จากกระทู้ "จากคนเคยติด F เป็นมนุษย์เงินเดือนมา 9 ปี ในวันนี้เงินเก็บทะลุล้านแรกสำเร็จแล้ว"
http://ppantip.com/topic/31179600
วันนี้ผมจะขอเล่าเรื่องราวสองเรื่องในชีวิตของผม สองเรื่องที่ผมอยากจะเล่าคือ จุดเริ่มต้นของชีวิตและการทำงาน
มันอาจจะยาวไปหน่อย แต่ผมก็หวังว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผมจะได้เล่าต่อไปนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้กับคนที่สู้ชีวิตไม่มากก็น้อย
เรื่องแรกคือ จุดเริ่มต้นของชีวิต ตั้งแต่ตอนผมเกิด แม่ที่ให้กำเนิดผมตัดสินใจแยกทางกับคุณพ่อของผม ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน คุณพ่อของผมก็ไปแต่งงานใหม่ และได้ยกผมให้กับคุณย่ารับไปเลี้ยงดูแทนที่จังหวัดบุรีรัมย์โดยที่คุณพ่อยังคงส่งเสียในเรื่องการศึกษา ซึ่งผมก็ได้เรียนในโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงในจังหวัด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาคุณย่าจึงเปรียบเสมือนเป็นพ่อและแม่ของผมในเวลาเดียวกัน และเมื่อผมอายุ 15 ปี คุณพ่อของผมก็เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับครอบครัวของผมที่กำลังลำบาก ซึ่งลำบากซะจนเหมือนราวกับว่าไม่สามารถส่งเสียให้ผมได้เรียนต่อไปจนจบปริญญา หนทางรอดที่สำคัญของตัวผมเองก็คือต้องหาทุนการศึกษา ตอนนั้นมีทุนของรัฐบาล ชื่อทุน สสวท คือทุนที่ส่งนักเรียนเรียนตั้งแต่ชั้น ม.4 จนจบปริญญาเอก ก็แทบจะเป็นโอกาสเดียวของผมในช่วงเวลานั้น ที่จะสามารถทำให้ผมได้เรียนต่อไปจนจบปริญญา โดยมีการเปิดสอบชิงทุนให้กับนักเรียนทั้งภาคอีสาณ แต่ให้ทุนการศึกษาเพียงแค่ 20 ทุน ซึ่งผมโชคดีสอบติดได้ในเวลานั้น
ทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าที่เข้าทาง เหมือนระยะทางของชีวิตจะถูกโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ผมต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อช่วยคุณย่าและที่บ้านขายของจนไปเรียนสายบ่อยครั้ง ทุนการศึกษาที่ได้มาผมก็ให้คุณย่าไว้เพื่อมาช่วยเหลือแบ่งเบาภาระครอบครัว ระยะเวลาผ่านไปผลการเรียนของผมตกลงมาเรื่อยๆ จนในที่สุด ผมก็ถูกให้ออกจากทุน สสวท. ในเทอมสุดท้ายของการเรียนมอปลาย แล้วชีวิตของผมก็มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง ผมมีเวลาเตรียมตัวในการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยไม่นานหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป้าหมายของผมก็เหมือนเด็กเรียนทั่วไปก็คือคณะแพทย์ ผมเลือกคณะแพทย์ไว้เป็นลำดับที่หนึ่ง ในที่สุดผลเอนทรานซ์ก็ออกมา ผมมีเวลาให้กับหนังสือน้อยเกินกว่าที่จะสอบติดคณะแพทย์ ชะตาชีวิตของผมหักเหด้วยปลายดินสอ 2B ที่ใช้ฝนลงบนกระดาษคำตอบในการสอบเอนทรานซ์สมัยนั้น ผมสอบได้ที่มหาวิทยาลัยบูรพา และผมก็จากบ้านมาตั้งแต่นั้น
เรื่องที่สองของผมเกี่ยวกับการทำงาน ผมทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วยตั้งแต่ชั้น ม.4 ในช่วงเริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในรั้วมหาวิทยาลัยที่บางแสน มันเป็นอะไรที่คิดถึงคุณย่าและบ้านที่บุรีรัมย์อย่างบอกไม่ถูก ในเวลานั้นผมไม่มีทุนการศึกษาเหมือนที่เคยได้รับในช่วงสมัยมอปลายอีกต่อไปแล้ว กยศ. คือทางออก และผมต้องขอขอบคุณ กยศ. ที่ทำให้ผมไม่ต้องเหนื่อยจนเกินไปในการเรียนป.ตรี งานที่ผมทำส่วนใหญ่ตอนเรียน ป.ตรี ก็คือเด็กเสิร์ฟ ล้างจาน ฉายหนัง จัดโต๊ะจีน ร้องเพลงตามงานวัด รายได้ที่ได้มาไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ผมจึงส่งให้ที่บ้าน เก็บไว้เพียงเงินกู้ กยศ. และค่าเช่าห้องพัก
พออยู่ปี 4 ผมเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับความยากจน เพราะมันอยู่กับผมมานานแสนนาน ผมจึงเริ่มวางแผนชีวิตในการทำงาน
ในตอนนั้นผมทราบมาว่าการจะได้เงินเดือนหลักแสนมีอยู่ 2 วิธี คือการทำธุรกิจเครือข่ายกับการเป็นมนุษย์เงินเดือนยามแก่ ทันทีที่ผมจบ ป.ตรี สิ่งแรกที่ผมกระโดดเข้าทำเลย คือการขายประกัน ผมทุ่มเทเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดเดินขายประกันแทบทุกร้านและทุกคนที่ผมรู้จักในบางแสน ผมเชื่ออย่างยิ่งในสถิติ คุย 10 ขายได้ 2 จะด้วยความสงสารหรืออะไรก็ตามแต่ ในเดือนที่สองของการขายประกัน ผมได้รับค่าคอมมิสชั่นแสนกว่าบาท ผมรู้สึกเหมือนราวกับว่าได้ค้นพบสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตผมแล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้จับเงินแสนในชีวิต หลังจากนั้นไม่ถึง 3 วันผมป่วยหนักเป็นไข้หวัดใหญ่ เพราะเนื่องมาจากที่ผมออกเดินขายประกันตากฝนทั้งวันทั้งคืน ผมใช้เวลารักษาตัวนานนับสัปดาห์ ซึ่งเป็นการป่วยหนักที่สุดตั้งแต่ผมเกิดมาเลยก็ว่าได้ ต่อมาไม่ถึง 2 เดือนผมก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องธุรกิจเครื่อข่ายของผม ช่วงฮันนีมูนของผมจบลงแล้ว คนที่ผมรู้จักผมได้ขายประกันไปให้เค้าหมดแล้ว ผมจึงหยุดธุรกิจเครือข่ายของผมเพียงแค่นั้น
ผมตัดสินใจนำเงินที่เหลืออยู่ไปเปิดร้านนมในตอนแรกและเป็นร้านเหล้าในเวลาต่อมา แต่สุดท้ายก็เจ๊งไม่เป็นท่า และนั่นก็ทำให้ผมได้เรียนรู้กับความล้มเหลวในการทำธุรกิจด้วยตนเองเป็นครั้งแรก ผมจึงเริ่มโหยหาการเป็นมนุษย์เงินเดือน
ผมวางแผนการเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างรอบคอบ ผมศึกษาชีวิตของคนที่มีเงินเดือนหลักแสนอย่างจริงจัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือระดับผู้จัดการอาวุโส ในสายงานกลุ่มธุรกิจการไฟฟ้า น้ำมัน และรถยนต์ ในที่สุดผมก็สร้าง Mega Project ของชีวิตผมเองขึ้นมา ผมตั้งเป้าเป็นผู้จัดการภายใน 5 ปีและภายใน 10 ปีต้องมีเงินเดือนหลักแสน
ผมไม่อยากมีเงินเดือนหลักแสนตอนแก่ ผมจึงหาวิธีลัด สิ่งที่ผมค้นพบก็คือการสร้างความแตกต่างและสร้างแบรนด์ให้กับตนเอง
วิธีเดียวที่จะสร้างแบรนด์ตัวเองให้ดีที่สุดคือการเข้าทำงานบริษัทแบรนด์เนมให้ได้ แต่ด้วยเกรดเฉลี่ยเพียง 2.5 โอกาสจึงน้อยนิด ผมทำการบ้านตลอดสองสัปดาห์ในการเข้าสัมภาษณ์งานครั้งแรกที่บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นในชลบุรี ผมโชคดีมากที่ได้งานแรกกับการสัมภาษณ์ครั้งนี้เลย เงินเดือนเดือนแรก 12,500 บาทที่ได้มา ผมเอาไปมอบให้กับคุณย่าด้วยตัวผมเองที่บุรีรัมย์ และนั่นก็อาจเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผมได้มีในวันนี้ ยิ่งตอบแทนผู้มีพระคุณมากเท่าไหร่ ผมมั่นใจว่าจะได้รับกลับมามากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ผมทำงานที่แรกได้เพียงปีเดียว ผมตัดสินใจหางานใหม่ ซึ่งก็หาไม่ยากจนเกินไปเพราะชื่อเสียงของบริษัทที่ผมทำงานอยู่การันตีแบรนด์เนมให้ผมได้เป็นอย่างดี งานใหม่เป็นบริษัทของอังกฤษเสนอเงินเดือนให้ผม 18,000 ต่อเดือน หลังจากนั้นสี่เดือนผ่านโปรนายฝรั่งปรับให้ผมเป็น Supervisor และเพิ่มเงินให้อีก 2,000 บาท ผ่านไปได้ประมาณ ปีกว่าๆ ด้วยเงินเดือนเพียง 20,000 บาทผมตัดสินใจเรียนปริญญาโททันที ในเวลาเดียวกันนั้นผมเสาะหางานใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้ต้องเป็นบริษัทฝรั่งแน่ๆ เพราะคงไม่มีบริษัทญี่ปุ่นที่ไหนกล้าจ้างคนที่อายุ 24ปี ในตำแหน่งสูงกว่า Supervisor
ผมได้งานใหม่ที่จังหวัดระยอง แต่ผมกำลังเรียน MBA ภาคค่ำ อยู่ที่บางแสน และคงบ้าแน่ๆ ถ้าจะต้องขับรถไปกลับประมาณ 180 กม. ทุกวัน ผมศรัทธาใน Mega Project ของผมอย่างแรงกล้า ผมตอบตกลงทำงานนี้ ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกันในตำแน่ง Head of Department ชื่อตำแหน่งออกจะแปลกๆ แต่ผมก็แลกมันมาด้วยเงินเดือน 38,000 บาท อาการชักหน้าไม่ถึงหลังเริ่มปรากฎ ทั้งค่าน้ำมันรถ ส่งให้ที่บ้าน ค่าเทอมป.โท บัตรเครดิตเท่านั้นที่จะอยู่รอด และผมก็อยู่ที่นี่ได้ปีกว่าๆ ผมใกล้จะจบ MBA แล้ว ผมต้องการความเปลี่ยนแปลง ผมลองหางานในตำแหน่ง Manager ซึ่งลองส่งใบสมัครไปหลายบริษัท แต่ไม่มีใครเรียกสัมภาษณ์เลย ผมลองโทรไปถาม ก็มีแต่คนบอกว่าอายุน้อยเกินไป การลงทุนเรียนโทของเราจะสูญเปล่าหรือนี่ ความหวังเริ่มริบหรี่ ผมมานั่งทบทวน Resume ของผมดู ผมก็พบว่าประวัติการทำงานของผม สี่ปีกว่าเปลี่ยนงานไปสามที่ ไปสมัครงานเองคงไม่มีใครเอาแน่ๆ ผมจึงติดต่อไปยังบริษัท Recruitment เองและบอกไปตรงๆ ว่าอยากหางานในตำแหน่ง Manager หลังจากนั้นไม่ถึง 2 สัปดาห์ Recruitment นัดให้ผมไปสัมภาษณ์ 2 ที่ ผมทำการบ้านในการสัมภาษณ์งานอย่างหนัก listed คำถามเอาไว้ตอบแบบไม่ให้เคอะเขิน ในที่สุด 1ใน2 บริษัทนี้ ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกันยื่นข้อเสนอรับผมเข้าทำงานในตำแหน่ง Manager
หลังจากนั้น 2 ปี ที่บริษัทมีตำแหน่ง Senior Manager ว่างลง ตำแหน่งนี้ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับการเงินของบริษัท คือต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงิน เซ็นเช็กมูลค่ารวมหลายร้อยล้านบาทต่อปี ผมไม่รอช้าที่จะรีบเสนอตัวเองเข้าทำงานในตำแหน่งดังกล่าว ประธานบริษัทบินตรงมาสัมภาษณ์เองจากต่างประเทศ ผมประเมินคุณสมบัติคู่แข่งแต่ละคนแล้ว ออกอาการหวั่นใจอยู่ไม่น้อย บางคนจบโทจากต่างประเทศ ภาษาอังกฤษดีกว่า อายุมากกว่า ประสบการณ์การทำงานก็ยาวนานกว่า ผมแทบจะสู้ Candidate คนอื่นๆ ไม่ได้เลย
ในที่สุดท่านประธานก็เรียกผมเข้าไปคุย ท่านบอกว่าท่านจะให้โอกาสนี้กับผม สิ่งเดียวที่ผมมีดีกว่าคนอื่นๆ ที่ผมได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้ว คือ ความไว้วางใจ ท่านบอกว่าท่านไว้ใจผมมากที่สุด ผมก็ได้ปรับตำแหน่ง เป็น Senior Manager ตอนอายุ 28ปี และรับเงินเดือนหลักแสนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
Mega Project ของผมสำเร็จลุล่วงแล้ว คุณย่าสอนผมไว้เสมอว่า “ซื่อกินไม่หมด คตกินไม่นาน” ความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย์ของตัวเราเอง นำพามาสู่ความสำเร็จในครั้งนี้
ปัจจุบันผมยังทำงานอยู่ที่เดิม เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนเดิม แต่จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา มันสอนให้ผมรู้ว่าไม่มีอะไรที่มั่นคงในโลกของธุรกิจ ทุกวันนี้นอกจากเงินเดือนแล้วผมยังทำอาชีพเสริมอีกด้วย
หากมีโอกาสผมจะมาเล่าเรื่องราวของการทำอาชีพเสริมสไตล์มนุษย์เงินเดือนของผมนะครับ แต่หากใครกำลังคิดว่าผมต้องทำธุรกิจเครือข่ายแน่ๆ ผมบอกเลยว่าไม่ใช่ เพราะผมเข็ดกับการทำธุรกิจเครือข่ายแล้วครับ....
ตอนนี้ผมกำลังทำ Mega Project II เป้าหมายของผมในครั้งนี้ คือ เป็น MD ภายใน 5 ปี และภายใน 10ปี ต้องมีบริษัทเป็นของตนเองและมีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 20ล้าน
เอาใจช่วยเด็กบ้านนอกคนนี้ด้วยนะครับ...
Mega Project ของเด็กบ้านนอก สู่ตำแหน่งผู้บริหารเงินเดือนหลักแสน
http://ppantip.com/topic/31179600
วันนี้ผมจะขอเล่าเรื่องราวสองเรื่องในชีวิตของผม สองเรื่องที่ผมอยากจะเล่าคือ จุดเริ่มต้นของชีวิตและการทำงาน
มันอาจจะยาวไปหน่อย แต่ผมก็หวังว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผมจะได้เล่าต่อไปนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้กับคนที่สู้ชีวิตไม่มากก็น้อย
เรื่องแรกคือ จุดเริ่มต้นของชีวิต ตั้งแต่ตอนผมเกิด แม่ที่ให้กำเนิดผมตัดสินใจแยกทางกับคุณพ่อของผม ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน คุณพ่อของผมก็ไปแต่งงานใหม่ และได้ยกผมให้กับคุณย่ารับไปเลี้ยงดูแทนที่จังหวัดบุรีรัมย์โดยที่คุณพ่อยังคงส่งเสียในเรื่องการศึกษา ซึ่งผมก็ได้เรียนในโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงในจังหวัด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาคุณย่าจึงเปรียบเสมือนเป็นพ่อและแม่ของผมในเวลาเดียวกัน และเมื่อผมอายุ 15 ปี คุณพ่อของผมก็เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับครอบครัวของผมที่กำลังลำบาก ซึ่งลำบากซะจนเหมือนราวกับว่าไม่สามารถส่งเสียให้ผมได้เรียนต่อไปจนจบปริญญา หนทางรอดที่สำคัญของตัวผมเองก็คือต้องหาทุนการศึกษา ตอนนั้นมีทุนของรัฐบาล ชื่อทุน สสวท คือทุนที่ส่งนักเรียนเรียนตั้งแต่ชั้น ม.4 จนจบปริญญาเอก ก็แทบจะเป็นโอกาสเดียวของผมในช่วงเวลานั้น ที่จะสามารถทำให้ผมได้เรียนต่อไปจนจบปริญญา โดยมีการเปิดสอบชิงทุนให้กับนักเรียนทั้งภาคอีสาณ แต่ให้ทุนการศึกษาเพียงแค่ 20 ทุน ซึ่งผมโชคดีสอบติดได้ในเวลานั้น
ทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าที่เข้าทาง เหมือนระยะทางของชีวิตจะถูกโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ผมต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อช่วยคุณย่าและที่บ้านขายของจนไปเรียนสายบ่อยครั้ง ทุนการศึกษาที่ได้มาผมก็ให้คุณย่าไว้เพื่อมาช่วยเหลือแบ่งเบาภาระครอบครัว ระยะเวลาผ่านไปผลการเรียนของผมตกลงมาเรื่อยๆ จนในที่สุด ผมก็ถูกให้ออกจากทุน สสวท. ในเทอมสุดท้ายของการเรียนมอปลาย แล้วชีวิตของผมก็มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง ผมมีเวลาเตรียมตัวในการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยไม่นานหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป้าหมายของผมก็เหมือนเด็กเรียนทั่วไปก็คือคณะแพทย์ ผมเลือกคณะแพทย์ไว้เป็นลำดับที่หนึ่ง ในที่สุดผลเอนทรานซ์ก็ออกมา ผมมีเวลาให้กับหนังสือน้อยเกินกว่าที่จะสอบติดคณะแพทย์ ชะตาชีวิตของผมหักเหด้วยปลายดินสอ 2B ที่ใช้ฝนลงบนกระดาษคำตอบในการสอบเอนทรานซ์สมัยนั้น ผมสอบได้ที่มหาวิทยาลัยบูรพา และผมก็จากบ้านมาตั้งแต่นั้น
เรื่องที่สองของผมเกี่ยวกับการทำงาน ผมทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วยตั้งแต่ชั้น ม.4 ในช่วงเริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในรั้วมหาวิทยาลัยที่บางแสน มันเป็นอะไรที่คิดถึงคุณย่าและบ้านที่บุรีรัมย์อย่างบอกไม่ถูก ในเวลานั้นผมไม่มีทุนการศึกษาเหมือนที่เคยได้รับในช่วงสมัยมอปลายอีกต่อไปแล้ว กยศ. คือทางออก และผมต้องขอขอบคุณ กยศ. ที่ทำให้ผมไม่ต้องเหนื่อยจนเกินไปในการเรียนป.ตรี งานที่ผมทำส่วนใหญ่ตอนเรียน ป.ตรี ก็คือเด็กเสิร์ฟ ล้างจาน ฉายหนัง จัดโต๊ะจีน ร้องเพลงตามงานวัด รายได้ที่ได้มาไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ผมจึงส่งให้ที่บ้าน เก็บไว้เพียงเงินกู้ กยศ. และค่าเช่าห้องพัก
พออยู่ปี 4 ผมเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับความยากจน เพราะมันอยู่กับผมมานานแสนนาน ผมจึงเริ่มวางแผนชีวิตในการทำงาน
ในตอนนั้นผมทราบมาว่าการจะได้เงินเดือนหลักแสนมีอยู่ 2 วิธี คือการทำธุรกิจเครือข่ายกับการเป็นมนุษย์เงินเดือนยามแก่ ทันทีที่ผมจบ ป.ตรี สิ่งแรกที่ผมกระโดดเข้าทำเลย คือการขายประกัน ผมทุ่มเทเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดเดินขายประกันแทบทุกร้านและทุกคนที่ผมรู้จักในบางแสน ผมเชื่ออย่างยิ่งในสถิติ คุย 10 ขายได้ 2 จะด้วยความสงสารหรืออะไรก็ตามแต่ ในเดือนที่สองของการขายประกัน ผมได้รับค่าคอมมิสชั่นแสนกว่าบาท ผมรู้สึกเหมือนราวกับว่าได้ค้นพบสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตผมแล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้จับเงินแสนในชีวิต หลังจากนั้นไม่ถึง 3 วันผมป่วยหนักเป็นไข้หวัดใหญ่ เพราะเนื่องมาจากที่ผมออกเดินขายประกันตากฝนทั้งวันทั้งคืน ผมใช้เวลารักษาตัวนานนับสัปดาห์ ซึ่งเป็นการป่วยหนักที่สุดตั้งแต่ผมเกิดมาเลยก็ว่าได้ ต่อมาไม่ถึง 2 เดือนผมก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องธุรกิจเครื่อข่ายของผม ช่วงฮันนีมูนของผมจบลงแล้ว คนที่ผมรู้จักผมได้ขายประกันไปให้เค้าหมดแล้ว ผมจึงหยุดธุรกิจเครือข่ายของผมเพียงแค่นั้น
ผมตัดสินใจนำเงินที่เหลืออยู่ไปเปิดร้านนมในตอนแรกและเป็นร้านเหล้าในเวลาต่อมา แต่สุดท้ายก็เจ๊งไม่เป็นท่า และนั่นก็ทำให้ผมได้เรียนรู้กับความล้มเหลวในการทำธุรกิจด้วยตนเองเป็นครั้งแรก ผมจึงเริ่มโหยหาการเป็นมนุษย์เงินเดือน
ผมวางแผนการเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างรอบคอบ ผมศึกษาชีวิตของคนที่มีเงินเดือนหลักแสนอย่างจริงจัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือระดับผู้จัดการอาวุโส ในสายงานกลุ่มธุรกิจการไฟฟ้า น้ำมัน และรถยนต์ ในที่สุดผมก็สร้าง Mega Project ของชีวิตผมเองขึ้นมา ผมตั้งเป้าเป็นผู้จัดการภายใน 5 ปีและภายใน 10 ปีต้องมีเงินเดือนหลักแสน
ผมไม่อยากมีเงินเดือนหลักแสนตอนแก่ ผมจึงหาวิธีลัด สิ่งที่ผมค้นพบก็คือการสร้างความแตกต่างและสร้างแบรนด์ให้กับตนเอง
วิธีเดียวที่จะสร้างแบรนด์ตัวเองให้ดีที่สุดคือการเข้าทำงานบริษัทแบรนด์เนมให้ได้ แต่ด้วยเกรดเฉลี่ยเพียง 2.5 โอกาสจึงน้อยนิด ผมทำการบ้านตลอดสองสัปดาห์ในการเข้าสัมภาษณ์งานครั้งแรกที่บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นในชลบุรี ผมโชคดีมากที่ได้งานแรกกับการสัมภาษณ์ครั้งนี้เลย เงินเดือนเดือนแรก 12,500 บาทที่ได้มา ผมเอาไปมอบให้กับคุณย่าด้วยตัวผมเองที่บุรีรัมย์ และนั่นก็อาจเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผมได้มีในวันนี้ ยิ่งตอบแทนผู้มีพระคุณมากเท่าไหร่ ผมมั่นใจว่าจะได้รับกลับมามากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ผมทำงานที่แรกได้เพียงปีเดียว ผมตัดสินใจหางานใหม่ ซึ่งก็หาไม่ยากจนเกินไปเพราะชื่อเสียงของบริษัทที่ผมทำงานอยู่การันตีแบรนด์เนมให้ผมได้เป็นอย่างดี งานใหม่เป็นบริษัทของอังกฤษเสนอเงินเดือนให้ผม 18,000 ต่อเดือน หลังจากนั้นสี่เดือนผ่านโปรนายฝรั่งปรับให้ผมเป็น Supervisor และเพิ่มเงินให้อีก 2,000 บาท ผ่านไปได้ประมาณ ปีกว่าๆ ด้วยเงินเดือนเพียง 20,000 บาทผมตัดสินใจเรียนปริญญาโททันที ในเวลาเดียวกันนั้นผมเสาะหางานใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้ต้องเป็นบริษัทฝรั่งแน่ๆ เพราะคงไม่มีบริษัทญี่ปุ่นที่ไหนกล้าจ้างคนที่อายุ 24ปี ในตำแหน่งสูงกว่า Supervisor
ผมได้งานใหม่ที่จังหวัดระยอง แต่ผมกำลังเรียน MBA ภาคค่ำ อยู่ที่บางแสน และคงบ้าแน่ๆ ถ้าจะต้องขับรถไปกลับประมาณ 180 กม. ทุกวัน ผมศรัทธาใน Mega Project ของผมอย่างแรงกล้า ผมตอบตกลงทำงานนี้ ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกันในตำแน่ง Head of Department ชื่อตำแหน่งออกจะแปลกๆ แต่ผมก็แลกมันมาด้วยเงินเดือน 38,000 บาท อาการชักหน้าไม่ถึงหลังเริ่มปรากฎ ทั้งค่าน้ำมันรถ ส่งให้ที่บ้าน ค่าเทอมป.โท บัตรเครดิตเท่านั้นที่จะอยู่รอด และผมก็อยู่ที่นี่ได้ปีกว่าๆ ผมใกล้จะจบ MBA แล้ว ผมต้องการความเปลี่ยนแปลง ผมลองหางานในตำแหน่ง Manager ซึ่งลองส่งใบสมัครไปหลายบริษัท แต่ไม่มีใครเรียกสัมภาษณ์เลย ผมลองโทรไปถาม ก็มีแต่คนบอกว่าอายุน้อยเกินไป การลงทุนเรียนโทของเราจะสูญเปล่าหรือนี่ ความหวังเริ่มริบหรี่ ผมมานั่งทบทวน Resume ของผมดู ผมก็พบว่าประวัติการทำงานของผม สี่ปีกว่าเปลี่ยนงานไปสามที่ ไปสมัครงานเองคงไม่มีใครเอาแน่ๆ ผมจึงติดต่อไปยังบริษัท Recruitment เองและบอกไปตรงๆ ว่าอยากหางานในตำแหน่ง Manager หลังจากนั้นไม่ถึง 2 สัปดาห์ Recruitment นัดให้ผมไปสัมภาษณ์ 2 ที่ ผมทำการบ้านในการสัมภาษณ์งานอย่างหนัก listed คำถามเอาไว้ตอบแบบไม่ให้เคอะเขิน ในที่สุด 1ใน2 บริษัทนี้ ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกันยื่นข้อเสนอรับผมเข้าทำงานในตำแหน่ง Manager
หลังจากนั้น 2 ปี ที่บริษัทมีตำแหน่ง Senior Manager ว่างลง ตำแหน่งนี้ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับการเงินของบริษัท คือต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงิน เซ็นเช็กมูลค่ารวมหลายร้อยล้านบาทต่อปี ผมไม่รอช้าที่จะรีบเสนอตัวเองเข้าทำงานในตำแหน่งดังกล่าว ประธานบริษัทบินตรงมาสัมภาษณ์เองจากต่างประเทศ ผมประเมินคุณสมบัติคู่แข่งแต่ละคนแล้ว ออกอาการหวั่นใจอยู่ไม่น้อย บางคนจบโทจากต่างประเทศ ภาษาอังกฤษดีกว่า อายุมากกว่า ประสบการณ์การทำงานก็ยาวนานกว่า ผมแทบจะสู้ Candidate คนอื่นๆ ไม่ได้เลย
ในที่สุดท่านประธานก็เรียกผมเข้าไปคุย ท่านบอกว่าท่านจะให้โอกาสนี้กับผม สิ่งเดียวที่ผมมีดีกว่าคนอื่นๆ ที่ผมได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้ว คือ ความไว้วางใจ ท่านบอกว่าท่านไว้ใจผมมากที่สุด ผมก็ได้ปรับตำแหน่ง เป็น Senior Manager ตอนอายุ 28ปี และรับเงินเดือนหลักแสนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
Mega Project ของผมสำเร็จลุล่วงแล้ว คุณย่าสอนผมไว้เสมอว่า “ซื่อกินไม่หมด คตกินไม่นาน” ความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย์ของตัวเราเอง นำพามาสู่ความสำเร็จในครั้งนี้
ปัจจุบันผมยังทำงานอยู่ที่เดิม เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนเดิม แต่จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา มันสอนให้ผมรู้ว่าไม่มีอะไรที่มั่นคงในโลกของธุรกิจ ทุกวันนี้นอกจากเงินเดือนแล้วผมยังทำอาชีพเสริมอีกด้วย
หากมีโอกาสผมจะมาเล่าเรื่องราวของการทำอาชีพเสริมสไตล์มนุษย์เงินเดือนของผมนะครับ แต่หากใครกำลังคิดว่าผมต้องทำธุรกิจเครือข่ายแน่ๆ ผมบอกเลยว่าไม่ใช่ เพราะผมเข็ดกับการทำธุรกิจเครือข่ายแล้วครับ....
ตอนนี้ผมกำลังทำ Mega Project II เป้าหมายของผมในครั้งนี้ คือ เป็น MD ภายใน 5 ปี และภายใน 10ปี ต้องมีบริษัทเป็นของตนเองและมีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 20ล้าน
เอาใจช่วยเด็กบ้านนอกคนนี้ด้วยนะครับ...