เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 24

กระทู้สนทนา
เจ้าฟ้ามูรตี

บทประพันธ์ ด๋ง

ปฐมบท และบทที่ 1 http://ppantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://ppantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://ppantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://ppantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://ppantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://ppantip.com/topic/31110852
บทที่ 13 http://ppantip.com/topic/31119767
บทที่ 14 http://ppantip.com/topic/31145208
บทที่ 15 http://ppantip.com/topic/31153998
บทที่ 16 http://ppantip.com/topic/31158597
บทที่ 17 http://ppantip.com/topic/31162220
บทที่ 18 http://ppantip.com/topic/31167403
บทที่ 19 http://ppantip.com/topic/31171824
บทที่ 20 http://ppantip.com/topic/31176304
บทที่ 21 http://ppantip.com/topic/31182066
บทที่ 22 http://ppantip.com/topic/31186088
บทที่ 23 http://ppantip.com/topic/31191229

*****************

บทที่ 24



กรุงอนันตา

เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วพระมหานครและพระบรมมหาราชวัง เปลวเพลิงโหมกระพือขึ้นตามจุดต่างๆ พระที่นั่ง หอพระมณเฑียร ตลอดจนองค์ปราสาท แลหอธิดารามสูร ล้วนถูกลูกปืนใหญ่ทำลายพินาศสิ้น เสียงโอดโอยหวีดร้องของบรรดาพสกนิกรชาวอนันตาต่างครวญคร่ำร่ำไห้ไปทั่วกรุง

โอ้เอย... อนันตาราชธานี ช่างรันทดกระไรเลย กรุงแตกแล้วเอย จะหาใครไหนเลยมากู้กรุงคืนได้กันนี่หนอ

ปี่พาทย์หลบหลีกลูกระเบิดไปพลางบรรเลงเพลงธาราวิปโยค ธรณีโศกา และพสุธาสลาย ต่อด้วยการนำเศษไม้ไหม้ไฟมาเคาะแทนกรับ

ภายในเวียงวัง มโหรีหลวงไม่ยอมหลบหลีกต่างยึดมั่นประโคมเพลงสดุดีเทวดา ถึงแม้ว่าเสาท้องพระโรงจะถล่มลงและล้มระเนระนาดอย่างน่าหวาดหวั่นรันทดใจสักเพียงใดก็ตาม ฝุ่นคลุ้ง

เชิงพระสุวรรณเจดีย์ องค์เจดีย์ถูกเพลิงลุกลามจนทองคำที่หุ้มอยู่ละลายลงมาจนหมด คนโฉดทรพีบางผู้ต่างขวนขวายหากระบวยมารองทองไปเป็นอันมากน่าอนาถนัก

- - - - - - - - -

ฝ่ายกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค

เจ้าฟ้ามูรตีทรงทอดพระเนตรเห็นควันอัคคีลอยจากทิศหรดีประเทศก็ทรงงแน่พระทัยแล้วว่า บัดนี้ อนันตาถึงกาลวิบัติ พระอัสสุชลหลั่งไหลเป็นสายจนท่วมเรือพระที่นั่งอลังการอนันตามหานาวาสถานราชยานศรี

พระนางแก้วกานดาและเหล่านางกำนัลนางพัดวีต่างช่วยกันใช้สไบซับหยาดอัสสุชลที่ไหลหยดตามพื้นนาวาเพื่อช่วยให้นาวาแห้ง นับได้ว่าทรงกระทำพระองค์เป็นประโยชน์โดยแท้กระนั้น

" อย่าทรงเสียพระทัยไปเลยเพคะ ท่านเจ้า หากรุงเอาใหม่ก็ได้นี่เพคะ "

พระนางตรัสจบ เจ้าฟ้าหนุ่มทรงหันขวับมา ดวงพระเนตรแดงก่ำหาใดปาน

" อัปยศวาจาช่างขัดนัก มีกิจชอบซับสายชลก็ซับไปเถอะ "

มหาอำมาตย์แหวกว่ายสายอัสสุชลเข้ามาทูลถาม

" ขอเดชะ เราควรประสงค์จำนงหมายสิ่งใดต่อไปดีพระเจ้าข้า "

" สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราหวัง "

" สิ่งนั้นคืออันใด ? "

ไพร่พลพรั่งพร้อมหันมากล่าว ก่อนเจ้าฟ้ามูรตีทรงผุดลุกขึ้นจากพระแท่น ทรงพระดำเนินไปยังกราบเรือด้านซ้ายจึ่งตรัส

" มีเพียงนกอีมูรากู้ ที่จะกู้กรุงคืนมาได้เท่านั้น "

" นกอีมูรากู้ ??? "

ทุกคนเปล่งเสียงร้องด้วยความฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก พระนางแก้วกานดาถลามาด้วยพระท่าทีโลดแล่น

" จะช้าไย... รีบเสาะแสวงหากันเถอะเพคะ จะได้ทันการณ์ "

" ไม่ต้องไปแสวงให้เหนื่อยแรงดอก "

" ไฉนกัน? "

" ที่ละวิรัฐก็มีอยู่หนึ่งตัว หากแต่เป็นของฉกรรณราชาพี่เจ้ากระนั้นแล "

พระนางแก้วกานดาทรงได้สดับดั่งนั้นก็ทรงพระเนตรวาวพลางตรัส

" จริงเหรอเพคะฝ่าบาท เช่นนั้นก็เหมาะแท้เทียวนา หม่อมฉันจะไปทูลขอให้เอง "

เจ้าฟ้ามูรตีทรงกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างมีเลศนัยแอบแฝงในพระจิต ทรงตรึกในพระทัยว่า

..... หึ หึ หึ จริงสินะ หากแม้นว่าเราเอานางแก้วกานดาไปแลกนกอีมูรากู้ เห็นทีฉกรรณราชามันคงจะให้เราโดยง่ายเป็นแน่.....

ดำริพลางทรงหันไปยังแม่ทัพทองถึงจึ่งตรัสในบัดดล

" ทองถึง "

" พระเจ้าข้า "

" ตะล่อมทัพกลับอีกครา มุ่งสู่กรุงละวิรัฐในทันใด "

" พระเจ้าข้า "

กระบวนพยุหยาตราแห่งองค์เจ้าฟ้ามูรตีเริ่มหันเหอีก ครานี้มุ่งสู่กรุงละวิรัฐ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลนักแล้ว

- - - - - - - - -

ฝ่ายกองทัพเดินเท้าแห่งพระเจ้าเตวู กษัตริย์พะคัมด์ ซึ่งกำลังเคลื่อนมาตามป่าแถบชายแดน เบื้องหน้าเป็นเทือกเขาอันยาวเหยียดซึ่งกั้นพรมแดนระหว่างพะคัมด์กับอนันตา

ฉับพลัน มหาดเล็กถลามายังพระราชยานคานหามทองคำแห่งองค์กษัตริย์เตวูพลาง เอื้อนทูล

" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกปักษ์พิทักษ์เผ่า เบื้องนภาอาคเนย์ทิศานุทิศ พลันปรากฏหมอกธุลีสีนิลพวยพุ่งขึ้นเบื้องสูงพระเจ้าข้า "

" หยุดขบวน "

ตรัสจบ ขบวนทัพหยุดลงทันใด พระเสลี่ยงถูกอัญเชิญสู่พื้น และพระเจ้าเตวูก็ทรงพระดำเนินมาสามพระบาทจึ่งตรัสอีก

" เบื้องอาคเนย์นิศา... เห็นทีเป็นกรุงอนันตาอย่างแน่แท้ "

ครู่หนึ่ง มหาดเล็กอีกผู้ก็วิ่งมาคุกเข่า

" เดชะ โยธาหน้าทัพรายงานมาว่า อนันตาถูกโจมตีด้วยลูกปืนใหญ่ลึกลับพระเจ้าข้า "

" โลกาเข้าข้างข้า อ้า... ลูกปืนใหญ่... "

ทรงทำพระเนตรโตจึ่งตรัสต่อด้วยพระอารมณ์รื่นว่า

" หึ หึ หึ เห็นไหม ในที่สุดอนันตาก็ไม่รอด ครานี้เห็นทีกำลังของพวกมันจะถดถอย รึว่าไง ห้าขันทีที่ปรึกษาข้า "

หนีรู ถูไถ ไซ้เนิน เพลินพวง และหวงหลัง พร่ำพรรณนาเป็นลำดับ

" เราควรรีบเร่งซ้ำเติม "

" ต่อเสริมให้อนันตาสูญหาย "

" จู่โจมมหาวิมานให้วอดวาย "

" บุกทลายเมืองแมน "

" แผนล้ำลึก "

ทรงตรึกตรองอยู่ครู่จึ่งมีพระดำรัส

" ข้ามเขา เผาดง ยกโขยงไปอนันตาโดยพลัน "

- - - - - - - - -

ภายในพนาแห่งหนึ่ง

สองสตรีชาวเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น กำลังถือชะลอมไล่เก็บผลหมากรากไม้กันอยู่อย่างสนุกสนาน

ฉบัดนั้นเอง พลันปรากฏร่างบุรุษเพศร่างกายกำยำดุจคชคเชนทร์ตกมันสิบสามคนรุม ล้อมสองนางผู้นั้นไว้อย่างอุกอาจ

สองนางประหวั่นพรั่นพรึงประหนึ่งพลับพลึงแตกช่อ พลางล่อหลอกสิบสามหนุ่มเล่น

" อ๊ะ..อ๊ะ พวกท่านเป็นใครกันน่ะ "

นางหนึ่งว่า

" หึ หึ หึ ก็ชาวบุรุษบุรีไงเล่าจ๊ะ "

หนุ่มผู้หนึ่งตอบพลางทำนัยน์ตากรุ้มกริ่ม

" บุรุษบุรี ? !! "

อีกนางหนึ่งกล่าวพลางทำตาลุกวาว

" ใช่ "

" ลือกันว่าเมืองนี้มีแต่บุรุษเพศ "

" ถูกต้องแล้ว "

" แล้วพวกท่านจะทำอะไรพวกเรากันเล่านี่ "

" ก็รู้ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ "

จบคำ สิบสามหนุ่มต่างโถมกายาเข้าหาสองนางผู้นั้นในทันใด สองอนงค์ดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดฤทธิ์ แต่แล้ว... ในที่สุดก็หาต้านทานความโฉดของเหล่ามานพผู้กลัดมันเหล่านั้นได้ ประหนึ่งมัจฉาตัวน้อยๆที่ต้องปล่อยให้อสุรกายแทะโลมอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

เสร็จสรรพ เหล่าบุรุษทั้งสิบสามต่างกระโจนหนีหายกันไปหมด สองอิสตรีต่างวิ่งหนีไปตามป่าด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขาดวิ่นทะลุ เป็นรู

- - - - - - - - -

กองทัพของพระนางสุบินสวรรค์ และพระนางศรีตะกุมะลากาพำนักอยู่ ณ ชายป่าแห่งนั้น เหล่าสตรีทั้งหนึ่งล้านแปดแสนเก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบแปดนางกำลังกอบกิจประจำวันกันอยู่เป็นปฐม จนกระทั่งสองอิสตรีผู้ถูกบุกรุกพรหมจรรย์ได้กรีดร้องก้องพร้อมกับวิ่งออกจากป่าลึกมาสมทบจนครบพลสตรีหนึ่งล้านเก้าแสนนาง พระนางสุบินสวรรค์จึ่งตรัสถาม

" เกิดเหตุสิ่งใด ไฉนทหารสาวหวีดร้องก้องทัพ "

สองสตรีถลามากราบพลางร่ำไห้ด้วยหทัยอันบอบช้ำซ้ำร่างกายก็โทรมทรุด

" เดชะพระนางขา... หม่อมฉันทั้งสอง ถูก.. เอ่อ.. ถูก.. "

" ถูกอะไร ไฉนไม่สานสัมพันธวาจาให้เนื่องอยู่ "

พระนางศรีตะกุมะลากาทรงหันมาตรัส ก่อนสตรีผู้หนึ่งจะกราบทูลต่อ

" เอ่อ.. ถูก.. ถูกตระโบมพรหมจรรย์จนบรรลัยสลายสิ้นทั้งกายินทรีย์ฉวีวรรณจนคันคะะเยอไปหมดทั้งเรือนร่างสรรพางค์กายเพคะ "

สตรีอีกผู้รำพัน

" หา...!! เช่นนี้ เห็นทีจะปล่อยเอาไว้ไม่ได้ ใคร... ผู้ใดกันที่บังอาจห้ำหั่นกำนัลน้อยของข้าจนผ้าผ่อนล่อนจ้อนอุจาดบาดวจีเช่นนี้หนอ "

พระนางสุบินสวรรค์พิโรธพร้อมเสด็จผุดทะยานยืนยื่นพระหัตถาชี้พระดัชนีเข้าป่าไปด้วยพระราชหฤทัยขุ่นข้อง

" ชาวบุรุษบุรีเพคะ "

อิสตรีผู้หนึ่งทูลแถลง

ทันใดกันนั้น...

จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัยแปดสิบชันษาถึงกับตะลึงนัยน์ตาลุกโพลงพลางนวยนาดมาหมอบราบ

" ขอเดชะ บุรุษบุรีนี้หม่อมฉันเคยสดับ "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงหันขวับมา

" พจนาถให้ฉิวกระฉูด "

" บุรุษบุรีนี้เป็นนครแห่งบุรุษ "

จะติกะวะนาจิว่าจบ

" นครแห่งบุรุษ ? "

ศริพารฟาร์ฉงน

" ใช่ ภายในนครแห่งนี้จะมีแต่บุรุษทั้งหนุ่มแก่ จะไม่มีอิสตรีอยู่เลยแม้แต่ผู้เดียว "

" มหัศจรรย์ !! "

มะจั่นฟาร์ตีฏ์เอ่ยพลางทำนัยน์ตาลุกวาวพร้อมแลบชิวหาเลียโอษฐ์

" เช่นนี้พวกเราคงสมสุขตามฤทัยปองยิ่ง "

สะขรุมจินห์ว่า

" ใจเย็นๆ อย่างเพิ่งผลีผลามเผ่นไปเสพสุข "

พระนางศรีตะกุมะลากาทรงเปรย

" หม่อมฉันขอเสนอตนอาสาไปดูลาดเลาเพคะพระนาง "

วาริชฌาภาร์ณาทำหน้าตากรุ้มกริ่มมีเลศนัยอย่างเห็นได้ชัด

" ไม่... "

มะจั่นฟาร์ตีฏ์ท้วง พลางหันมากราบทูลด้วยนัยน์ตาอันเป็นประกายไม่หยุดหย่อน

" หม่อมฉันขออาสาเองเพคะ "

" อย่า... มันอันตราย พวกเจ้าไม่ช่ำชองในเชิงยุทธ์ "

จะติกะวะนาจิเอ่ยพลางหันมา

" หม่อมฉันมากประสบการณ์แล้ว ขอไปเองเพคะ "

" ราชครู !!! "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงกระชากพระสุรเสียงคราหนึ่งจึ่งตรัสอีกว่า

" ท่านก็ปาเข้าไปแปดสิบฉนำแล้วนะ "

จบพระวาจา ทรงผินพระพักตร์แลเหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลที่พากันยื่นหน้าสลอนรอคอยให้ทรงเรียกใช้ในงานนี้

บัดดล... ดวงพระเนตรก็สะดุดหยุดชะงักในทันที

" สะขรุมจินห์ "

" เพคะ "

สะขรุมห์จินห์ดีใจลิงโลดพลางถลาแหวกหมู่ข้าราชบริพารเข้ามารอรับพระราชเสาวนีย์โดยพลัน

" จงปลอมเป็นชายเข้าไปสอดส่องมองดูว่าในดาราเมือนแมนนั้นเป็นเช่นไร แล้วจงนำข่าวกลับมารายงานโดยทันที "

" เพคะ หม่อมฉันจะปฏิบัติภารกิจตามพระราชเสาวนีย์พระนางเจ้าให้สำเร็จลุล่วงอย่างล้ำลึกทีเดียวเชียว "

สะขรุมจินห์กล่าวจบก็โจนทะยานจากไป ท่ามกลางความเสียดายของเหล่าข้าราชบริพารคนอื่นๆ

- - - - - - - - -

สะขรุมจินห์ลัดเลาะมาตามป่าอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถึงเชิงผาแห่งหนึ่ง บัดดล สายตาของนางก็จับจ้องอยู่กับสิ่งเบื้องหน้าด้วยความตะลึง

นครอันโอฬารตระการตาไปด้วยปราการสูงลิบและแข็งแรงได้ปรากฏให้นางเห็น ภายในมีแต่อาคารบ้านเรือนอันงดงามวิจิตรตระการตาอย่างชนิดที่ไม่เคยพานพบมาก่อน ใจกลางเมืองเป็นปราสาทสูงหลายชั้น มีหลังคาเป็นสำดำสนิทวาววับระยิบระยับไปด้วยทองคำขลิบขอบ

สะขรุมจินห์หลงตะลึงอยู่นานจนเกือบลืมภาระกิจที่ได้รับพระบัญชามา นางจัดการแปลงกายาตนเองให้แลดูเหมือนบุรุษเพศเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นหนวดเครา หรือการแต่งกาย และแล้ว นางก็ปีนป่ายลงจากหน้าผามุ่งสู่บุรุษบุรีในทันควัน



* * * * * * * * *

จบบทที่ 24 โปรดติดตามต่อบทที่ 25
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่