สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
มันอยู่ที่คน และวัฒนธรรมพื้นบ้านครับ
ผมเป็นคนไต้ครับ ขอพูดถึงภาคตัวเองแบบที่ผมเข้าใจนะครับ (บ้านเกิดผมอยู่ชุมพร แต่ชีวิตผมเดินหางไปอยู่หลายภาคครับ)
โดยพื้นเพคนทางไต้ถ้าดูเผินๆ จะเป็นคนที่เหมือนอยู่ใครอยู่มัน เพราะลักษณะของการสร้างบ้านจะสร้างอันอยู่บ้านใครบ้านมัน สวนใครสวนมัน บ้านแต่ละหลัง อยู่ห่างกันมาก ไม่ค่อยมีใครตั้งบ้านอยู่ไกล้กัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนทางไต้ นิยมความเป็นส่วนตัวครับ แล้ววัฒนธรรมบางอย่างก็ค่อนข้างปิดอยู่ในครัวเรือน อย่างเช่นตอนสมัยเด็กๆ ผมยังเห็นแนวความคิดเรื่องการแบ่งแยกฐานะในบ้านอยู่ อย่างเช่นการทำกับข้าวก็ต้องจัดสำรับให้กับคนเป็นพ่อกินก่อน ลูกๆจะไม่เล่นกับพ่อแบบเพื่อนเล่น แต่ให้ความเคารพพ่อเหมือนเป็นเจ้านายคนหนึ่งที่มียศฐาสูงกว่า แต่รูปแบบการใช้ชีวิต หรือการวางตัวแบบนั้นก็เริ่มเสื่อมหายไปในช่วงที่ผมเป็ฯเด็กนั่นแหละครับ แต่ถ้าสืบย้อนกลับไปก็จะเจอรูปแบบๆนั้นอยู่
คนไต้จะสอนคนในครอบครัวถึงความซื่อสัตย์ค่อนข้างมาก และการไม่รบกวนผู้อื่น เช่นการไปนอนบ้านเพื่อน ทางไต้สมัยผมเป็นเด็ก (2534) ยังถือเป็ฯเรื่องที่เป็นการ"รบกวนบ้านคนอื่น" พ่อแม่จะตำหนิลูกหลานว่า "เราเป็นใคร ไปอยู่กินบ้านคนอื่น" ด้วยเหตุผลของการที่บ้านคนแต่ละหลังมันอยู่ไกลกันมาก ไม่ได้สร้างหมู่บ้านหรือจับกลุ่มอยู่กันกระจุกเป็นกลุ่มๆ จึงเกิดความรู้สึกว่า เราไม่รู้จักเขามากนัก จึงต้องเกรงใจคนอื่นเวลาไปอยู่บ้านคนอื่นไปโดยปริยายครับ ผมเองตอนเป็นเด็กก็รู้สึกเช่นนั้น รู้สึกว่าคนอื่นๆที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมันแปลกแยก เป็นคนแปลกหน้า ถึงขนาดว่า ถ้าคนแปลกหน้ามาบ้านหรือผ่านหน้าบ้าน ผมจะเกิดการตื่นตัวว่าเขาเป็นมิตหรือศัจตรู แต่โลกมันก็ค่อยๆแคบลงเมื่อเริ่มโตขึ้น มิตรภาพของการมีเพื่อนเกิดขึ้นเมื่อเราเริ่มโต ด้วยความที่ว่า คนที่เข้ากับเราได้มันหายาก คนไต้จึงใส่ใจเรื่องมิตรภาพที่ได้มาสูงครับ มันสูง เพราะมีบริบทที่มากันแบบนั้น มันเกิดขึ้นเองครับ เช่นเดียวกันกับเรื่องความรัก ด้วยการที่ว่า คนมันจะเจอกันมันค่อนข้างลำบาก พอได้มา จึงต้องดูแลกันไปนานๆ
แต่ โลกปัจจุบัญนี้แคบลงครับ ทุกคนที่เกิดมาต้องไปโรงเรียน การปิดกั้นตัวเองแบบคนที่มีอายุเกิน30ก็เปลี่ยนไป คนยุคใหม่เข้าถึงกันง่ายขึ้น อินเตอร์เน็ตทำให้เด็กรุ่นใหม่พยายามฉีกตัวเองออกมาจากวัฒนธรรมเดิมๆ เพราะคิดว่ามันดูแปลกแยกกว่าคนที่มีวัฒนธรรมเดิมๆ แล้วก็เกิดการเลียนแบบคนฮ๊อตในหมู่เพื่อนๆ รูปแบบจึงเปลี่ยนไปครับ ปัจจุบัญ คนไต้จะดูเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่คนไต้ก็ยังมีโลกส่วนตัวของครอบครัวนั้นๆอยู่มาก มาถึงตรงนี้ คนก็แยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือคนที่ยังอยู่ในบริบทของสังคมที่มีความสบายใจในอนาเขต และโลกของตัวเองที่ตัวเองถนัดอยู่ อีกส่วนหนึ่งก็คือ กลุ่มคนที่เข้ากับคนทั่วไปได้เยอะ
รสนิยมฟังเพลงของคนไต้จึงเป็นเพลงเพื่อชีวิตซ่ะมากกว่า
ส่วนภาคอื่นผมไม่ขอพาดพิงครับ น่ารักกันทุกภาคครับ แค่หัวใจเราเปิดรับการเป็นสิ่งที่เขาเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่าเท่านั้น แต่พวกถ่อยเถื่อนเมา แล้วไม่ห้ามใจ พูดโม้อะไรออกไปแล้วก็อยากโชว์เก๋าให้เพื่อนรู้สึกว่าตัวกรูนั้นเท่ มีอยู่ทุกที่ แค่ว่าที่ไหนจะลามปามได้มากกว่ากันแค่นั้นเอง ส่วนคนไต้ผมว่าเป็นคนเหงียมๆ มากกว่าจะโม้นะครับ แต่คนไต้ก็มีคนไต้แบบสังคมเมือง ลูกหลานชาวจีนอพยพ หรือปัจจุบัญ คนไต้แบบที่เป็นคนอีสานอพยบไปสร้างหมูบ้านอยู่ แล้วตั้งชื่อหมูบ้านเป็นชื่ออำเภอหรือจังหวัดที่เขาอพยพกันมาก็มีไม่น้อย (เช่นหมู่บ้านสันกำแพง หมูบ้านสารคาม หมูบ้านร้อยเอ็ด) แต่สุดท้ายลูกหลานพวกเขาก็ต้องเข้าไปเรียนในเมือง และเรียนรู้วัฒนธรรมหรือสังคมรอบข้างจนติดนิสัย หรือแนวคิดของสังคมส่วนมากกลับไปฝังเด็กๆเหล่านั้นให้มีแนวคิดแบบคนในพื้นที่นั้นๆครับ
ผมเป็นคนไต้ครับ ขอพูดถึงภาคตัวเองแบบที่ผมเข้าใจนะครับ (บ้านเกิดผมอยู่ชุมพร แต่ชีวิตผมเดินหางไปอยู่หลายภาคครับ)
โดยพื้นเพคนทางไต้ถ้าดูเผินๆ จะเป็นคนที่เหมือนอยู่ใครอยู่มัน เพราะลักษณะของการสร้างบ้านจะสร้างอันอยู่บ้านใครบ้านมัน สวนใครสวนมัน บ้านแต่ละหลัง อยู่ห่างกันมาก ไม่ค่อยมีใครตั้งบ้านอยู่ไกล้กัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนทางไต้ นิยมความเป็นส่วนตัวครับ แล้ววัฒนธรรมบางอย่างก็ค่อนข้างปิดอยู่ในครัวเรือน อย่างเช่นตอนสมัยเด็กๆ ผมยังเห็นแนวความคิดเรื่องการแบ่งแยกฐานะในบ้านอยู่ อย่างเช่นการทำกับข้าวก็ต้องจัดสำรับให้กับคนเป็นพ่อกินก่อน ลูกๆจะไม่เล่นกับพ่อแบบเพื่อนเล่น แต่ให้ความเคารพพ่อเหมือนเป็นเจ้านายคนหนึ่งที่มียศฐาสูงกว่า แต่รูปแบบการใช้ชีวิต หรือการวางตัวแบบนั้นก็เริ่มเสื่อมหายไปในช่วงที่ผมเป็ฯเด็กนั่นแหละครับ แต่ถ้าสืบย้อนกลับไปก็จะเจอรูปแบบๆนั้นอยู่
คนไต้จะสอนคนในครอบครัวถึงความซื่อสัตย์ค่อนข้างมาก และการไม่รบกวนผู้อื่น เช่นการไปนอนบ้านเพื่อน ทางไต้สมัยผมเป็นเด็ก (2534) ยังถือเป็ฯเรื่องที่เป็นการ"รบกวนบ้านคนอื่น" พ่อแม่จะตำหนิลูกหลานว่า "เราเป็นใคร ไปอยู่กินบ้านคนอื่น" ด้วยเหตุผลของการที่บ้านคนแต่ละหลังมันอยู่ไกลกันมาก ไม่ได้สร้างหมู่บ้านหรือจับกลุ่มอยู่กันกระจุกเป็นกลุ่มๆ จึงเกิดความรู้สึกว่า เราไม่รู้จักเขามากนัก จึงต้องเกรงใจคนอื่นเวลาไปอยู่บ้านคนอื่นไปโดยปริยายครับ ผมเองตอนเป็นเด็กก็รู้สึกเช่นนั้น รู้สึกว่าคนอื่นๆที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมันแปลกแยก เป็นคนแปลกหน้า ถึงขนาดว่า ถ้าคนแปลกหน้ามาบ้านหรือผ่านหน้าบ้าน ผมจะเกิดการตื่นตัวว่าเขาเป็นมิตหรือศัจตรู แต่โลกมันก็ค่อยๆแคบลงเมื่อเริ่มโตขึ้น มิตรภาพของการมีเพื่อนเกิดขึ้นเมื่อเราเริ่มโต ด้วยความที่ว่า คนที่เข้ากับเราได้มันหายาก คนไต้จึงใส่ใจเรื่องมิตรภาพที่ได้มาสูงครับ มันสูง เพราะมีบริบทที่มากันแบบนั้น มันเกิดขึ้นเองครับ เช่นเดียวกันกับเรื่องความรัก ด้วยการที่ว่า คนมันจะเจอกันมันค่อนข้างลำบาก พอได้มา จึงต้องดูแลกันไปนานๆ
แต่ โลกปัจจุบัญนี้แคบลงครับ ทุกคนที่เกิดมาต้องไปโรงเรียน การปิดกั้นตัวเองแบบคนที่มีอายุเกิน30ก็เปลี่ยนไป คนยุคใหม่เข้าถึงกันง่ายขึ้น อินเตอร์เน็ตทำให้เด็กรุ่นใหม่พยายามฉีกตัวเองออกมาจากวัฒนธรรมเดิมๆ เพราะคิดว่ามันดูแปลกแยกกว่าคนที่มีวัฒนธรรมเดิมๆ แล้วก็เกิดการเลียนแบบคนฮ๊อตในหมู่เพื่อนๆ รูปแบบจึงเปลี่ยนไปครับ ปัจจุบัญ คนไต้จะดูเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่คนไต้ก็ยังมีโลกส่วนตัวของครอบครัวนั้นๆอยู่มาก มาถึงตรงนี้ คนก็แยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือคนที่ยังอยู่ในบริบทของสังคมที่มีความสบายใจในอนาเขต และโลกของตัวเองที่ตัวเองถนัดอยู่ อีกส่วนหนึ่งก็คือ กลุ่มคนที่เข้ากับคนทั่วไปได้เยอะ
รสนิยมฟังเพลงของคนไต้จึงเป็นเพลงเพื่อชีวิตซ่ะมากกว่า
ส่วนภาคอื่นผมไม่ขอพาดพิงครับ น่ารักกันทุกภาคครับ แค่หัวใจเราเปิดรับการเป็นสิ่งที่เขาเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่าเท่านั้น แต่พวกถ่อยเถื่อนเมา แล้วไม่ห้ามใจ พูดโม้อะไรออกไปแล้วก็อยากโชว์เก๋าให้เพื่อนรู้สึกว่าตัวกรูนั้นเท่ มีอยู่ทุกที่ แค่ว่าที่ไหนจะลามปามได้มากกว่ากันแค่นั้นเอง ส่วนคนไต้ผมว่าเป็นคนเหงียมๆ มากกว่าจะโม้นะครับ แต่คนไต้ก็มีคนไต้แบบสังคมเมือง ลูกหลานชาวจีนอพยพ หรือปัจจุบัญ คนไต้แบบที่เป็นคนอีสานอพยบไปสร้างหมูบ้านอยู่ แล้วตั้งชื่อหมูบ้านเป็นชื่ออำเภอหรือจังหวัดที่เขาอพยพกันมาก็มีไม่น้อย (เช่นหมู่บ้านสันกำแพง หมูบ้านสารคาม หมูบ้านร้อยเอ็ด) แต่สุดท้ายลูกหลานพวกเขาก็ต้องเข้าไปเรียนในเมือง และเรียนรู้วัฒนธรรมหรือสังคมรอบข้างจนติดนิสัย หรือแนวคิดของสังคมส่วนมากกลับไปฝังเด็กๆเหล่านั้นให้มีแนวคิดแบบคนในพื้นที่นั้นๆครับ
แสดงความคิดเห็น
[ไม่เอามาม่า ขอสาระล้วนๆ] สงสัยครับ? ว่าด้วยค่านิยมบางอย่างของคนอีสานและคนใต้
- ใครจะมาการเมือง ควาย แมลงสาป เหลือง แดง สลิ่ม ปิดกระทู้นี้ไปเลยนะครับ ไม่เอาการเมือง ( ผมไม่ tag รดน. แล้ว กรุณาดูด้วย )
- ไม่มีเจตนาเหยียดภาคหรือเชื้อชาติ หรือจะเหมารวมนะครับ เป็นความสงสัยส่วนตัวล้วนๆ เพราะทั้งที่เจอและได้ยินมา ส่วนใหญ่ ( ย้ำนะใช้คำว่าส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทั้งหมด ) จะอยู่ในลักษณะแบบนี้ทั้งนั้นเลย
----------------------------------
http://ppantip.com/topic/31162258
เห็นกระทู้นี้ นึกได้ เลยขอตั้งเสียหน่อย
- ผมเจอคนอีสานหลายคน จะบ่นทำนองว่าไม่ค่อยมีเงินใช้ ต้องทำงานมากๆ อยู่ด้วย OT อยู่ด้วยงานพิเศษต่างๆ ไม่ใช่เพราะเขาไม่ขยันนะครับ ตรงกันข้ามคือขยันมากๆ ( เอาว่ามากกว่าคน กทม. อย่างผมแน่ๆ ) เรื่องสังสรรมีบ้างแต่ไม่บ่อยนัก
แต่ที่บ่นๆ กัน เพราะว่า "คน 1 คน ต้องเลี้ยงดูทางบ้านทั้งครอบครัว" ทั้งพ่อ แม่ น้อง ถ้าบ้านไหนโชคดี พ่อแม่เก็บหอมรอมริบหน่อยก็ดีไป แต่ถ้าไปเจอบางบ้านที่เอาไปกินเหล้า เล่นไพ่ หรือน้องไม่ค่อยตั้งใจเรียน หรือบางทีพ่อแม่ก็ทำหน้าใหญ่ ไปให้คนอื่นยืมต่อ อันนี้จะแย่มาก ( โดยเฉพาะพวกไปทำงาน ตปท. หรือว่ามีผัวฝรั่งจะโดนตรงนี้เยอะ เพราะทางบ้านชอบคิดว่าไปเมืองนอกหรือแต่งกับฝรั่งแล้วต้องรวย )
บางคนอยากเก็บเงินเรียนก็ไม่ได้เรียน ต้องส่งกลับบ้านไปเรื่อยๆ ( แล้วเมื่อไรตัวเองจะได้ลืมตาอ้าปาก ไม่ต้องเป็นแรงงานระดับล่างไปจนเลยวัยหนุ่มสาว? )
ผมไปถามผู้ใหญ่ คนอายุเยอะๆ หลายคน เขาก็บอกตรงกันว่าคนอีสานมีธรรมเนียมแบบนี้จริงๆ เป็นกันมานานแล้ว
อีกอย่าง แม้แต่อีสานด้วยกันก็ยังต่างกันอีก ผมมีรุ่นน้องคนนึง มันบอกว่าถ้าเป็นครอบครัวในเขตตัวอำเภอหรือตัวจังหวัด พ่อแม่จะยินดีส่งให้ลูกเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานด้วยซ้ำ แต่ถ้าไกลออกไปนอกเมือง อันนี้แหละตรงข้ามกันเลย ไม่อยากให้เรียนสูงๆ อยากให้ช่วยทำนาหรือไปทำงานโรงงานตั้งแต่เริ่มเป็นนาย , นางสาวมากกว่า ( หลายคนถึงกลัวมาก ตอนที่รัฐบาลจะยุบโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะกลัวพ่อแม่จะคิดว่าลูกเดินทางไกล ไม่มีคนช่วยงาน ก็จะไม่ให้เรียนต่อ )
-------------------------------
มาที่ภาคใต้บ้างนะครับ
ผมไม่ค่อยได้อยู่กับสังคมคนใต้เท่าไร แต่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าคนใต้เป็นพวกที่มีเล่ห์เหลี่ยมสูง ( หัวหมอ? ) แล้วก็เป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ใต้กรอบ - ระเบียบของทางการสักเท่าไร ตรงกันข้ามจะพยายามแ-กกฏอยู่ตลอด ทั้งด้วยวิธีการบนดิน คือการส่งลูกหลานไปเรียนในสาขานิติศาสตร์ - รัฐศาสตร์ ( จะได้หาช่องทางของกฏหมาย หรือไม่ก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการบัญญัติกฏหมายเสียเลย ผ่านการเล่นการเมือง ) และวิธีการใต้ดิน ( ถ้าสมัยนี้คงเป็นม็อบ แต่สมัยก่อนคงหมายถึงกลุ่มติดอาวุธต่างๆ เหมือนที่พูดกันว่า "ไม่รบนายไม่หายจน" )
ถ้าคนเชื้อสายจีนนิยมทำธุรกิจ คนใต้ก็จะนิยมรับราชการ - เล่นการเมือง ( อีกทีก็ประกอบอาชีพอิสระไปเลย เช่นขับแท็กซี่ หรือไม่ก็กลับไปทำสวนยางที่บ้าน ไม่ค่อยจะเห็นอยู่ในภาคโรงงานเท่าไรนัก )
แต่ก็เช่นเดียวกัน คนใต้น่าจะเป็นคนที่มีความเป็นพวกพ้องนิยมสูงที่สุดแล้ว ถึงขนาดมีคนบอกว่า..ถ้าคุณมีเพื่อนที่ไว้ใจได้เป็นคนใต้ นั่นไม่ใช่แค่คุณมีเพื่อนคนเดียว แต่คุณจะมีเพื่อนเพิ่มมาอีกนับสิบนับร้อยคน ( ขนาดนั้นเลยหรือ? )
------------------------------
สงสัยครับ? นิสัยเหล่านี้ของทั้งคนอีสานและคนใต้ ที่ถูกเล่าต่อๆ กันมา ( ผมฟังเรื่องพวกนี้ตั้งแต่ผมยังตัวเล็กๆ อะนะ ตอนนี้จะขึ้นเลข 3 แล้ว ) เป็นจริงแค่ไหน? แล้วอะไรที่เป็นการหล่อหลอมให้คนทั้ง 2 ภาค มีบุคลิกภาพตามที่กล่าวมานี้ครับ
ปล.ย้ำนะครับ ขอสาระ ไม่เอาการเมือง