช่างลึกซึ้งนัก
ว่าด้วยเรื่องที่ 1 : P/E เรื่องธรรมดา ที่ "ไม่ธรรมดา"
เนื่องด้วยนักวิชาการที่ให้ความสำคัญกับ P/E ที่สุด น่าจะเป็น เบนจามิน เกรแฮม ผู้คิดค้นการหาหุ้นแบบมุลค่าขึ้นมาโดยกล่าวว่าหุ้นที่มี P/E สูงเกินไปเป็นหุ้นที่ไม่น่าซื้อเพราะ เราต้องจ่ายในราคาทุน "แพง" และจะทำให้ Margin of Safety หรือส่วนต่างความปลอดภันน้อยลง (แต่ในปัจจุบันเรื่อง P/E ที่แพงนั้น ก็ด้วยค่าความนิยมในตัวหุ้น หรือ หุ้นนั้นเป็นหุ้นโตเร็ว ถึงแม้บางครั้ง P/E จะแพงไปบ้าง(แต่ไม่แพงจนเกินไป) ซึ่งในข้อนี้ผมเห็นด้วยครับ)
P = Price หรือ ราคาของหุ้น ณ ช่วงขณะนั้น
E = Earning หรือกำไรต่อหุ้น ซึ่งในตลาดใช้เป็น Forward Earning หรือ กำไรที่คาดการณ์ในอนาคต
ค่า P คงไม่ต้องอธิบายกันมากครับ เพราะเราเห็นอยู่แล้วว่าราคานั้นขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็มีความสำคัญ ที่สำคัญเพราะเป็นตัวกำหนดในตอนท้ายว่า ราคาเท่านี้ "สมควรซื้อหรือเปล่า"
ดังนั้นมาดูที่ E ครับ
ยกตัวอย่างครับ
จากรูปด้านบน จะคำนวณค่า E ได้ จาก P/E = 32.32 ค่า P = 40.50 บาท ดังนั้นค่า E = 40.50/32.32 = 1.25 บาทต่อหุ้น
ใน Sheet เดียวกัน ตรงกลาง ทางขวามือ (ดูที่งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ)
จะเห็นได้ว่าบรรทัด กำไรต่อหุ้น(บาท) หรือ ค่า E หรือ Earning = 0.95 บาท ต่อ หุ้น
0.95 บาท มาจากไหน ? มาจาก E = กำไรสุทธิ(ล้านบาท)/จำนวนหุ้น(ล้านหุ้น) = 8,494.53/8,983.10 = 0.9456 = 0.95 บาท ต่อหุ้น
(*** กำไรต่อหุ้นนี้คือ กำไร ณ ไตรมาสที่ 3 หรือกำไรใน 9 เดือนเท่านั้นไม่ใช่ 12 เดือน) แต่ E ตอนใช้คิด คือ 1.25 บาทต่อหุ้น หรือ ราคาที่ประเมินว่าสิ้นปี ค่า E คงจะอยู่ที่ 1.25 บาทต่อหุ้น
ซึ่งต้องมาดูว่าที่ใช้ 1.25 บาทนั้น ถูกต้องแค่ไหน อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่านั้นครับ ลองสักเกตุที่ ปี 2555(ทั้งปี) = 1.23 บาท ต่อ หุ้น และ ปี 2555 (เดือน 1 - 9) = 0.92 บาท ต่อหุ้น ดังนั้น ที่ 1.25 บาท ต่อ หุ้น ก็คำนวนจากเหตุผลก็พอรับได้ครับ ที่ บ. นี้จะมีอัตรากำไรเพิ่มขึ้น แค่ 1.62 %
คำถามต่อมา แล้วเราจะใช้ตัวไหนหล่ะทีนี้ ในส่วนตัวผมเองการใช้ค่า E ในอนาคต เหมือนการคาดการณ์ในอนาคตว่าจะกำไรเท่าโน้น เท่านี้ ซึ่งไม่น่าจะมีใครเดาได้ถูกครับ ดังนั้นเราเองควรจะศึกษาค่า E 10 ปี ย้อนหลัง ว่าเติบโตเช่นไร(อย่าลืม คูณจำนวนหุ้นนะครับเพราะบางบริษัทมีการแตกหุ้นครับ) จะทำให้รู้ว่าบริษัทกำไรเติบโตมาทุกปีในอัตราเท่านี้ และอาจจะเติบโตไปอีกในอนาคต การใช้ค่า E ที่รู้อยู่แล้วหรือ E ของปีก่อนๆ และถ้าบริษัทมีผลกำไรเติบโตอีก จะทำให้เรามีส่วนต่างความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกครับ
คำถามต่อมาซื้อที่ราคาเท่านี้ P/E ขนาดนี้น่าซื้อไหม นั่นก็แล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคลครับ แต่ขอให้ใช้เหตุผลในการซื้อ เพราะเหตุผลนี้จะยึดเหนี่ยวให้เราถือหุ้น ไม่ขายตัดทุน เพราะเราได้คำนวณมาแล้ว ตัดสินใจแล้วว่า บ. นี้ น่าลงทุน
ผมอยากจะยกตัวอย่างในส่วนที่ผมคิดขึ้นมาเอง ถ้า บ. ค่า P/E ย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ 30 ทุก ๆ ปี
และคำกล่าวของสุดยอด VI ที่ว่า ซื้อหุ้น บ. ที่สุดยอด ในราคาเหมาะสม ดีกว่าซื้อหุ้น บ. ปานกลาง ในราคาถูกนั้น เป็นคำพูดที่ผมชอบที่สุดครับ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นักลงทุนไม่มากก็น้อยนะครับ
หากมีข้อผิดพลาดอันใด จะนำไปแก้ไข และแก้ข้อความให้ถูกต้อครับ รบกวนพี่ๆ แนะนำด้วยครับ
P/E เรื่องธรรมดา ที่"ไม่ธรรมดา"
1. ทำความเข้าใจกับตัวเองเรื่องความรู้ว่ามีความถูกต้องเพียงใด ถ้าไม่ถูกต้องรบกวนผู้รู้ หรือ กูรู แนะนำได้เลยครับ เพื่อให้ท่านที่สนใจทราบด้วย
2. ให้ความรู้กับเพื่อนนักลงทุนที่ลงทุนใหม่ ให้เลือกหุ้นด้วยตัวเองเป็น ไม่อยากให้ตามเพื่อน ตามเซียน หรือตามโบรกเกอร์ แล้วพอหุ้นตก ติดดอยก็โทษพวกเค้าเหล่านั้นทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนกดสั่งซื้อ หรือ โทรไปบอกเขาเอง
และด้วยความมันส์ดังนี้
1. งงมากกับราคาขึ้นๆ ลงๆ ตามปัจจัยหลายๆอย่าง บางทีกำไรดีแต่ดีไม่เท่าที่คาดการณ์ (ไม่รู้ว่าใครคาดดารณ์) ราคาตก ขาดทุนแต่ขาดทุนน้อยกว่าที่คาด ราคาขึ้นซะงั้น
2. ค่าที่ใช้ในการเลือกมีเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น P/E ,EBITDA, EBIT,Revenue, ROA, ROE , Cash Flow , PEG เป็นต้น
3. กูรู VI แต่ละท่านมีแนวทางและเหตุผลในการเลือกหุ้นต่างกัน แต่ทุกคนที่เป็น VI จริงๆ Port ก็โตกันทุกคน
4. สูตรต่างๆที่ออกมาในท้องตลาด ทั้ง Internet และ หนังสือ อาจจะใช้ไม่ได้ผลในสถานการณ์ พูดง่ายๆ คือ คุณต้องหาสูตรที่เหมาะในการเลือกหุ้นกับวุฒิภาวะ วุฒิเชิงอารมณ์ของตัวคุณเอง
5. คำว่า "วินัยเชิงอารมณ์" และ "จิตวิทยาในการลงทุน" ช่างลึกซึ้งนัก
ว่าด้วยเรื่องที่ 1 : P/E เรื่องธรรมดา ที่ "ไม่ธรรมดา"
เนื่องด้วยนักวิชาการที่ให้ความสำคัญกับ P/E ที่สุด น่าจะเป็น เบนจามิน เกรแฮม ผู้คิดค้นการหาหุ้นแบบมุลค่าขึ้นมาโดยกล่าวว่าหุ้นที่มี P/E สูงเกินไปเป็นหุ้นที่ไม่น่าซื้อเพราะ เราต้องจ่ายในราคาทุน "แพง" และจะทำให้ Margin of Safety หรือส่วนต่างความปลอดภันน้อยลง (แต่ในปัจจุบันเรื่อง P/E ที่แพงนั้น ก็ด้วยค่าความนิยมในตัวหุ้น หรือ หุ้นนั้นเป็นหุ้นโตเร็ว ถึงแม้บางครั้ง P/E จะแพงไปบ้าง(แต่ไม่แพงจนเกินไป) ซึ่งในข้อนี้ผมเห็นด้วยครับ)
P = Price หรือ ราคาของหุ้น ณ ช่วงขณะนั้น
E = Earning หรือกำไรต่อหุ้น ซึ่งในตลาดใช้เป็น Forward Earning หรือ กำไรที่คาดการณ์ในอนาคต
ค่า P คงไม่ต้องอธิบายกันมากครับ เพราะเราเห็นอยู่แล้วว่าราคานั้นขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็มีความสำคัญ ที่สำคัญเพราะเป็นตัวกำหนดในตอนท้ายว่า ราคาเท่านี้ "สมควรซื้อหรือเปล่า"
ดังนั้นมาดูที่ E ครับ
ยกตัวอย่างครับ
จากรูปด้านบน จะคำนวณค่า E ได้ จาก P/E = 32.32 ค่า P = 40.50 บาท ดังนั้นค่า E = 40.50/32.32 = 1.25 บาทต่อหุ้น
ใน Sheet เดียวกัน ตรงกลาง ทางขวามือ (ดูที่งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ)
จะเห็นได้ว่าบรรทัด กำไรต่อหุ้น(บาท) หรือ ค่า E หรือ Earning = 0.95 บาท ต่อ หุ้น
0.95 บาท มาจากไหน ? มาจาก E = กำไรสุทธิ(ล้านบาท)/จำนวนหุ้น(ล้านหุ้น) = 8,494.53/8,983.10 = 0.9456 = 0.95 บาท ต่อหุ้น
(*** กำไรต่อหุ้นนี้คือ กำไร ณ ไตรมาสที่ 3 หรือกำไรใน 9 เดือนเท่านั้นไม่ใช่ 12 เดือน) แต่ E ตอนใช้คิด คือ 1.25 บาทต่อหุ้น หรือ ราคาที่ประเมินว่าสิ้นปี ค่า E คงจะอยู่ที่ 1.25 บาทต่อหุ้น
ซึ่งต้องมาดูว่าที่ใช้ 1.25 บาทนั้น ถูกต้องแค่ไหน อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่านั้นครับ ลองสักเกตุที่ ปี 2555(ทั้งปี) = 1.23 บาท ต่อ หุ้น และ ปี 2555 (เดือน 1 - 9) = 0.92 บาท ต่อหุ้น ดังนั้น ที่ 1.25 บาท ต่อ หุ้น ก็คำนวนจากเหตุผลก็พอรับได้ครับ ที่ บ. นี้จะมีอัตรากำไรเพิ่มขึ้น แค่ 1.62 % คำถามต่อมา แล้วเราจะใช้ตัวไหนหล่ะทีนี้ ในส่วนตัวผมเองการใช้ค่า E ในอนาคต เหมือนการคาดการณ์ในอนาคตว่าจะกำไรเท่าโน้น เท่านี้ ซึ่งไม่น่าจะมีใครเดาได้ถูกครับ ดังนั้นเราเองควรจะศึกษาค่า E 10 ปี ย้อนหลัง ว่าเติบโตเช่นไร(อย่าลืม คูณจำนวนหุ้นนะครับเพราะบางบริษัทมีการแตกหุ้นครับ) จะทำให้รู้ว่าบริษัทกำไรเติบโตมาทุกปีในอัตราเท่านี้ และอาจจะเติบโตไปอีกในอนาคต การใช้ค่า E ที่รู้อยู่แล้วหรือ E ของปีก่อนๆ และถ้าบริษัทมีผลกำไรเติบโตอีก จะทำให้เรามีส่วนต่างความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกครับ
คำถามต่อมาซื้อที่ราคาเท่านี้ P/E ขนาดนี้น่าซื้อไหม นั่นก็แล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคลครับ แต่ขอให้ใช้เหตุผลในการซื้อ เพราะเหตุผลนี้จะยึดเหนี่ยวให้เราถือหุ้น ไม่ขายตัดทุน เพราะเราได้คำนวณมาแล้ว ตัดสินใจแล้วว่า บ. นี้ น่าลงทุน
ผมอยากจะยกตัวอย่างในส่วนที่ผมคิดขึ้นมาเอง ถ้า บ. ค่า P/E ย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ 30 ทุก ๆ ปี
และคำกล่าวของสุดยอด VI ที่ว่า ซื้อหุ้น บ. ที่สุดยอด ในราคาเหมาะสม ดีกว่าซื้อหุ้น บ. ปานกลาง ในราคาถูกนั้น เป็นคำพูดที่ผมชอบที่สุดครับ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นักลงทุนไม่มากก็น้อยนะครับ
หากมีข้อผิดพลาดอันใด จะนำไปแก้ไข และแก้ข้อความให้ถูกต้อครับ รบกวนพี่ๆ แนะนำด้วยครับ