เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://ppantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/30959854
บทที่ 4
http://ppantip.com/topic/30972487
บทที่ 5
http://ppantip.com/topic/31008949
บทที่ 6
http://ppantip.com/topic/31062538
บทที่ 7
http://ppantip.com/topic/31068381
บทที่ 8
http://ppantip.com/topic/31072197
บทที่ 9
http://ppantip.com/topic/31080124
บทที่ 10
http://ppantip.com/topic/31096418
บทที่ 11
http://ppantip.com/topic/31106323
บทที่ 12
http://ppantip.com/topic/31110852
บทที่ 13
http://ppantip.com/topic/31119767
บทที่ 14
http://ppantip.com/topic/31145208
บทที่ 15
http://ppantip.com/topic/31153998
บทที่ 16
http://ppantip.com/topic/31158597
บทที่ 17
http://ppantip.com/topic/31162220
บทที่ 18
http://ppantip.com/topic/31167403
บทที่ 19
http://ppantip.com/topic/31171824
บทที่ 20
http://ppantip.com/topic/31176304
บทที่ 21
http://ppantip.com/topic/31182066
บทที่ 22
http://ppantip.com/topic/31186088
บทที่ 23
http://ppantip.com/topic/31191229
*****************
บทที่ 24
กรุงอนันตา
เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วพระมหานครและพระบรมมหาราชวัง เปลวเพลิงโหมกระพือขึ้นตามจุดต่างๆ พระที่นั่ง หอพระมณเฑียร ตลอดจนองค์ปราสาท แลหอธิดารามสูร ล้วนถูกลูกปืนใหญ่ทำลายพินาศสิ้น เสียงโอดโอยหวีดร้องของบรรดาพสกนิกรชาวอนันตาต่างครวญคร่ำร่ำไห้ไปทั่วกรุง
โอ้เอย... อนันตาราชธานี ช่างรันทดกระไรเลย กรุงแตกแล้วเอย จะหาใครไหนเลยมากู้กรุงคืนได้กันนี่หนอ
ปี่พาทย์หลบหลีกลูกระเบิดไปพลางบรรเลงเพลงธาราวิปโยค ธรณีโศกา และพสุธาสลาย ต่อด้วยการนำเศษไม้ไหม้ไฟมาเคาะแทนกรับ
ภายในเวียงวัง มโหรีหลวงไม่ยอมหลบหลีกต่างยึดมั่นประโคมเพลงสดุดีเทวดา ถึงแม้ว่าเสาท้องพระโรงจะถล่มลงและล้มระเนระนาดอย่างน่าหวาดหวั่นรันทดใจสักเพียงใดก็ตาม ฝุ่นคลุ้ง
เชิงพระสุวรรณเจดีย์ องค์เจดีย์ถูกเพลิงลุกลามจนทองคำที่หุ้มอยู่ละลายลงมาจนหมด คนโฉดทรพีบางผู้ต่างขวนขวายหากระบวยมารองทองไปเป็นอันมากน่าอนาถนัก
- - - - - - - - -
ฝ่ายกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค
เจ้าฟ้ามูรตีทรงทอดพระเนตรเห็นควันอัคคีลอยจากทิศหรดีประเทศก็ทรงงแน่พระทัยแล้วว่า บัดนี้ อนันตาถึงกาลวิบัติ พระอัสสุชลหลั่งไหลเป็นสายจนท่วมเรือพระที่นั่งอลังการอนันตามหานาวาสถานราชยานศรี
พระนางแก้วกานดาและเหล่านางกำนัลนางพัดวีต่างช่วยกันใช้สไบซับหยาดอัสสุชลที่ไหลหยดตามพื้นนาวาเพื่อช่วยให้นาวาแห้ง นับได้ว่าทรงกระทำพระองค์เป็นประโยชน์โดยแท้กระนั้น
" อย่าทรงเสียพระทัยไปเลยเพคะ ท่านเจ้า หากรุงเอาใหม่ก็ได้นี่เพคะ "
พระนางตรัสจบ เจ้าฟ้าหนุ่มทรงหันขวับมา ดวงพระเนตรแดงก่ำหาใดปาน
" อัปยศวาจาช่างขัดนัก มีกิจชอบซับสายชลก็ซับไปเถอะ "
มหาอำมาตย์แหวกว่ายสายอัสสุชลเข้ามาทูลถาม
" ขอเดชะ เราควรประสงค์จำนงหมายสิ่งใดต่อไปดีพระเจ้าข้า "
" สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราหวัง "
" สิ่งนั้นคืออันใด ? "
ไพร่พลพรั่งพร้อมหันมากล่าว ก่อนเจ้าฟ้ามูรตีทรงผุดลุกขึ้นจากพระแท่น ทรงพระดำเนินไปยังกราบเรือด้านซ้ายจึ่งตรัส
" มีเพียงนกอีมูรากู้ ที่จะกู้กรุงคืนมาได้เท่านั้น "
" นกอีมูรากู้ ??? "
ทุกคนเปล่งเสียงร้องด้วยความฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก พระนางแก้วกานดาถลามาด้วยพระท่าทีโลดแล่น
" จะช้าไย... รีบเสาะแสวงหากันเถอะเพคะ จะได้ทันการณ์ "
" ไม่ต้องไปแสวงให้เหนื่อยแรงดอก "
" ไฉนกัน? "
" ที่ละวิรัฐก็มีอยู่หนึ่งตัว หากแต่เป็นของฉกรรณราชาพี่เจ้ากระนั้นแล "
พระนางแก้วกานดาทรงได้สดับดั่งนั้นก็ทรงพระเนตรวาวพลางตรัส
" จริงเหรอเพคะฝ่าบาท เช่นนั้นก็เหมาะแท้เทียวนา หม่อมฉันจะไปทูลขอให้เอง "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างมีเลศนัยแอบแฝงในพระจิต ทรงตรึกในพระทัยว่า
..... หึ หึ หึ จริงสินะ หากแม้นว่าเราเอานางแก้วกานดาไปแลกนกอีมูรากู้ เห็นทีฉกรรณราชามันคงจะให้เราโดยง่ายเป็นแน่.....
ดำริพลางทรงหันไปยังแม่ทัพทองถึงจึ่งตรัสในบัดดล
" ทองถึง "
" พระเจ้าข้า "
" ตะล่อมทัพกลับอีกครา มุ่งสู่กรุงละวิรัฐในทันใด "
" พระเจ้าข้า "
กระบวนพยุหยาตราแห่งองค์เจ้าฟ้ามูรตีเริ่มหันเหอีก ครานี้มุ่งสู่กรุงละวิรัฐ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลนักแล้ว
- - - - - - - - -
ฝ่ายกองทัพเดินเท้าแห่งพระเจ้าเตวู กษัตริย์พะคัมด์ ซึ่งกำลังเคลื่อนมาตามป่าแถบชายแดน เบื้องหน้าเป็นเทือกเขาอันยาวเหยียดซึ่งกั้นพรมแดนระหว่างพะคัมด์กับอนันตา
ฉับพลัน มหาดเล็กถลามายังพระราชยานคานหามทองคำแห่งองค์กษัตริย์เตวูพลาง เอื้อนทูล
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกปักษ์พิทักษ์เผ่า เบื้องนภาอาคเนย์ทิศานุทิศ พลันปรากฏหมอกธุลีสีนิลพวยพุ่งขึ้นเบื้องสูงพระเจ้าข้า "
" หยุดขบวน "
ตรัสจบ ขบวนทัพหยุดลงทันใด พระเสลี่ยงถูกอัญเชิญสู่พื้น และพระเจ้าเตวูก็ทรงพระดำเนินมาสามพระบาทจึ่งตรัสอีก
" เบื้องอาคเนย์นิศา... เห็นทีเป็นกรุงอนันตาอย่างแน่แท้ "
ครู่หนึ่ง มหาดเล็กอีกผู้ก็วิ่งมาคุกเข่า
" เดชะ โยธาหน้าทัพรายงานมาว่า อนันตาถูกโจมตีด้วยลูกปืนใหญ่ลึกลับพระเจ้าข้า "
" โลกาเข้าข้างข้า อ้า... ลูกปืนใหญ่... "
ทรงทำพระเนตรโตจึ่งตรัสต่อด้วยพระอารมณ์รื่นว่า
" หึ หึ หึ เห็นไหม ในที่สุดอนันตาก็ไม่รอด ครานี้เห็นทีกำลังของพวกมันจะถดถอย รึว่าไง ห้าขันทีที่ปรึกษาข้า "
หนีรู ถูไถ ไซ้เนิน เพลินพวง และหวงหลัง พร่ำพรรณนาเป็นลำดับ
" เราควรรีบเร่งซ้ำเติม "
" ต่อเสริมให้อนันตาสูญหาย "
" จู่โจมมหาวิมานให้วอดวาย "
" บุกทลายเมืองแมน "
" แผนล้ำลึก "
ทรงตรึกตรองอยู่ครู่จึ่งมีพระดำรัส
" ข้ามเขา เผาดง ยกโขยงไปอนันตาโดยพลัน "
- - - - - - - - -
ภายในพนาแห่งหนึ่ง
สองสตรีชาวเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น กำลังถือชะลอมไล่เก็บผลหมากรากไม้กันอยู่อย่างสนุกสนาน
ฉบัดนั้นเอง พลันปรากฏร่างบุรุษเพศร่างกายกำยำดุจคชคเชนทร์ตกมันสิบสามคนรุม ล้อมสองนางผู้นั้นไว้อย่างอุกอาจ
สองนางประหวั่นพรั่นพรึงประหนึ่งพลับพลึงแตกช่อ พลางล่อหลอกสิบสามหนุ่มเล่น
" อ๊ะ..อ๊ะ พวกท่านเป็นใครกันน่ะ "
นางหนึ่งว่า
" หึ หึ หึ ก็ชาวบุรุษบุรีไงเล่าจ๊ะ "
หนุ่มผู้หนึ่งตอบพลางทำนัยน์ตากรุ้มกริ่ม
" บุรุษบุรี ? !! "
อีกนางหนึ่งกล่าวพลางทำตาลุกวาว
" ใช่ "
" ลือกันว่าเมืองนี้มีแต่บุรุษเพศ "
" ถูกต้องแล้ว "
" แล้วพวกท่านจะทำอะไรพวกเรากันเล่านี่ "
" ก็รู้ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ "
จบคำ สิบสามหนุ่มต่างโถมกายาเข้าหาสองนางผู้นั้นในทันใด สองอนงค์ดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดฤทธิ์ แต่แล้ว... ในที่สุดก็หาต้านทานความโฉดของเหล่ามานพผู้กลัดมันเหล่านั้นได้ ประหนึ่งมัจฉาตัวน้อยๆที่ต้องปล่อยให้อสุรกายแทะโลมอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
เสร็จสรรพ เหล่าบุรุษทั้งสิบสามต่างกระโจนหนีหายกันไปหมด สองอิสตรีต่างวิ่งหนีไปตามป่าด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขาดวิ่นทะลุ เป็นรู
- - - - - - - - -
กองทัพของพระนางสุบินสวรรค์ และพระนางศรีตะกุมะลากาพำนักอยู่ ณ ชายป่าแห่งนั้น เหล่าสตรีทั้งหนึ่งล้านแปดแสนเก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบแปดนางกำลังกอบกิจประจำวันกันอยู่เป็นปฐม จนกระทั่งสองอิสตรีผู้ถูกบุกรุกพรหมจรรย์ได้กรีดร้องก้องพร้อมกับวิ่งออกจากป่าลึกมาสมทบจนครบพลสตรีหนึ่งล้านเก้าแสนนาง พระนางสุบินสวรรค์จึ่งตรัสถาม
" เกิดเหตุสิ่งใด ไฉนทหารสาวหวีดร้องก้องทัพ "
สองสตรีถลามากราบพลางร่ำไห้ด้วยหทัยอันบอบช้ำซ้ำร่างกายก็โทรมทรุด
" เดชะพระนางขา... หม่อมฉันทั้งสอง ถูก.. เอ่อ.. ถูก.. "
" ถูกอะไร ไฉนไม่สานสัมพันธวาจาให้เนื่องอยู่ "
พระนางศรีตะกุมะลากาทรงหันมาตรัส ก่อนสตรีผู้หนึ่งจะกราบทูลต่อ
" เอ่อ.. ถูก.. ถูกตระโบมพรหมจรรย์จนบรรลัยสลายสิ้นทั้งกายินทรีย์ฉวีวรรณจนคันคะะเยอไปหมดทั้งเรือนร่างสรรพางค์กายเพคะ "
สตรีอีกผู้รำพัน
" หา...!! เช่นนี้ เห็นทีจะปล่อยเอาไว้ไม่ได้ ใคร... ผู้ใดกันที่บังอาจห้ำหั่นกำนัลน้อยของข้าจนผ้าผ่อนล่อนจ้อนอุจาดบาดวจีเช่นนี้หนอ "
พระนางสุบินสวรรค์พิโรธพร้อมเสด็จผุดทะยานยืนยื่นพระหัตถาชี้พระดัชนีเข้าป่าไปด้วยพระราชหฤทัยขุ่นข้อง
" ชาวบุรุษบุรีเพคะ "
อิสตรีผู้หนึ่งทูลแถลง
ทันใดกันนั้น...
จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัยแปดสิบชันษาถึงกับตะลึงนัยน์ตาลุกโพลงพลางนวยนาดมาหมอบราบ
" ขอเดชะ บุรุษบุรีนี้หม่อมฉันเคยสดับ "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงหันขวับมา
" พจนาถให้ฉิวกระฉูด "
" บุรุษบุรีนี้เป็นนครแห่งบุรุษ "
จะติกะวะนาจิว่าจบ
" นครแห่งบุรุษ ? "
ศริพารฟาร์ฉงน
" ใช่ ภายในนครแห่งนี้จะมีแต่บุรุษทั้งหนุ่มแก่ จะไม่มีอิสตรีอยู่เลยแม้แต่ผู้เดียว "
" มหัศจรรย์ !! "
มะจั่นฟาร์ตีฏ์เอ่ยพลางทำนัยน์ตาลุกวาวพร้อมแลบชิวหาเลียโอษฐ์
" เช่นนี้พวกเราคงสมสุขตามฤทัยปองยิ่ง "
สะขรุมจินห์ว่า
" ใจเย็นๆ อย่างเพิ่งผลีผลามเผ่นไปเสพสุข "
พระนางศรีตะกุมะลากาทรงเปรย
" หม่อมฉันขอเสนอตนอาสาไปดูลาดเลาเพคะพระนาง "
วาริชฌาภาร์ณาทำหน้าตากรุ้มกริ่มมีเลศนัยอย่างเห็นได้ชัด
" ไม่... "
มะจั่นฟาร์ตีฏ์ท้วง พลางหันมากราบทูลด้วยนัยน์ตาอันเป็นประกายไม่หยุดหย่อน
" หม่อมฉันขออาสาเองเพคะ "
" อย่า... มันอันตราย พวกเจ้าไม่ช่ำชองในเชิงยุทธ์ "
จะติกะวะนาจิเอ่ยพลางหันมา
" หม่อมฉันมากประสบการณ์แล้ว ขอไปเองเพคะ "
" ราชครู !!! "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงกระชากพระสุรเสียงคราหนึ่งจึ่งตรัสอีกว่า
" ท่านก็ปาเข้าไปแปดสิบฉนำแล้วนะ "
จบพระวาจา ทรงผินพระพักตร์แลเหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลที่พากันยื่นหน้าสลอนรอคอยให้ทรงเรียกใช้ในงานนี้
บัดดล... ดวงพระเนตรก็สะดุดหยุดชะงักในทันที
" สะขรุมจินห์ "
" เพคะ "
สะขรุมห์จินห์ดีใจลิงโลดพลางถลาแหวกหมู่ข้าราชบริพารเข้ามารอรับพระราชเสาวนีย์โดยพลัน
" จงปลอมเป็นชายเข้าไปสอดส่องมองดูว่าในดาราเมือนแมนนั้นเป็นเช่นไร แล้วจงนำข่าวกลับมารายงานโดยทันที "
" เพคะ หม่อมฉันจะปฏิบัติภารกิจตามพระราชเสาวนีย์พระนางเจ้าให้สำเร็จลุล่วงอย่างล้ำลึกทีเดียวเชียว "
สะขรุมจินห์กล่าวจบก็โจนทะยานจากไป ท่ามกลางความเสียดายของเหล่าข้าราชบริพารคนอื่นๆ
- - - - - - - - -
สะขรุมจินห์ลัดเลาะมาตามป่าอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถึงเชิงผาแห่งหนึ่ง บัดดล สายตาของนางก็จับจ้องอยู่กับสิ่งเบื้องหน้าด้วยความตะลึง
นครอันโอฬารตระการตาไปด้วยปราการสูงลิบและแข็งแรงได้ปรากฏให้นางเห็น ภายในมีแต่อาคารบ้านเรือนอันงดงามวิจิตรตระการตาอย่างชนิดที่ไม่เคยพานพบมาก่อน ใจกลางเมืองเป็นปราสาทสูงหลายชั้น มีหลังคาเป็นสำดำสนิทวาววับระยิบระยับไปด้วยทองคำขลิบขอบ
สะขรุมจินห์หลงตะลึงอยู่นานจนเกือบลืมภาระกิจที่ได้รับพระบัญชามา นางจัดการแปลงกายาตนเองให้แลดูเหมือนบุรุษเพศเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นหนวดเครา หรือการแต่งกาย และแล้ว นางก็ปีนป่ายลงจากหน้าผามุ่งสู่บุรุษบุรีในทันควัน
* * * * * * * * *
จบบทที่ 24 โปรดติดตามต่อบทที่ 25
เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 24
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://ppantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://ppantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://ppantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://ppantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://ppantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://ppantip.com/topic/31110852
บทที่ 13 http://ppantip.com/topic/31119767
บทที่ 14 http://ppantip.com/topic/31145208
บทที่ 15 http://ppantip.com/topic/31153998
บทที่ 16 http://ppantip.com/topic/31158597
บทที่ 17 http://ppantip.com/topic/31162220
บทที่ 18 http://ppantip.com/topic/31167403
บทที่ 19 http://ppantip.com/topic/31171824
บทที่ 20 http://ppantip.com/topic/31176304
บทที่ 21 http://ppantip.com/topic/31182066
บทที่ 22 http://ppantip.com/topic/31186088
บทที่ 23 http://ppantip.com/topic/31191229
*****************
บทที่ 24
กรุงอนันตา
เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วพระมหานครและพระบรมมหาราชวัง เปลวเพลิงโหมกระพือขึ้นตามจุดต่างๆ พระที่นั่ง หอพระมณเฑียร ตลอดจนองค์ปราสาท แลหอธิดารามสูร ล้วนถูกลูกปืนใหญ่ทำลายพินาศสิ้น เสียงโอดโอยหวีดร้องของบรรดาพสกนิกรชาวอนันตาต่างครวญคร่ำร่ำไห้ไปทั่วกรุง
โอ้เอย... อนันตาราชธานี ช่างรันทดกระไรเลย กรุงแตกแล้วเอย จะหาใครไหนเลยมากู้กรุงคืนได้กันนี่หนอ
ปี่พาทย์หลบหลีกลูกระเบิดไปพลางบรรเลงเพลงธาราวิปโยค ธรณีโศกา และพสุธาสลาย ต่อด้วยการนำเศษไม้ไหม้ไฟมาเคาะแทนกรับ
ภายในเวียงวัง มโหรีหลวงไม่ยอมหลบหลีกต่างยึดมั่นประโคมเพลงสดุดีเทวดา ถึงแม้ว่าเสาท้องพระโรงจะถล่มลงและล้มระเนระนาดอย่างน่าหวาดหวั่นรันทดใจสักเพียงใดก็ตาม ฝุ่นคลุ้ง
เชิงพระสุวรรณเจดีย์ องค์เจดีย์ถูกเพลิงลุกลามจนทองคำที่หุ้มอยู่ละลายลงมาจนหมด คนโฉดทรพีบางผู้ต่างขวนขวายหากระบวยมารองทองไปเป็นอันมากน่าอนาถนัก
- - - - - - - - -
ฝ่ายกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค
เจ้าฟ้ามูรตีทรงทอดพระเนตรเห็นควันอัคคีลอยจากทิศหรดีประเทศก็ทรงงแน่พระทัยแล้วว่า บัดนี้ อนันตาถึงกาลวิบัติ พระอัสสุชลหลั่งไหลเป็นสายจนท่วมเรือพระที่นั่งอลังการอนันตามหานาวาสถานราชยานศรี
พระนางแก้วกานดาและเหล่านางกำนัลนางพัดวีต่างช่วยกันใช้สไบซับหยาดอัสสุชลที่ไหลหยดตามพื้นนาวาเพื่อช่วยให้นาวาแห้ง นับได้ว่าทรงกระทำพระองค์เป็นประโยชน์โดยแท้กระนั้น
" อย่าทรงเสียพระทัยไปเลยเพคะ ท่านเจ้า หากรุงเอาใหม่ก็ได้นี่เพคะ "
พระนางตรัสจบ เจ้าฟ้าหนุ่มทรงหันขวับมา ดวงพระเนตรแดงก่ำหาใดปาน
" อัปยศวาจาช่างขัดนัก มีกิจชอบซับสายชลก็ซับไปเถอะ "
มหาอำมาตย์แหวกว่ายสายอัสสุชลเข้ามาทูลถาม
" ขอเดชะ เราควรประสงค์จำนงหมายสิ่งใดต่อไปดีพระเจ้าข้า "
" สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราหวัง "
" สิ่งนั้นคืออันใด ? "
ไพร่พลพรั่งพร้อมหันมากล่าว ก่อนเจ้าฟ้ามูรตีทรงผุดลุกขึ้นจากพระแท่น ทรงพระดำเนินไปยังกราบเรือด้านซ้ายจึ่งตรัส
" มีเพียงนกอีมูรากู้ ที่จะกู้กรุงคืนมาได้เท่านั้น "
" นกอีมูรากู้ ??? "
ทุกคนเปล่งเสียงร้องด้วยความฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก พระนางแก้วกานดาถลามาด้วยพระท่าทีโลดแล่น
" จะช้าไย... รีบเสาะแสวงหากันเถอะเพคะ จะได้ทันการณ์ "
" ไม่ต้องไปแสวงให้เหนื่อยแรงดอก "
" ไฉนกัน? "
" ที่ละวิรัฐก็มีอยู่หนึ่งตัว หากแต่เป็นของฉกรรณราชาพี่เจ้ากระนั้นแล "
พระนางแก้วกานดาทรงได้สดับดั่งนั้นก็ทรงพระเนตรวาวพลางตรัส
" จริงเหรอเพคะฝ่าบาท เช่นนั้นก็เหมาะแท้เทียวนา หม่อมฉันจะไปทูลขอให้เอง "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างมีเลศนัยแอบแฝงในพระจิต ทรงตรึกในพระทัยว่า
..... หึ หึ หึ จริงสินะ หากแม้นว่าเราเอานางแก้วกานดาไปแลกนกอีมูรากู้ เห็นทีฉกรรณราชามันคงจะให้เราโดยง่ายเป็นแน่.....
ดำริพลางทรงหันไปยังแม่ทัพทองถึงจึ่งตรัสในบัดดล
" ทองถึง "
" พระเจ้าข้า "
" ตะล่อมทัพกลับอีกครา มุ่งสู่กรุงละวิรัฐในทันใด "
" พระเจ้าข้า "
กระบวนพยุหยาตราแห่งองค์เจ้าฟ้ามูรตีเริ่มหันเหอีก ครานี้มุ่งสู่กรุงละวิรัฐ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลนักแล้ว
- - - - - - - - -
ฝ่ายกองทัพเดินเท้าแห่งพระเจ้าเตวู กษัตริย์พะคัมด์ ซึ่งกำลังเคลื่อนมาตามป่าแถบชายแดน เบื้องหน้าเป็นเทือกเขาอันยาวเหยียดซึ่งกั้นพรมแดนระหว่างพะคัมด์กับอนันตา
ฉับพลัน มหาดเล็กถลามายังพระราชยานคานหามทองคำแห่งองค์กษัตริย์เตวูพลาง เอื้อนทูล
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกปักษ์พิทักษ์เผ่า เบื้องนภาอาคเนย์ทิศานุทิศ พลันปรากฏหมอกธุลีสีนิลพวยพุ่งขึ้นเบื้องสูงพระเจ้าข้า "
" หยุดขบวน "
ตรัสจบ ขบวนทัพหยุดลงทันใด พระเสลี่ยงถูกอัญเชิญสู่พื้น และพระเจ้าเตวูก็ทรงพระดำเนินมาสามพระบาทจึ่งตรัสอีก
" เบื้องอาคเนย์นิศา... เห็นทีเป็นกรุงอนันตาอย่างแน่แท้ "
ครู่หนึ่ง มหาดเล็กอีกผู้ก็วิ่งมาคุกเข่า
" เดชะ โยธาหน้าทัพรายงานมาว่า อนันตาถูกโจมตีด้วยลูกปืนใหญ่ลึกลับพระเจ้าข้า "
" โลกาเข้าข้างข้า อ้า... ลูกปืนใหญ่... "
ทรงทำพระเนตรโตจึ่งตรัสต่อด้วยพระอารมณ์รื่นว่า
" หึ หึ หึ เห็นไหม ในที่สุดอนันตาก็ไม่รอด ครานี้เห็นทีกำลังของพวกมันจะถดถอย รึว่าไง ห้าขันทีที่ปรึกษาข้า "
หนีรู ถูไถ ไซ้เนิน เพลินพวง และหวงหลัง พร่ำพรรณนาเป็นลำดับ
" เราควรรีบเร่งซ้ำเติม "
" ต่อเสริมให้อนันตาสูญหาย "
" จู่โจมมหาวิมานให้วอดวาย "
" บุกทลายเมืองแมน "
" แผนล้ำลึก "
ทรงตรึกตรองอยู่ครู่จึ่งมีพระดำรัส
" ข้ามเขา เผาดง ยกโขยงไปอนันตาโดยพลัน "
- - - - - - - - -
ภายในพนาแห่งหนึ่ง
สองสตรีชาวเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น กำลังถือชะลอมไล่เก็บผลหมากรากไม้กันอยู่อย่างสนุกสนาน
ฉบัดนั้นเอง พลันปรากฏร่างบุรุษเพศร่างกายกำยำดุจคชคเชนทร์ตกมันสิบสามคนรุม ล้อมสองนางผู้นั้นไว้อย่างอุกอาจ
สองนางประหวั่นพรั่นพรึงประหนึ่งพลับพลึงแตกช่อ พลางล่อหลอกสิบสามหนุ่มเล่น
" อ๊ะ..อ๊ะ พวกท่านเป็นใครกันน่ะ "
นางหนึ่งว่า
" หึ หึ หึ ก็ชาวบุรุษบุรีไงเล่าจ๊ะ "
หนุ่มผู้หนึ่งตอบพลางทำนัยน์ตากรุ้มกริ่ม
" บุรุษบุรี ? !! "
อีกนางหนึ่งกล่าวพลางทำตาลุกวาว
" ใช่ "
" ลือกันว่าเมืองนี้มีแต่บุรุษเพศ "
" ถูกต้องแล้ว "
" แล้วพวกท่านจะทำอะไรพวกเรากันเล่านี่ "
" ก็รู้ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ "
จบคำ สิบสามหนุ่มต่างโถมกายาเข้าหาสองนางผู้นั้นในทันใด สองอนงค์ดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดฤทธิ์ แต่แล้ว... ในที่สุดก็หาต้านทานความโฉดของเหล่ามานพผู้กลัดมันเหล่านั้นได้ ประหนึ่งมัจฉาตัวน้อยๆที่ต้องปล่อยให้อสุรกายแทะโลมอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
เสร็จสรรพ เหล่าบุรุษทั้งสิบสามต่างกระโจนหนีหายกันไปหมด สองอิสตรีต่างวิ่งหนีไปตามป่าด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขาดวิ่นทะลุ เป็นรู
- - - - - - - - -
กองทัพของพระนางสุบินสวรรค์ และพระนางศรีตะกุมะลากาพำนักอยู่ ณ ชายป่าแห่งนั้น เหล่าสตรีทั้งหนึ่งล้านแปดแสนเก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบแปดนางกำลังกอบกิจประจำวันกันอยู่เป็นปฐม จนกระทั่งสองอิสตรีผู้ถูกบุกรุกพรหมจรรย์ได้กรีดร้องก้องพร้อมกับวิ่งออกจากป่าลึกมาสมทบจนครบพลสตรีหนึ่งล้านเก้าแสนนาง พระนางสุบินสวรรค์จึ่งตรัสถาม
" เกิดเหตุสิ่งใด ไฉนทหารสาวหวีดร้องก้องทัพ "
สองสตรีถลามากราบพลางร่ำไห้ด้วยหทัยอันบอบช้ำซ้ำร่างกายก็โทรมทรุด
" เดชะพระนางขา... หม่อมฉันทั้งสอง ถูก.. เอ่อ.. ถูก.. "
" ถูกอะไร ไฉนไม่สานสัมพันธวาจาให้เนื่องอยู่ "
พระนางศรีตะกุมะลากาทรงหันมาตรัส ก่อนสตรีผู้หนึ่งจะกราบทูลต่อ
" เอ่อ.. ถูก.. ถูกตระโบมพรหมจรรย์จนบรรลัยสลายสิ้นทั้งกายินทรีย์ฉวีวรรณจนคันคะะเยอไปหมดทั้งเรือนร่างสรรพางค์กายเพคะ "
สตรีอีกผู้รำพัน
" หา...!! เช่นนี้ เห็นทีจะปล่อยเอาไว้ไม่ได้ ใคร... ผู้ใดกันที่บังอาจห้ำหั่นกำนัลน้อยของข้าจนผ้าผ่อนล่อนจ้อนอุจาดบาดวจีเช่นนี้หนอ "
พระนางสุบินสวรรค์พิโรธพร้อมเสด็จผุดทะยานยืนยื่นพระหัตถาชี้พระดัชนีเข้าป่าไปด้วยพระราชหฤทัยขุ่นข้อง
" ชาวบุรุษบุรีเพคะ "
อิสตรีผู้หนึ่งทูลแถลง
ทันใดกันนั้น...
จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัยแปดสิบชันษาถึงกับตะลึงนัยน์ตาลุกโพลงพลางนวยนาดมาหมอบราบ
" ขอเดชะ บุรุษบุรีนี้หม่อมฉันเคยสดับ "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงหันขวับมา
" พจนาถให้ฉิวกระฉูด "
" บุรุษบุรีนี้เป็นนครแห่งบุรุษ "
จะติกะวะนาจิว่าจบ
" นครแห่งบุรุษ ? "
ศริพารฟาร์ฉงน
" ใช่ ภายในนครแห่งนี้จะมีแต่บุรุษทั้งหนุ่มแก่ จะไม่มีอิสตรีอยู่เลยแม้แต่ผู้เดียว "
" มหัศจรรย์ !! "
มะจั่นฟาร์ตีฏ์เอ่ยพลางทำนัยน์ตาลุกวาวพร้อมแลบชิวหาเลียโอษฐ์
" เช่นนี้พวกเราคงสมสุขตามฤทัยปองยิ่ง "
สะขรุมจินห์ว่า
" ใจเย็นๆ อย่างเพิ่งผลีผลามเผ่นไปเสพสุข "
พระนางศรีตะกุมะลากาทรงเปรย
" หม่อมฉันขอเสนอตนอาสาไปดูลาดเลาเพคะพระนาง "
วาริชฌาภาร์ณาทำหน้าตากรุ้มกริ่มมีเลศนัยอย่างเห็นได้ชัด
" ไม่... "
มะจั่นฟาร์ตีฏ์ท้วง พลางหันมากราบทูลด้วยนัยน์ตาอันเป็นประกายไม่หยุดหย่อน
" หม่อมฉันขออาสาเองเพคะ "
" อย่า... มันอันตราย พวกเจ้าไม่ช่ำชองในเชิงยุทธ์ "
จะติกะวะนาจิเอ่ยพลางหันมา
" หม่อมฉันมากประสบการณ์แล้ว ขอไปเองเพคะ "
" ราชครู !!! "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงกระชากพระสุรเสียงคราหนึ่งจึ่งตรัสอีกว่า
" ท่านก็ปาเข้าไปแปดสิบฉนำแล้วนะ "
จบพระวาจา ทรงผินพระพักตร์แลเหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลที่พากันยื่นหน้าสลอนรอคอยให้ทรงเรียกใช้ในงานนี้
บัดดล... ดวงพระเนตรก็สะดุดหยุดชะงักในทันที
" สะขรุมจินห์ "
" เพคะ "
สะขรุมห์จินห์ดีใจลิงโลดพลางถลาแหวกหมู่ข้าราชบริพารเข้ามารอรับพระราชเสาวนีย์โดยพลัน
" จงปลอมเป็นชายเข้าไปสอดส่องมองดูว่าในดาราเมือนแมนนั้นเป็นเช่นไร แล้วจงนำข่าวกลับมารายงานโดยทันที "
" เพคะ หม่อมฉันจะปฏิบัติภารกิจตามพระราชเสาวนีย์พระนางเจ้าให้สำเร็จลุล่วงอย่างล้ำลึกทีเดียวเชียว "
สะขรุมจินห์กล่าวจบก็โจนทะยานจากไป ท่ามกลางความเสียดายของเหล่าข้าราชบริพารคนอื่นๆ
- - - - - - - - -
สะขรุมจินห์ลัดเลาะมาตามป่าอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถึงเชิงผาแห่งหนึ่ง บัดดล สายตาของนางก็จับจ้องอยู่กับสิ่งเบื้องหน้าด้วยความตะลึง
นครอันโอฬารตระการตาไปด้วยปราการสูงลิบและแข็งแรงได้ปรากฏให้นางเห็น ภายในมีแต่อาคารบ้านเรือนอันงดงามวิจิตรตระการตาอย่างชนิดที่ไม่เคยพานพบมาก่อน ใจกลางเมืองเป็นปราสาทสูงหลายชั้น มีหลังคาเป็นสำดำสนิทวาววับระยิบระยับไปด้วยทองคำขลิบขอบ
สะขรุมจินห์หลงตะลึงอยู่นานจนเกือบลืมภาระกิจที่ได้รับพระบัญชามา นางจัดการแปลงกายาตนเองให้แลดูเหมือนบุรุษเพศเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นหนวดเครา หรือการแต่งกาย และแล้ว นางก็ปีนป่ายลงจากหน้าผามุ่งสู่บุรุษบุรีในทันควัน
* * * * * * * * *
จบบทที่ 24 โปรดติดตามต่อบทที่ 25