เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://ppantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/30959854
บทที่ 4
http://ppantip.com/topic/30972487
บทที่ 5
http://ppantip.com/topic/31008949
บทที่ 6
http://ppantip.com/topic/31062538
บทที่ 7
http://ppantip.com/topic/31068381
บทที่ 8
http://ppantip.com/topic/31072197
บทที่ 9
http://ppantip.com/topic/31080124
บทที่ 10
http://ppantip.com/topic/31096418
บทที่ 11
http://ppantip.com/topic/31106323
บทที่ 12
http://ppantip.com/topic/31110852
บทที่ 13
http://ppantip.com/topic/31119767
บทที่ 14
http://ppantip.com/topic/31145208
บทที่ 15
http://ppantip.com/topic/31153998
บทที่ 16
http://ppantip.com/topic/31158597
บทที่ 17
http://ppantip.com/topic/31162220
บทที่ 18
http://ppantip.com/topic/31167403
บทที่ 19
http://ppantip.com/topic/31171824
บทที่ 20
http://ppantip.com/topic/31176304
*****************
บทที่ 21
กองทัพอิสตรีของสองกษัตรีย์นารีแห่งเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น
ภายในพลับพลาที่ประทับ พระนางสุบินสวรรค์ทรงผุดขึ้นด้วยพิโรธ
" บังอาจกล้าฉีกสไบชาวเถมรูเรา หมิ่นเกียรติเกินไป "
พระนางศรีตะกุมะลากา ภายหลังจากที่ทรงเช็ดพระอัสสุชลที่ไหลนองแล้ว ทรงเชิดพระพักตร์รับสั่ง
" เราตัดหทัยได้แล้ว จะบุกละวิรัฐก่อนอนันตา "
พระนางสุบินสวรรค์ดีพระทัยยิ่งพลางตรัสว่า
" ด้วยวิธีใดฤา ? "
" ด้วยวิธีภูธรา "
" เช่นไร ? "
" ทัพจามรียา "
" วิเศษแท้ ทัพนี้เถมรูมิคยสดับ แล้วจามรียาเล่า "
" หาหวั่นไม่ "
จบมธุรสวาจา ทรงชูซึงทองหางจามรียาขึ้นสู่ฟ้า และด้วยมนตราแห่ง องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ จามรียาหนึ่งล้านเก้าแสนตัวก็ปรากฏขึ้น แต่เนื่องจากจามรียามิคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมป่าเขา จึงพากันร้องขวักไขว่ บ้างก็วิ่งไปวิ่งมา เหล่าสตรีเถมรูและภูธราต่างวิ่งไล่จับกันจนเหน็ดเหนื่อยเป็นที่สุด
พิณพาทย์บรรเลงเพลงเถมรูตื่นสองชั้น เป็นการแสดงถึงความสนุกสนานเบิกบาน
พระนางสุบินสวรรค์ทรงตื่นตากับจามรียาเป็นอันมาก ทรงพิศดูชาวภูธราขึ้นขี่จามรียา ชาวสตรีภูธรานั้นเคยชินกับจามรียายิ่ง แต่สตรีเถมรูมิเคยพานพบมาก่อน บ้างจึงหยอกล้อเล่นกับจามรียา บ้างกระซิกระริกระรี้ด้วย และบ้างก็หลงรักจามรียาจนถอนกายาไม่ขึ้น
จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัยแปดสิบชันษาค่อยๆขยับกามาใกล้พระนางสุบินสวรรค์พลางกราบทูล
" ชักช้าไม่ได้นะเพคะ "
" เหรอ... เอาสิ ถ้าเช่นนั้นในวันรุ่งเราจะเดินทัพ รึว่าไงจ๊ะศรีตะกุมะลากา "
" ดีจ้ะ "
" แต่เอ... แล้วเภตราทองคำที่ท่านนำมาด้วยเล่า จะเอาไปไว้ที่ใดดี ขืนปล่อยเอาไว้เช่นนี้คงสูญหายเป็นแน่แท้ "
" แท้เทียว... แต่... หาห่วงอันใด จำเราจะให้มาหยารัศมีแลพรรคพวกคอยดูแลปัดเป่าจนกว่าเราจะกลับ "
ตรัสจบทรงผินพระพักตร์ไปยังสตรีผู้หนึ่งซึ่งหมอบราบอยู่กับสตรีอีกสามคน
" เงยหน้าขึ้นสิ มาหยารัศมี "
รับสั่งจบ หญิงสาวผู้อยู่หน้าสุดเงยหน้าขึ้น แลเห็นใบหน้างดงามผุดผ่องยิ่ง
" งาม งาม งามมาก สตรีภูธรานี่งามกันทุกคนรึเปล่านะ "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงยิ้มให้แก่มาหยารัศมีอย่างกรุ้มกริ่ม
- - - - - - - - -
กลางดึก ภายในค่ายพักของกองทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น พลันปรากฏร่างอ้อนแอ้นอรชรนางหนึ่งหลบเลี่ยงแสงไฟลัดเลาะไปตามกระโจมที่พักต่างๆจนกระทั่งถึงกระโจมแห่งหนึ่งซึ่งมีแสงไฟวอมแวมอยู่เรืองๆ
ร่างอ้อนแอ้นนั้นผลุบเข้าไปในกระโจมอย่างว่องไวยิ่ง ภายในนั้น นางมาหยารัศมีกำลังหลับใหลอยู่อย่างสบายโดยไม่ทันได้รู้เลยว่ามีผู้หนึ่งแอบบุกรุกเข้ามา ผู้บุกรุกเผยผ้าคลุมสีดำออก
พลันปรากฏความจริงว่าร่างนั้นคือพระนางสุบินสวรรค์นั่นเอง พระนางทรงพระดำเนินไปยังร่างมาหยารัศมีพลางทรุดพระวรกายลงเคยงข้าง ทรงเผยพระสรวลออกมาคราหนึ่งจึงดำริในพระทัยว่า
..... งดงามจริงๆ หญิงใดในหล้าก็หาเทียมทัน เช่นนี้ เห็นทีเราจำต้องเชยชมให้สมอุราสักครา.....
ดำริพลางทรงยื่นพระหัตถาไปสัมผัสไหล่อันงามงดของมาหยารัศมีในทันที มาหยารัศมีรู้สึกตัวพลันหันขวับมา นางแลเห็นพระนางสุบินสวรรค์อย่เบื้องหน้าก็ตกใจเหลือประมาณ
" อ๊ะ !! พระนางเจ้า "
" เป็นของข้าเสียเถอะนะ "
จบคำพระนางทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปกระชากผ้าห่มของนางมาหยารัศมีออกอย่างแรง ทุกสิ่งเผยให้ทรงประจักษ์
" อ๊ะ... อย่า อย่าเพคะ "
มาหยารัศมีดิ้นรนสุดฤทธิ์ แต่สุดจะต้านทานกำลังอันแข็งแกร่งของพระนางสุบินสวรรค์ได้ ในที่สุด โคมประทีปก็ดับวูบลง
- - - - - - - - -
รุ่งสาง กองทัพอันมโหฬารของเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้นก็เริ่มเคลื่อนพล เหล่าจามรียาร้องอู้อี้ไปทั่ว พระนางสุบินสวรรค์และพระนางศรีตะกุมะลากาทรงชุดออกศึกทั้งสองพระองค์
จะติกะวะนาจิกระทำพิธีตัดไม้ข่มนาม ครั้นเสร็จพิธี เหล่าทหารหญิงทั้งมวลต่างร้องไชโยเป็นการเอาชัยให้ฤกษ์เพื่อให้ทำศึกชนะในครั้งกระนี้
- - - - - - - - -
ลุล่วงเข้าสู่มัชฌันติกสมัยอันเป็นเพลาที่พะคัมด์ประเทศจะเคลื่อนทัพมุ่งสู่กรุงอนันตา ขอบเขตอาณาจักรพะคัมด์ล้วนถูกฉาบไปด้วยแสงสุริยาทอรัศมีแจ่มจรัส ปวงประชาชื่นสุขเป็นที่ยิ่งในโอกาสที่จะได้อนันตามาไว้ในครอบครองในครั้งนี้
ผู้ที่ออกจะดีใจอย่างมากที่สุดเห็นจะได้แก่พระเจ้าเตวู มหาราชพะคัมด์ ทรงมีพระบรมราชโองการให้จัดทัพรี้พลมหาศาลอย่างที่ไม่เคยตระเตรียมมาก่อน การทำศึกในครั้งนี้จะประมาทมิได้ ด้วยเหตุฉะนั้น พระองค์จึงทรงวางแผนการณ์ให้ห้าขันทีพลีสวาทมาเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ในการนี้ โดยเฉพาะ
พระองค์ทรงมั่นพระราชกฤทัยเป็นที่ยิ่งว่าจะทรงกระทำศึกสำเร็จและนำชัยชนะมาสู่อาณาจักรพะคัมด์ได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าจะถูกทัดทานจากโหราธิบดีผู้ทรงคุณวุฒิ วัยวุฒิแล้วก็ตาม
พระเจ้าเตวูทรงประทับยืนทอดพระเนตรไพร่พลนับแสนของพระองค์อยู่บนกำแพงเมือง กองทัพของพระองค์มีมากมายมหาศาลจริงๆ แลไปทางไหนก็เห็นแต่ช้าง ม้า วัว ควาย แพร่กระจายกันจนเกลื่อนกลาด สำหรับวัวนั้น ก็มีไว้เพื่อจะได้รีดน้ำนมไว้ดื่มกินระหว่างทาง ส่วนควายนั้นก็สำหรับลากเกวียนบรรทุกสัมภาระ
" การทุกสิ่งพร้อมสรรพหมดสิ้นแล้วเพฮะ "
หนีรู หนึ่งในห้าขันทีพลีสวาทกราบทูลขึ้น
" ข้าขอสาบานต่อองค์เทวาแห่งพะคัมด์ประเทศว่าตะตีอนันตาให้จงได้ หากแม้นไม่สมดังลั่นวาจา ข้าจะขอพลีชีวาอยู่ที่นั่นนับจนวันสิ้นโลก "
ตรัสจบ ถูไถก็กราบทูลถาม
" เช่นนั้นแล้วเหล่าไพร่พลยุทธนาที่ติดตามพระองค์ไปจะทำเช่นไรกันเล่า "
จบคำ พระเจ้าเตวูทรงหันมาพลางตรัสตอบ
" เบาปัญญานัก จะยากเย็นเข็นใจอันใดมี ข้าก็จะประหารไพร่พลของข้าให้หมดสิ้นทั้งอินทรีย์นะซีจ๊ะ "
เหล่าห้าขันทีตะลึงงันในพริบตา ไซ้เนินร้องออกมาว่า
" เช่นนั้นอย่าช้าไย รีบออกเดินทางจะดีกว่า ชักช้าไปกว่านี้อาจเสียชนม์กันหมดสิ้น "
" ดี... เช่นนั้น สั่งให้เคลื่อนสรรพสิ่ง "
ทรงมีพระสุรสีหนาทลั่น เหล่าขันทีต่างสืบต่อพระราชโองการเป็นทอดๆไป
" เคลื่อนพลได้ "
หนีรูหันไปสั่งถูไถ
" เคลื่อนพลได้ "
ถูไถหันไปสั่งไซ้เนิน
" เคลื่อนพลได้ "
ไซ้เนินหันไปสั่งเพลินพวง
" เคลื่อนพลได้ "
เพลินพวงหันไปสั่งหวงหลัง
" เคลื่อนพลได้ "
หวงหลังหันไปตะโกนจนลั่นทั้งกองทัพ
มโหรีหรีไปเที่ยวที่ไหนไม่รู้ได้ เหล่าขันทีทั้งห้าจึงต้องมาบรรเลงพิณ เพลงสิ้นเยื่อขาดใยตัดใจสู้ศึกคึกคะนองลำพองทรวงหวงชีวาวาตม์ ท่วงทำนองแสดงถึงความฮึกเหิมอาจหาญในการสงคราม
โอ้เอย ครานี้ จะถึงกาลวิบัติแห่งอนันตามหานครแล้วกระนั้นหรือ จะทำเช่นไรกันดีนี่หนอ
- - - - - - - - -
กองทัพนาวาพยุหยาตราทางชลมารคของเจ้าฟ้ามูรตีและพระนางแก้วกานดาพระสนมเอก กำลังเคลื่อนมาตามลำน้ำสายเล็กๆอย่างช้าๆ จนกระทั่งออกสู่ลำน้ำสายใหม่ซึ่งกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
" ขอเดชะใต้ฝ่าละออกธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ณ บัดนี้ ขบวนพยุหยาตราเคลื่อนเข้าสู่ลำน้ำสุทธาราริณีโยคแล้วพระพุทธเจ้าข้า "
มหาอำมาตย์เอกทูลขึ้น
" มุ่งต่อไปอย่าได้ชักช้า "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงมีรับสั่ง
" ช้าก่อนอำมาตย์เอก "
พระนางแก้วกานดาทรงลั่นพระสุรเสียงแหลม ซึ่งเหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลต่างหันมามององค์เป็นที่หมายเดียวกัน
" ประสงค์สิ่งใดไยไม่แถลงให้แจ่ม "
เจ้าฟ้ามูรตีตรัสเสียงเข้มขึง
" เฉลยพระนัยเนตรดูสิเพคะ ภูมิประเทศงามงดเช่นนี้แล มิไยพวกเราไม่หยุดพักผ่อนให้คลายเพลียสรรพางค์ ดูสิ ฝูงมัจฉาแหวกว่ายเป็นสายเทียว "
พระนางทูลขึ้น
" ถวิลประเสริฐเลิศนัก อุโฆษไปซิ ว่าเราจะหยุดพักผ่อนวรร่างสรรพางค์สักชั่วประเดี๋ยว "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงยิ้มแย้ม
ด้วยประการฉะนี้ ขบวนเรืออันมหึมาจึงจอดเข้าเทียบฝั่งลำน้ำทั้งสองข้าง เหล่ามหาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร และทหารหาญนับแสนต่างกรูกันเข้าป่าเพื่อหาที่ปลดทุกข์แล้วจึงมาเล่นสนุกธารากันจนเป็นที่ปรีดดายิ่ง
พระสนมเอกแก้วกานดาและเหล่านางกำนัลร้อยบุปผาจำนวนสองร้อยคนกำลังสราญอยู่กับการจับมัจฉา โดยพระนางทรงถลกพระภูษาขึ้นแลทรงตวัดพระสไบรวบไว้รอบพระศอแลดูรัดกุมยิ่งนัก ทรงลุยลงวารีไปพลางวิ่งไล่มัจฉาหลากหลายสีที่ว่ายแหวกอยู่
เสียงสายชลแตกกระเซ็นสลับเคลอเคล้ากับเสียงหวีดร้องก้องของบรรดาอิสตรีชาวอนันตาชี้ชวนให้เหล่าบุรุษชาติอาชาไนยลอบมองอย่างสุขสม เจ้าฟ้ามูรตีทรงแลอยู่นานแล้วก่อนจะทรงพระดำเนินอาดๆมุ่งมาด้วยพระทัยขุ่นขัดก่อนตรัสบริภาษไป
" ดูก่อนนางแก้วกานดา "
" เหล่านางกำนัลร้อยบุปผาด้วนนะเพคะ "
นางกำนัลสองร้อยนางหันมาทูลพร้อมกัน
" เจ้ากำลังทำให้วารีสุทธาราริณีโยคอันศักดิ์สิทธิ์นั้นขุ่นขัด "
ทรงมีพระดำรัสไป หากแต่พระนางแก้วกานดากลับทรงแย้มพระสรวลหลอกล่อเจ้าฟ้ามูรตีพลางต่อวจีเร้น
" หามิได้เพคะท่านเจ้า หม่อมฉันประสงค์จะจับมัจฉาใบไม้ แต่กลับได้ปลาบาทา "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงกัดพระทนต์กรอดๆก่อนทรงค้อนขวับอย่างคมเข้ม
" อกับบิยโวหารช่างหยาบคายเฉกเช่นพี่ชายเจ้าก็ไม่ปาน "
ประเดี๋ยวกระนั้นเอง มหาอำมาตย์เอกบทจรเข้ามากราบถวายบังคม
" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม บัดนี้ ข่าวมาถึงพระกรรณแล้วพระพุทธเจ้าข้า "
" ว่ามาได้กระไรเลย อำมาตย์เรา "
" ขอเดชะ กองทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้นของนางไพร่ผู้มีหทัยปองบัลลังก์กำลังบุกเข้าโจมตีละวิรัฐพระพุทธเจ้าข้า "
มโหรีบนเรือกระหึ่มเพลงโธรนสะเทือน พระนางแก้วกานดา เจ้าฟ้ามูรตี มหาอำมาตย์ และเจ้าฟ้ามูรตีอีกครั้ง ร่วมครวญเพลงเป็นลำดับไป
" โอ้เชษฐาในหทัย "
" มิไยเจ้าเข้าข้างพี่ "
" เพราะหวังดีต่อสายเลือด "
" เป็นเดือด เป็นเดือด จงจัดทัพในทันใด "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงครวญจบ พระนางแก้วกานดาทรงหันมาทางนางกำนัลทั้งสองร้อย จึงมีพระพจนา
" ไปกันเถอะจ้ะ นางกำนัล ปล่อยมัจฉาที่เจ้าจับเสีย "
กองทัพนาวาของเจ้าฟ้ามูรตีเคลื่อนกระบวนออกจากริมตลิ่งสุทธาราริณีโยคมุ่งสู่กรุงละวิรัฐราชธานีในทันควัน ทรงหมายจะตีกรุงละวิรัฐเพื่อเอาชัยให้ได้ในครานี้ เนื่องเพราะพระสนมเอกแก้วกานดาทรงเห็นพระเชษฐาดีกว่าพระสวามี
เหล่าปี่พาทย์ต่างพายเรือไปร้องกาพย์เห่เรือไป จบแล้วต่อด้วยกาพย์เห่เครื่องภัตตาหารเทวดาประทานมา เพราะเป็นเพลาพระกระยาหารเย็นพอดี
* * * * * * * * *
จบบทที่ 21 โปรดติดตามต่อบทที่ 22
เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 21
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://ppantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://ppantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://ppantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://ppantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://ppantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://ppantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://ppantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://ppantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://ppantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://ppantip.com/topic/31110852
บทที่ 13 http://ppantip.com/topic/31119767
บทที่ 14 http://ppantip.com/topic/31145208
บทที่ 15 http://ppantip.com/topic/31153998
บทที่ 16 http://ppantip.com/topic/31158597
บทที่ 17 http://ppantip.com/topic/31162220
บทที่ 18 http://ppantip.com/topic/31167403
บทที่ 19 http://ppantip.com/topic/31171824
บทที่ 20 http://ppantip.com/topic/31176304
*****************
บทที่ 21
กองทัพอิสตรีของสองกษัตรีย์นารีแห่งเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น
ภายในพลับพลาที่ประทับ พระนางสุบินสวรรค์ทรงผุดขึ้นด้วยพิโรธ
" บังอาจกล้าฉีกสไบชาวเถมรูเรา หมิ่นเกียรติเกินไป "
พระนางศรีตะกุมะลากา ภายหลังจากที่ทรงเช็ดพระอัสสุชลที่ไหลนองแล้ว ทรงเชิดพระพักตร์รับสั่ง
" เราตัดหทัยได้แล้ว จะบุกละวิรัฐก่อนอนันตา "
พระนางสุบินสวรรค์ดีพระทัยยิ่งพลางตรัสว่า
" ด้วยวิธีใดฤา ? "
" ด้วยวิธีภูธรา "
" เช่นไร ? "
" ทัพจามรียา "
" วิเศษแท้ ทัพนี้เถมรูมิคยสดับ แล้วจามรียาเล่า "
" หาหวั่นไม่ "
จบมธุรสวาจา ทรงชูซึงทองหางจามรียาขึ้นสู่ฟ้า และด้วยมนตราแห่ง องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ จามรียาหนึ่งล้านเก้าแสนตัวก็ปรากฏขึ้น แต่เนื่องจากจามรียามิคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมป่าเขา จึงพากันร้องขวักไขว่ บ้างก็วิ่งไปวิ่งมา เหล่าสตรีเถมรูและภูธราต่างวิ่งไล่จับกันจนเหน็ดเหนื่อยเป็นที่สุด
พิณพาทย์บรรเลงเพลงเถมรูตื่นสองชั้น เป็นการแสดงถึงความสนุกสนานเบิกบาน
พระนางสุบินสวรรค์ทรงตื่นตากับจามรียาเป็นอันมาก ทรงพิศดูชาวภูธราขึ้นขี่จามรียา ชาวสตรีภูธรานั้นเคยชินกับจามรียายิ่ง แต่สตรีเถมรูมิเคยพานพบมาก่อน บ้างจึงหยอกล้อเล่นกับจามรียา บ้างกระซิกระริกระรี้ด้วย และบ้างก็หลงรักจามรียาจนถอนกายาไม่ขึ้น
จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัยแปดสิบชันษาค่อยๆขยับกามาใกล้พระนางสุบินสวรรค์พลางกราบทูล
" ชักช้าไม่ได้นะเพคะ "
" เหรอ... เอาสิ ถ้าเช่นนั้นในวันรุ่งเราจะเดินทัพ รึว่าไงจ๊ะศรีตะกุมะลากา "
" ดีจ้ะ "
" แต่เอ... แล้วเภตราทองคำที่ท่านนำมาด้วยเล่า จะเอาไปไว้ที่ใดดี ขืนปล่อยเอาไว้เช่นนี้คงสูญหายเป็นแน่แท้ "
" แท้เทียว... แต่... หาห่วงอันใด จำเราจะให้มาหยารัศมีแลพรรคพวกคอยดูแลปัดเป่าจนกว่าเราจะกลับ "
ตรัสจบทรงผินพระพักตร์ไปยังสตรีผู้หนึ่งซึ่งหมอบราบอยู่กับสตรีอีกสามคน
" เงยหน้าขึ้นสิ มาหยารัศมี "
รับสั่งจบ หญิงสาวผู้อยู่หน้าสุดเงยหน้าขึ้น แลเห็นใบหน้างดงามผุดผ่องยิ่ง
" งาม งาม งามมาก สตรีภูธรานี่งามกันทุกคนรึเปล่านะ "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงยิ้มให้แก่มาหยารัศมีอย่างกรุ้มกริ่ม
- - - - - - - - -
กลางดึก ภายในค่ายพักของกองทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น พลันปรากฏร่างอ้อนแอ้นอรชรนางหนึ่งหลบเลี่ยงแสงไฟลัดเลาะไปตามกระโจมที่พักต่างๆจนกระทั่งถึงกระโจมแห่งหนึ่งซึ่งมีแสงไฟวอมแวมอยู่เรืองๆ
ร่างอ้อนแอ้นนั้นผลุบเข้าไปในกระโจมอย่างว่องไวยิ่ง ภายในนั้น นางมาหยารัศมีกำลังหลับใหลอยู่อย่างสบายโดยไม่ทันได้รู้เลยว่ามีผู้หนึ่งแอบบุกรุกเข้ามา ผู้บุกรุกเผยผ้าคลุมสีดำออก
พลันปรากฏความจริงว่าร่างนั้นคือพระนางสุบินสวรรค์นั่นเอง พระนางทรงพระดำเนินไปยังร่างมาหยารัศมีพลางทรุดพระวรกายลงเคยงข้าง ทรงเผยพระสรวลออกมาคราหนึ่งจึงดำริในพระทัยว่า
..... งดงามจริงๆ หญิงใดในหล้าก็หาเทียมทัน เช่นนี้ เห็นทีเราจำต้องเชยชมให้สมอุราสักครา.....
ดำริพลางทรงยื่นพระหัตถาไปสัมผัสไหล่อันงามงดของมาหยารัศมีในทันที มาหยารัศมีรู้สึกตัวพลันหันขวับมา นางแลเห็นพระนางสุบินสวรรค์อย่เบื้องหน้าก็ตกใจเหลือประมาณ
" อ๊ะ !! พระนางเจ้า "
" เป็นของข้าเสียเถอะนะ "
จบคำพระนางทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปกระชากผ้าห่มของนางมาหยารัศมีออกอย่างแรง ทุกสิ่งเผยให้ทรงประจักษ์
" อ๊ะ... อย่า อย่าเพคะ "
มาหยารัศมีดิ้นรนสุดฤทธิ์ แต่สุดจะต้านทานกำลังอันแข็งแกร่งของพระนางสุบินสวรรค์ได้ ในที่สุด โคมประทีปก็ดับวูบลง
- - - - - - - - -
รุ่งสาง กองทัพอันมโหฬารของเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้นก็เริ่มเคลื่อนพล เหล่าจามรียาร้องอู้อี้ไปทั่ว พระนางสุบินสวรรค์และพระนางศรีตะกุมะลากาทรงชุดออกศึกทั้งสองพระองค์
จะติกะวะนาจิกระทำพิธีตัดไม้ข่มนาม ครั้นเสร็จพิธี เหล่าทหารหญิงทั้งมวลต่างร้องไชโยเป็นการเอาชัยให้ฤกษ์เพื่อให้ทำศึกชนะในครั้งกระนี้
- - - - - - - - -
ลุล่วงเข้าสู่มัชฌันติกสมัยอันเป็นเพลาที่พะคัมด์ประเทศจะเคลื่อนทัพมุ่งสู่กรุงอนันตา ขอบเขตอาณาจักรพะคัมด์ล้วนถูกฉาบไปด้วยแสงสุริยาทอรัศมีแจ่มจรัส ปวงประชาชื่นสุขเป็นที่ยิ่งในโอกาสที่จะได้อนันตามาไว้ในครอบครองในครั้งนี้
ผู้ที่ออกจะดีใจอย่างมากที่สุดเห็นจะได้แก่พระเจ้าเตวู มหาราชพะคัมด์ ทรงมีพระบรมราชโองการให้จัดทัพรี้พลมหาศาลอย่างที่ไม่เคยตระเตรียมมาก่อน การทำศึกในครั้งนี้จะประมาทมิได้ ด้วยเหตุฉะนั้น พระองค์จึงทรงวางแผนการณ์ให้ห้าขันทีพลีสวาทมาเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ในการนี้ โดยเฉพาะ
พระองค์ทรงมั่นพระราชกฤทัยเป็นที่ยิ่งว่าจะทรงกระทำศึกสำเร็จและนำชัยชนะมาสู่อาณาจักรพะคัมด์ได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าจะถูกทัดทานจากโหราธิบดีผู้ทรงคุณวุฒิ วัยวุฒิแล้วก็ตาม
พระเจ้าเตวูทรงประทับยืนทอดพระเนตรไพร่พลนับแสนของพระองค์อยู่บนกำแพงเมือง กองทัพของพระองค์มีมากมายมหาศาลจริงๆ แลไปทางไหนก็เห็นแต่ช้าง ม้า วัว ควาย แพร่กระจายกันจนเกลื่อนกลาด สำหรับวัวนั้น ก็มีไว้เพื่อจะได้รีดน้ำนมไว้ดื่มกินระหว่างทาง ส่วนควายนั้นก็สำหรับลากเกวียนบรรทุกสัมภาระ
" การทุกสิ่งพร้อมสรรพหมดสิ้นแล้วเพฮะ "
หนีรู หนึ่งในห้าขันทีพลีสวาทกราบทูลขึ้น
" ข้าขอสาบานต่อองค์เทวาแห่งพะคัมด์ประเทศว่าตะตีอนันตาให้จงได้ หากแม้นไม่สมดังลั่นวาจา ข้าจะขอพลีชีวาอยู่ที่นั่นนับจนวันสิ้นโลก "
ตรัสจบ ถูไถก็กราบทูลถาม
" เช่นนั้นแล้วเหล่าไพร่พลยุทธนาที่ติดตามพระองค์ไปจะทำเช่นไรกันเล่า "
จบคำ พระเจ้าเตวูทรงหันมาพลางตรัสตอบ
" เบาปัญญานัก จะยากเย็นเข็นใจอันใดมี ข้าก็จะประหารไพร่พลของข้าให้หมดสิ้นทั้งอินทรีย์นะซีจ๊ะ "
เหล่าห้าขันทีตะลึงงันในพริบตา ไซ้เนินร้องออกมาว่า
" เช่นนั้นอย่าช้าไย รีบออกเดินทางจะดีกว่า ชักช้าไปกว่านี้อาจเสียชนม์กันหมดสิ้น "
" ดี... เช่นนั้น สั่งให้เคลื่อนสรรพสิ่ง "
ทรงมีพระสุรสีหนาทลั่น เหล่าขันทีต่างสืบต่อพระราชโองการเป็นทอดๆไป
" เคลื่อนพลได้ "
หนีรูหันไปสั่งถูไถ
" เคลื่อนพลได้ "
ถูไถหันไปสั่งไซ้เนิน
" เคลื่อนพลได้ "
ไซ้เนินหันไปสั่งเพลินพวง
" เคลื่อนพลได้ "
เพลินพวงหันไปสั่งหวงหลัง
" เคลื่อนพลได้ "
หวงหลังหันไปตะโกนจนลั่นทั้งกองทัพ
มโหรีหรีไปเที่ยวที่ไหนไม่รู้ได้ เหล่าขันทีทั้งห้าจึงต้องมาบรรเลงพิณ เพลงสิ้นเยื่อขาดใยตัดใจสู้ศึกคึกคะนองลำพองทรวงหวงชีวาวาตม์ ท่วงทำนองแสดงถึงความฮึกเหิมอาจหาญในการสงคราม
โอ้เอย ครานี้ จะถึงกาลวิบัติแห่งอนันตามหานครแล้วกระนั้นหรือ จะทำเช่นไรกันดีนี่หนอ
- - - - - - - - -
กองทัพนาวาพยุหยาตราทางชลมารคของเจ้าฟ้ามูรตีและพระนางแก้วกานดาพระสนมเอก กำลังเคลื่อนมาตามลำน้ำสายเล็กๆอย่างช้าๆ จนกระทั่งออกสู่ลำน้ำสายใหม่ซึ่งกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
" ขอเดชะใต้ฝ่าละออกธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ณ บัดนี้ ขบวนพยุหยาตราเคลื่อนเข้าสู่ลำน้ำสุทธาราริณีโยคแล้วพระพุทธเจ้าข้า "
มหาอำมาตย์เอกทูลขึ้น
" มุ่งต่อไปอย่าได้ชักช้า "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงมีรับสั่ง
" ช้าก่อนอำมาตย์เอก "
พระนางแก้วกานดาทรงลั่นพระสุรเสียงแหลม ซึ่งเหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลต่างหันมามององค์เป็นที่หมายเดียวกัน
" ประสงค์สิ่งใดไยไม่แถลงให้แจ่ม "
เจ้าฟ้ามูรตีตรัสเสียงเข้มขึง
" เฉลยพระนัยเนตรดูสิเพคะ ภูมิประเทศงามงดเช่นนี้แล มิไยพวกเราไม่หยุดพักผ่อนให้คลายเพลียสรรพางค์ ดูสิ ฝูงมัจฉาแหวกว่ายเป็นสายเทียว "
พระนางทูลขึ้น
" ถวิลประเสริฐเลิศนัก อุโฆษไปซิ ว่าเราจะหยุดพักผ่อนวรร่างสรรพางค์สักชั่วประเดี๋ยว "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงยิ้มแย้ม
ด้วยประการฉะนี้ ขบวนเรืออันมหึมาจึงจอดเข้าเทียบฝั่งลำน้ำทั้งสองข้าง เหล่ามหาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร และทหารหาญนับแสนต่างกรูกันเข้าป่าเพื่อหาที่ปลดทุกข์แล้วจึงมาเล่นสนุกธารากันจนเป็นที่ปรีดดายิ่ง
พระสนมเอกแก้วกานดาและเหล่านางกำนัลร้อยบุปผาจำนวนสองร้อยคนกำลังสราญอยู่กับการจับมัจฉา โดยพระนางทรงถลกพระภูษาขึ้นแลทรงตวัดพระสไบรวบไว้รอบพระศอแลดูรัดกุมยิ่งนัก ทรงลุยลงวารีไปพลางวิ่งไล่มัจฉาหลากหลายสีที่ว่ายแหวกอยู่
เสียงสายชลแตกกระเซ็นสลับเคลอเคล้ากับเสียงหวีดร้องก้องของบรรดาอิสตรีชาวอนันตาชี้ชวนให้เหล่าบุรุษชาติอาชาไนยลอบมองอย่างสุขสม เจ้าฟ้ามูรตีทรงแลอยู่นานแล้วก่อนจะทรงพระดำเนินอาดๆมุ่งมาด้วยพระทัยขุ่นขัดก่อนตรัสบริภาษไป
" ดูก่อนนางแก้วกานดา "
" เหล่านางกำนัลร้อยบุปผาด้วนนะเพคะ "
นางกำนัลสองร้อยนางหันมาทูลพร้อมกัน
" เจ้ากำลังทำให้วารีสุทธาราริณีโยคอันศักดิ์สิทธิ์นั้นขุ่นขัด "
ทรงมีพระดำรัสไป หากแต่พระนางแก้วกานดากลับทรงแย้มพระสรวลหลอกล่อเจ้าฟ้ามูรตีพลางต่อวจีเร้น
" หามิได้เพคะท่านเจ้า หม่อมฉันประสงค์จะจับมัจฉาใบไม้ แต่กลับได้ปลาบาทา "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงกัดพระทนต์กรอดๆก่อนทรงค้อนขวับอย่างคมเข้ม
" อกับบิยโวหารช่างหยาบคายเฉกเช่นพี่ชายเจ้าก็ไม่ปาน "
ประเดี๋ยวกระนั้นเอง มหาอำมาตย์เอกบทจรเข้ามากราบถวายบังคม
" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม บัดนี้ ข่าวมาถึงพระกรรณแล้วพระพุทธเจ้าข้า "
" ว่ามาได้กระไรเลย อำมาตย์เรา "
" ขอเดชะ กองทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้นของนางไพร่ผู้มีหทัยปองบัลลังก์กำลังบุกเข้าโจมตีละวิรัฐพระพุทธเจ้าข้า "
มโหรีบนเรือกระหึ่มเพลงโธรนสะเทือน พระนางแก้วกานดา เจ้าฟ้ามูรตี มหาอำมาตย์ และเจ้าฟ้ามูรตีอีกครั้ง ร่วมครวญเพลงเป็นลำดับไป
" โอ้เชษฐาในหทัย "
" มิไยเจ้าเข้าข้างพี่ "
" เพราะหวังดีต่อสายเลือด "
" เป็นเดือด เป็นเดือด จงจัดทัพในทันใด "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงครวญจบ พระนางแก้วกานดาทรงหันมาทางนางกำนัลทั้งสองร้อย จึงมีพระพจนา
" ไปกันเถอะจ้ะ นางกำนัล ปล่อยมัจฉาที่เจ้าจับเสีย "
กองทัพนาวาของเจ้าฟ้ามูรตีเคลื่อนกระบวนออกจากริมตลิ่งสุทธาราริณีโยคมุ่งสู่กรุงละวิรัฐราชธานีในทันควัน ทรงหมายจะตีกรุงละวิรัฐเพื่อเอาชัยให้ได้ในครานี้ เนื่องเพราะพระสนมเอกแก้วกานดาทรงเห็นพระเชษฐาดีกว่าพระสวามี
เหล่าปี่พาทย์ต่างพายเรือไปร้องกาพย์เห่เรือไป จบแล้วต่อด้วยกาพย์เห่เครื่องภัตตาหารเทวดาประทานมา เพราะเป็นเพลาพระกระยาหารเย็นพอดี
* * * * * * * * *
จบบทที่ 21 โปรดติดตามต่อบทที่ 22