ปกตินั้น ผมจะเข้ามาอ่านเวป Pantip แห่งนี้เป็นประจำ ยุ่งบ้าง ว่างบ้างก็อ่านกันตามแต่เวลาจะอำนวย
แต่วันนี้ต้องขออนุญาิตถอด Log-In ใน Pantip แห่งนี้มาเขียนประวัติคร่าวๆ ของตัวเอง เพื่อป้องกันปัญหาอื่นๆ ที่จะตามมา
เนื่อเรื่องอาจจะปรับแต่งบ้าง เพื่อไม่ให้กระทบกับข้อมูล ความลับของบริษัท ผู้ที่เกี่ยวข้องที่อาจจะพาดพิงถึงไปบ้างนะครับ แต่โดยรวมเนื้อหาคงไม่หนีจาก สาระที่จะแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านกัน แต่พูดตรงๆปัญหาที่สำคัญก็คือ การลด Ego ของตัวเองลง เพราะการเขียนประสบการณ์ย่อมีสองแง่มุมเสมอๆ เช่น อีกมุมนึงอาจจะเป็นประโยชน์ สร้างแรงบันดาลใจให้น้องๆจบใหม่ หางานทำ และอีกแง่มุมนึง คนก็จะมองว่า ไอ้นี่มันโม้ มันขี้อวด เอาเงินเดือนมาโชว์
เพื่อที่จะตัดปัญหานี้ เลยสมัครบัตรผ่าน ซึ่งไม่กี่ัวันก็จะหมดอายุลง และไม่สามารถสืบกลับตามไปได้ว่า ผมเป็นใคร ทำงานอะไร มีใครโดนพาดพิงบ้าง ประมาณนี้ลงนะครับ โปรดเข้าใจกันด้วย
เหตุที่อยากจะเขียนประสบการณ์ของตัวเองลงให้ท่านอื่นอ่านบ้าง ก็เนื่องจากว่า ช่วงนี้ชีวิตค่อนข้างขาดแรงบรรดาลใจในการทำงาน เนื่องจากว้า ด้วยสภาพของธุรกิจ ทีมงานที่มีอยู่ ทำให้ตัวผมเองนั้นค่อนข้างจะตกอยู่ในฐานะ ว่างงาน (แต่ยังกินเงินเดือนอยู่นะ) เพราะว่าทีมงานที่ดีๆที่เรามีนั้น สามารถทำงานแทนให้เราได้ทุกเรื่อง ซึ่งผมคิดว่าเป็นเพราะการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงการทำงานของตัวผมเองแบบหนึ่ง ด้วย ที่ทำให้พอมีเวลาว่างขึ้นมากจนถึงทุกวันนี้
วันที่วันๆนึงสบายกว่าแต่เก่า ปวดหัวน้อยกว่า (เพราะปัญหางานเล็กๆน้อยๆ มีลูกน้องที่ดี ช่วยเอาไปตัดสินใจและดำเนินการได้แทนเกือบทั้งหมด) เงินเดือนเพิ่มขึ้น ผลประกอบการดีขึ้น และที่สำคัญการเงินก็ดีขึ้นจนอยู่ในขั้นน่าพอใจ และใช้ชีวิตในแบบสบายๆกว่ามาตราฐานคนทำงานทั่วๆไป
ขอย้ำว่า ประสบการณ์ที่จะเล่า ไม่ใช่ต้องการมาเรียกเรทติ้ง ประมาณบ้านจน ไขว่ขว้าจนได้ดาวบนฟ้ามาครอง ถ้าใครอยากอ่านแบบนั้น ขอโทษครับ ต้องไปซื้อนิยายมาอ่านเอง และขอให้ข้ามกระทู้นี้ไปได้เลยนะครับผม
ขอเริ่มที่ประวัติส่วนตัวคร่าวๆก่อน ที่จะไปสู่การเป็นนักศุกษาฝึกงาน ในขั้นต้นที่จั่วหัว Topic ไว้ก่อนนะครับ
ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด (แน่ละ ไม่ได้เกิดกรุงเทพนี่) ที่อยู่ไกลจากกรุงเทพ พอสมควร ที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งพอมีฐานะปานกลาง (เกิดมาโชคดีมากครับ) เติบโตและเรียนที่ต่างจังหวัดมาตลอด ก็เป็นเด็กหัวดี แต่ไม่ขยัน (อันนี้ครูบอกนะ ไม่ได้หลงตัวเอง หึหึ) อาจจะเนื่องจากที่บ้านค่อนข้างจะพอมีพอกิน (ไม่รวยล้นฟ้าขนาดไม่ต้องทำงาน แต่ก็ไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงินเรื่องทองนะครับ) ก็เลยทำให้ค่อนข้างจะทำตัวเกเรนิดๆ
ไม่ค่อยสนใจเรียน เรียนเฉพาะวิชาที่ชอบ วิชาที่ไม่ชอบก็ประมาณว่า ถึงเวลาสอบ ผมออกห้องคนแรกเสมอ ทำไงน่ะเหรอ ก็เข้าไปไม่เปิดกระดาษคำถามเลย นั่งกาๆๆกระดาษคำตอบ แล้วก็วิ่งออกมาจากห้องสอบเลย
บางวิชาไม่สนใจก็นั่งคุยกันไปหลังห้อง อาจารย์ด่า ก็ไม่สน จนอาจารย์เฉยออกจากห้อง ยังจำได้ว่ามองหน้าอาจารย์แล้วก็ สบถไป 1 คำ ก่อนลุกออกจากห้องมาเลย ทุกวันนี้อาจารย์คนนี้ยังโกรธผมมากอยู่ ชนิดเจอหน้าไม่เผาผีกันเลย ส่วนผมนั้นสำนึกผิดแล้วนะครับ แต่ก็ไม่กล้าไปขอโทษแกหรอก ได้แต่เก็บเอาเป็นความรู้สึกไว้ในใจเท่านั้นเอง และเนื่องจากว่าเป็นคนนิสัยอย่างนี้แหละ อาจารย์ที่โรงเรียนก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากจะมายุ่งเท่าไหร่ จำได้ดีว่า ตอนที่เพื่อนในห้องทะเลาะกัน ต่อยตีกันตามประสาเด็กวัยรุ่น อาจารย์ฝ่ายปกครองรีบวิ่งมาหาผมเลย ว่าเธอไปมีเรื่องกับเค้าหรือเปล่า ครูนึกภาวนามาตลอดว่าอย่าเป็นเธอเลย เพราะครูกลัวจริงๆ (ไม่รู้แกกลัวอะไรผม ก็ไม่รู้เหมือนกัน) แต่ในความจริงแล้ว ผมไม่เคยจะไปมีเรื่องใครเลยนะ (เพราะเป็นคนกลัวเจ็บ หึหึ) ผมมองเสมอว่า การใช้กำลังไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่เชื่อไหม ปัญหาเนี่ยมันก็ชอบมาวิ่งชนเราเสมอ เพื่อนในกลุ่มไปทะเลาะกลุ่มโน่น แย่งผู้หญิงบ้าง และก็ไอ้ปัญหาเนี่ย เราก็จะไปใกล้ๆเฉียดๆมันอยู่ทุกครั้ง แต่ไม่เคยเข้าร่วมนะ ยืนดูเฉยๆ (ก็บอกแล้วว่ากลัวเจ็บ)
ในความรู้สึกตอนนั้น เราช่างเป็นนักปฏิวัติจริงๆ เป็นตัวของตัวเอง ความมั่นใจสูงมาก ฮ่ะๆ
มาย้อนกลับไปดูตอนนี้ ช่างเป็นการกระทำที่เด็กน้อยมากๆ อยากกลับไปกระโดดถีบตัวเองอยู่บ้าง แต่นั้นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรมากนะครับ แค่อยากปูพื้นเรื่องก่อนเฉยๆ
หลังจากนั้นก็เรียนหนังสือหนังหาไปเรื่อยๆ จนจบ ม.6 ครับ ด้วยความที่โชคดีตามที่ได้แจ้ง ไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน ก็เรียนพิเศษจนสอบ Entrance ได้ติด วิศวะที่มหาลัยของรัฐบาลแห่งหนึ่ง
แน่นอนว่า คำว่าเรียนวิศวะ เกือบทุกท่านคงจะนึกไปถึง วิศวะโยธา ที่สร้างตึก สร้างถนนหนทาง เป็นผู้คุมงาน ไปแนวๆโน้น ซึ่งก็แน่นอนผมก็ใฝ่ฝันอยากจะไปเป็นวิศวะโยธาแบบนั้นกับเค้าด้วย แต่ด้วยความโชคดี (ที่เอ็นท์ติด) ในความโชคร้าย (ปีนั้นเป็นปี 40-41 ซึ่งเป็นปีที่ฟองสบู่แตกพอดี) ทำให้โครงการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ทยอยปิดตัวลง พร้อมกับ NPL ก้อนโตที่เป็นเหมือนอุปสรรคของประเทศไทยในตอนนั้น
วิศกรโยธา ค่าตัวหลายหมื่นบาท ตกงานกันเป็นแถว สุดท้ายจำได้ว่า เพื่อนที่จบมาด้วยกันแต่เรียนสายโยธา ต้องยอมรับเงินเดือน 9000 บาท เพราะไม่มีงานทำจริงๆ
ซึ่งผมก็ได้เบนเข็มไปเรียนวิศวกรรม อีกสาขาหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างตึก สร้างอาคารอีก และด้วยความโชคดีในโชคร้ายนี้ ทำให้ชีวิตได้เบนเข็มจนต้องมานั่งทำงานใน Office แทนที่จะไปตากแดด ตากฝน เหมือนเพื่อนๆโยธาเค้า
เนื่องจากวิศวะเราพอจะจบปี 4 ก็ต้องมีการออกไปฝึกงานตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้จบ ด้วยความคิดโลดโผนของผม ทำให้ไปฝึกงานกับบริษัทผลิตจิวรี่แห่งนึง เข้าไปฝึกงานพร้อมเพื่อนนักศึกษาอีก 4 คน (เป็นวิศวะใน กทม ทั้งหมด) เราเป็นคนต่างจังหวัดอยู่คนเดียว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ การฝึกงานนั้นทำให้ผมรู้จักเครื่องมือการทำงานอย่างนึง ซึ่งคนกินเงินเดือนทั่วๆไปต้องมีคือ "การเอาใจเจ้านาย" หรือภาษาบ้านๆก็เรียกว่า การเลียเจ้านายนั้นแหละ หุหุ
บริษัทที่ผมไปทำนั้น เป็นการบริหารงานแบบครอบครัว มีเถ้าแก่ใหญ่ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโต ได้ส่งไม้ต่อให้ลูก 3 คนมานั่งบริหาร (เถ้าแก่เลิกทำงานไปเลยนะ)
ลูกชายคนโตเป็น GM (General Manager) น้องอีก 2 คน ก็เป็น AGM (Assistant General Manager) คนนึงคุมงานขาย อีกคนคุมบัญชี
โดยที่ ขอย้ำ ผู้จัดการโรงงานนั้น เป็นน้องเขยของเถ้าแก่ เอาล่ะสิ ตามกันให้ทันนะครับ น้องเขยเถ้าแก่ก็จะอาุยุมาก พอๆที่จะเป็นคุณพ่อของทั้งลูกเถ้าแก่ทั้งสามได้
คนที่รับผมเข้ามาฝึกงานนั้น คือ ผจก.โรงงาน ซึ่งก็เป็นน้องเขยเถ้าแก่ ตอนแรกๆที่เข้าไปด้วยความเป็นนักศึกษาฝึกงานก็ไม่มีงานอะไรให้เราทำเป็นประจำอยู่แล้ว ก็เดินตาม ผจก.โรงงานทั้งวัน จนวันนึงที่โรงงานยุ่งกันมาก และโรงงานนี้ด้วยความที่ลูกชายเถ้าแก่เป็นคนสมัยใหม่ ก็เลยไปจ้างที่ปรึกษามาคนนึง ยังหนุ่มๆเหมือนกัน แต่วันนั้นมันไม่มีใครว่างเลย ก็เลยส่งผมซึ่งเป็นนักศึกษาฝึกงานเค้าไปนั่งฟังที่ปรึกษาแทน ท่านที่ปรึกษาเห็นผมเข้ามาก็อารมณ์เสียนิดๆ ต่อว่าๆ ผมมาเนี่ย ค่าตัวผมไม่ใช่ถูกๆนะ ให้ผมมานั่งคุยกับคุณ เค้าก็เสียเงินฟรีๆ ผมเห็นเค้าเริ่มบ่นๆๆ ไปพักใหญ่ ผมก็ด้วยความไม่รู้จะทำอะไรก็เริ่มยิ้มให้อย่างเดียว เค้าพูดอะไรมาก็เออออห่อหมกไปด้วย เช่นเค้าว่ามาค่าตัวเค้าแพงนะ ผมก็จริงเหรอครับอาจารย์ อาจารย์ยังหนุ่มอยู้เลยนะ เหมือนรุ่นพี่ผมไม่กี่ปี พอได้คำชมเท่านั้นแหละอาจารย์เริ่มคลายอารมณ์ลงหน่อยๆ แล้วก็เริ่มหันมาคุยกับผมบ้าง คุณจบมาจากที่ไหน สาขาวิชาอะไร พูดไปพูดมา ดันโชคดีเรียนตรงสายกัน แต่ด้วยความฉลาดของผม ก็ต้องยกให้ท่านหน่อย ว่า มหาลัยอาจารย์ดังจะตาย ผมเอ็นท์เข้าไม่ได้หรอก ไม่ฉลาดขนาดนั้น
คำชมอันนี้เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผมกลายเป็นศิษย์รักของอาจารย์เพียงพบกันครั้งสองครั้งเท่านั้น (หึหึหึ)
หลังจากสนิทกันและรับเราเป็นลูกศิษย์แล้ว มีเหรอจะไม่ดัน ก็เอาเรื่องเราไปเล่าให้ GM ฟังว่า คุณน่ะมีวิศวกรมาทำงานให้ โชคดีนะ ทำไมไม่ให้เค้าลองทำโน่นทำนี่ดูละ แล้วที่ปรึกษาก็บอก Project อะไรต่างๆมาให้ผมฟังว่า เราน่าจะไปลอง
คือเข้าใจไหมว่า เวลาเค้าบอกมา ก็เหมือนให้เราเป็นลูกมือเค้าไปทำ โดยที่เค้าวางระบบ วิธีการไปหมดแล้ว จนสุดท้ายเวลาผลออกมาเราก็ทำสรุปเป็นรายงานให้ท่าน GM (ผลงานก็เป็นของเราไปโดยปริยาย) หลังจากผ่านไป 2-3 งาน
ผมก็เลื่อนตำแหน่งจากวิศกรของ ผจก.โรงงาน เป็นวิศวกรของ GM ไปโดยไม่รู้ตัว
เวลา่มีอะไร ทาง GM ก็จะเรียกผมไปรับงานมากกว่าเรียก ผจก.โรงงานซะอีก ทำให้ผมเป็นม้าในสายตาของเหล่าๆทีมงานแล้ว ทั้งๆที่มาฝึกงานแค่ 3-4 เดือน เชื่อไหมว่า ตอนเค้าจะซื้อเครื่องจักรใหม่ เค้าให้ผมโทรไปคุยกับ Supplier ให้ ต่อราคา จนคนขายเครื่องจักร ถามผมว่า เนี่ยไม่ทราบตำแหน่งอะไร ผมก็บอกไปว่า อ้อ ผมเป็นวิศวกรฝึกงานครับ เค้าก็อึ้งๆไปทันที หลังจากนั้นผมก็ยังรับใช้ทั้ง GM ที่ปรึกษา อย่างไม่ลดละ ทำงานชนิดที่ว่า จากเดิมเค้าไม่ให้ค่าแรง นศ.ฝึกงาน ก็ให้รอง GM มาแจ้งว่า จะจ่ายให้ตามค่าแรงขั้นต่ำ 165 บาท (ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ ผจก.โรงงานเสียหน้ามาก เพราะพวกเราเคยร้องขอไปผ่านทางแก แต่แกบอกว่า ไม่มีนโยบาย) แต่เนื่องจากเป็นคำสั่งของ รอง GM ก็ทำให้ผมได้เงินเดือนก้อนแรกในชีวิต ที่ 3960 บาท (เดือนแรกทำ 24 วัน) พอได้มาผมขออนุญาต ผจก.ฝ่ายบุคคลเข้าพักเที่ยงสายครึ่งขั่วโมง
ผมออกไปโอนเงินให้แม่ครับ อิอิ ผมโอนให้หมดเลย เป็นความภูมิใจครั้งแรกในชีวิตที่บอกไม่ถูกครับ เงินเดือนก้อนแรกในชีวิตที่เกิดมา 22 ปี โอนให้คุณแม่หมด จำได้ว่าไปโอนที่ไปรณีย์ ส่งเป็นเค้าเรียกว่า ธนาณัติ ประมาณนี้แหละครับ สมัยนี้เคาะโอนผ่านเน็ตกันหมดแล้ว
เรื่องยังไม่จบแค่นั้น พอกลับมาจำได้ว่าทั้งฝ่ายบุคคลชมผมกันใหญ่เลย ว่าเป็นลูกที่ดี เงินเดือนๆแรกโอนให้คุณแม่หมดเลย เรียกว่าตอนนั้นคนรักกันทั้งบริษัท (หารู้ไม่ว่า แม่ผมให้ผมใช้เดือนละหมื่นครับ ที่โอนไปนั่นมันเป็นการแสดงความรู้สึกเฉยๆ ผมไม่ได้อดข้าวอดน้ำอะไรเลย ก็ยังใช้ชีวิตปกติเช่นเคยนั่นแหละ)
ทำงานไป 3 เดือน ทาง GM ก็เดืนมาว่า มีคนเรียกไปคุยรึยัง ผมก็งงๆ เรียกไปคุยทำไมกัน หลังจากนั้นวันสองวันก็มีน้องสะใภ้ของแกเรียกไป ก็งงว่าอะไร เค้าก็เ้สนอ Option ให้ว่า อยากให้ทำงานต่อหลังเรียนจบ (ผมฝึกงานแล้วจบเลย) เสนอเงินเดือนให้ 18,000 บาท ให้เลือกได้ว่าจะเอาเพื่อนมาเป็นผู้ช่วยก็ได้ เค้าจะไปตั้งโรงงานใหม่ที่ต่างจังหวัด อยากให้ไปคุม ไอ้ผมตอนนั้นก็ตัดสินใจอยู่แล้วว่าจะเรียนต่อโท
แต่ได้ข้อเสนอทำงานมาก็เลยลองตัดสินใจดู สุดท้ายก็ผมก็ตัดสินใจไปเรียนต่อเหมือนเ้ดิมดีกว่า ก็เลยปฏิเสธเค้าไป
ตอนนั้นเสียดายก็เสียดาย ว่าไปเรียนต่อโท กลับมาเงินเดือนจะได้หรือเปล่าวะ ตั้ง 18,000 บาท (ตอนนั้นทองบาทละ 8000 เองมั้งครับถ้าจำไม่ผิด) เทียบสมัยนี้ก็ประมาณเงินเดือน 30,000 ประมาณเนี้ยอ่ะ (ตอนนั้นปี 45 ข้าวจาน 20 น้ำมันลิตรละ 20 บาทเอง)
หลังจากนั้นก็ไปเรียนต่อ อีก 2 ปี จนจบ ปริญญาโท มาครับ
ไว้เดี๋ยวมาต่อกันครับ
...จากนักศึกษาฝึกงาน ค่าแรงวันละ 165 บาท สู่การเป็นพนักงานประจำเงินเดือนแสน ด้วยเวลา 10 ปี...
แต่วันนี้ต้องขออนุญาิตถอด Log-In ใน Pantip แห่งนี้มาเขียนประวัติคร่าวๆ ของตัวเอง เพื่อป้องกันปัญหาอื่นๆ ที่จะตามมา
เนื่อเรื่องอาจจะปรับแต่งบ้าง เพื่อไม่ให้กระทบกับข้อมูล ความลับของบริษัท ผู้ที่เกี่ยวข้องที่อาจจะพาดพิงถึงไปบ้างนะครับ แต่โดยรวมเนื้อหาคงไม่หนีจาก สาระที่จะแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านกัน แต่พูดตรงๆปัญหาที่สำคัญก็คือ การลด Ego ของตัวเองลง เพราะการเขียนประสบการณ์ย่อมีสองแง่มุมเสมอๆ เช่น อีกมุมนึงอาจจะเป็นประโยชน์ สร้างแรงบันดาลใจให้น้องๆจบใหม่ หางานทำ และอีกแง่มุมนึง คนก็จะมองว่า ไอ้นี่มันโม้ มันขี้อวด เอาเงินเดือนมาโชว์
เพื่อที่จะตัดปัญหานี้ เลยสมัครบัตรผ่าน ซึ่งไม่กี่ัวันก็จะหมดอายุลง และไม่สามารถสืบกลับตามไปได้ว่า ผมเป็นใคร ทำงานอะไร มีใครโดนพาดพิงบ้าง ประมาณนี้ลงนะครับ โปรดเข้าใจกันด้วย
เหตุที่อยากจะเขียนประสบการณ์ของตัวเองลงให้ท่านอื่นอ่านบ้าง ก็เนื่องจากว่า ช่วงนี้ชีวิตค่อนข้างขาดแรงบรรดาลใจในการทำงาน เนื่องจากว้า ด้วยสภาพของธุรกิจ ทีมงานที่มีอยู่ ทำให้ตัวผมเองนั้นค่อนข้างจะตกอยู่ในฐานะ ว่างงาน (แต่ยังกินเงินเดือนอยู่นะ) เพราะว่าทีมงานที่ดีๆที่เรามีนั้น สามารถทำงานแทนให้เราได้ทุกเรื่อง ซึ่งผมคิดว่าเป็นเพราะการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงการทำงานของตัวผมเองแบบหนึ่ง ด้วย ที่ทำให้พอมีเวลาว่างขึ้นมากจนถึงทุกวันนี้
วันที่วันๆนึงสบายกว่าแต่เก่า ปวดหัวน้อยกว่า (เพราะปัญหางานเล็กๆน้อยๆ มีลูกน้องที่ดี ช่วยเอาไปตัดสินใจและดำเนินการได้แทนเกือบทั้งหมด) เงินเดือนเพิ่มขึ้น ผลประกอบการดีขึ้น และที่สำคัญการเงินก็ดีขึ้นจนอยู่ในขั้นน่าพอใจ และใช้ชีวิตในแบบสบายๆกว่ามาตราฐานคนทำงานทั่วๆไป
ขอย้ำว่า ประสบการณ์ที่จะเล่า ไม่ใช่ต้องการมาเรียกเรทติ้ง ประมาณบ้านจน ไขว่ขว้าจนได้ดาวบนฟ้ามาครอง ถ้าใครอยากอ่านแบบนั้น ขอโทษครับ ต้องไปซื้อนิยายมาอ่านเอง และขอให้ข้ามกระทู้นี้ไปได้เลยนะครับผม
ขอเริ่มที่ประวัติส่วนตัวคร่าวๆก่อน ที่จะไปสู่การเป็นนักศุกษาฝึกงาน ในขั้นต้นที่จั่วหัว Topic ไว้ก่อนนะครับ
ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด (แน่ละ ไม่ได้เกิดกรุงเทพนี่) ที่อยู่ไกลจากกรุงเทพ พอสมควร ที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งพอมีฐานะปานกลาง (เกิดมาโชคดีมากครับ) เติบโตและเรียนที่ต่างจังหวัดมาตลอด ก็เป็นเด็กหัวดี แต่ไม่ขยัน (อันนี้ครูบอกนะ ไม่ได้หลงตัวเอง หึหึ) อาจจะเนื่องจากที่บ้านค่อนข้างจะพอมีพอกิน (ไม่รวยล้นฟ้าขนาดไม่ต้องทำงาน แต่ก็ไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงินเรื่องทองนะครับ) ก็เลยทำให้ค่อนข้างจะทำตัวเกเรนิดๆ
ไม่ค่อยสนใจเรียน เรียนเฉพาะวิชาที่ชอบ วิชาที่ไม่ชอบก็ประมาณว่า ถึงเวลาสอบ ผมออกห้องคนแรกเสมอ ทำไงน่ะเหรอ ก็เข้าไปไม่เปิดกระดาษคำถามเลย นั่งกาๆๆกระดาษคำตอบ แล้วก็วิ่งออกมาจากห้องสอบเลย
บางวิชาไม่สนใจก็นั่งคุยกันไปหลังห้อง อาจารย์ด่า ก็ไม่สน จนอาจารย์เฉยออกจากห้อง ยังจำได้ว่ามองหน้าอาจารย์แล้วก็ สบถไป 1 คำ ก่อนลุกออกจากห้องมาเลย ทุกวันนี้อาจารย์คนนี้ยังโกรธผมมากอยู่ ชนิดเจอหน้าไม่เผาผีกันเลย ส่วนผมนั้นสำนึกผิดแล้วนะครับ แต่ก็ไม่กล้าไปขอโทษแกหรอก ได้แต่เก็บเอาเป็นความรู้สึกไว้ในใจเท่านั้นเอง และเนื่องจากว่าเป็นคนนิสัยอย่างนี้แหละ อาจารย์ที่โรงเรียนก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากจะมายุ่งเท่าไหร่ จำได้ดีว่า ตอนที่เพื่อนในห้องทะเลาะกัน ต่อยตีกันตามประสาเด็กวัยรุ่น อาจารย์ฝ่ายปกครองรีบวิ่งมาหาผมเลย ว่าเธอไปมีเรื่องกับเค้าหรือเปล่า ครูนึกภาวนามาตลอดว่าอย่าเป็นเธอเลย เพราะครูกลัวจริงๆ (ไม่รู้แกกลัวอะไรผม ก็ไม่รู้เหมือนกัน) แต่ในความจริงแล้ว ผมไม่เคยจะไปมีเรื่องใครเลยนะ (เพราะเป็นคนกลัวเจ็บ หึหึ) ผมมองเสมอว่า การใช้กำลังไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่เชื่อไหม ปัญหาเนี่ยมันก็ชอบมาวิ่งชนเราเสมอ เพื่อนในกลุ่มไปทะเลาะกลุ่มโน่น แย่งผู้หญิงบ้าง และก็ไอ้ปัญหาเนี่ย เราก็จะไปใกล้ๆเฉียดๆมันอยู่ทุกครั้ง แต่ไม่เคยเข้าร่วมนะ ยืนดูเฉยๆ (ก็บอกแล้วว่ากลัวเจ็บ)
ในความรู้สึกตอนนั้น เราช่างเป็นนักปฏิวัติจริงๆ เป็นตัวของตัวเอง ความมั่นใจสูงมาก ฮ่ะๆ
มาย้อนกลับไปดูตอนนี้ ช่างเป็นการกระทำที่เด็กน้อยมากๆ อยากกลับไปกระโดดถีบตัวเองอยู่บ้าง แต่นั้นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรมากนะครับ แค่อยากปูพื้นเรื่องก่อนเฉยๆ
หลังจากนั้นก็เรียนหนังสือหนังหาไปเรื่อยๆ จนจบ ม.6 ครับ ด้วยความที่โชคดีตามที่ได้แจ้ง ไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน ก็เรียนพิเศษจนสอบ Entrance ได้ติด วิศวะที่มหาลัยของรัฐบาลแห่งหนึ่ง
แน่นอนว่า คำว่าเรียนวิศวะ เกือบทุกท่านคงจะนึกไปถึง วิศวะโยธา ที่สร้างตึก สร้างถนนหนทาง เป็นผู้คุมงาน ไปแนวๆโน้น ซึ่งก็แน่นอนผมก็ใฝ่ฝันอยากจะไปเป็นวิศวะโยธาแบบนั้นกับเค้าด้วย แต่ด้วยความโชคดี (ที่เอ็นท์ติด) ในความโชคร้าย (ปีนั้นเป็นปี 40-41 ซึ่งเป็นปีที่ฟองสบู่แตกพอดี) ทำให้โครงการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ทยอยปิดตัวลง พร้อมกับ NPL ก้อนโตที่เป็นเหมือนอุปสรรคของประเทศไทยในตอนนั้น
วิศกรโยธา ค่าตัวหลายหมื่นบาท ตกงานกันเป็นแถว สุดท้ายจำได้ว่า เพื่อนที่จบมาด้วยกันแต่เรียนสายโยธา ต้องยอมรับเงินเดือน 9000 บาท เพราะไม่มีงานทำจริงๆ
ซึ่งผมก็ได้เบนเข็มไปเรียนวิศวกรรม อีกสาขาหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างตึก สร้างอาคารอีก และด้วยความโชคดีในโชคร้ายนี้ ทำให้ชีวิตได้เบนเข็มจนต้องมานั่งทำงานใน Office แทนที่จะไปตากแดด ตากฝน เหมือนเพื่อนๆโยธาเค้า
เนื่องจากวิศวะเราพอจะจบปี 4 ก็ต้องมีการออกไปฝึกงานตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้จบ ด้วยความคิดโลดโผนของผม ทำให้ไปฝึกงานกับบริษัทผลิตจิวรี่แห่งนึง เข้าไปฝึกงานพร้อมเพื่อนนักศึกษาอีก 4 คน (เป็นวิศวะใน กทม ทั้งหมด) เราเป็นคนต่างจังหวัดอยู่คนเดียว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ การฝึกงานนั้นทำให้ผมรู้จักเครื่องมือการทำงานอย่างนึง ซึ่งคนกินเงินเดือนทั่วๆไปต้องมีคือ "การเอาใจเจ้านาย" หรือภาษาบ้านๆก็เรียกว่า การเลียเจ้านายนั้นแหละ หุหุ
บริษัทที่ผมไปทำนั้น เป็นการบริหารงานแบบครอบครัว มีเถ้าแก่ใหญ่ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโต ได้ส่งไม้ต่อให้ลูก 3 คนมานั่งบริหาร (เถ้าแก่เลิกทำงานไปเลยนะ)
ลูกชายคนโตเป็น GM (General Manager) น้องอีก 2 คน ก็เป็น AGM (Assistant General Manager) คนนึงคุมงานขาย อีกคนคุมบัญชี
โดยที่ ขอย้ำ ผู้จัดการโรงงานนั้น เป็นน้องเขยของเถ้าแก่ เอาล่ะสิ ตามกันให้ทันนะครับ น้องเขยเถ้าแก่ก็จะอาุยุมาก พอๆที่จะเป็นคุณพ่อของทั้งลูกเถ้าแก่ทั้งสามได้
คนที่รับผมเข้ามาฝึกงานนั้น คือ ผจก.โรงงาน ซึ่งก็เป็นน้องเขยเถ้าแก่ ตอนแรกๆที่เข้าไปด้วยความเป็นนักศึกษาฝึกงานก็ไม่มีงานอะไรให้เราทำเป็นประจำอยู่แล้ว ก็เดินตาม ผจก.โรงงานทั้งวัน จนวันนึงที่โรงงานยุ่งกันมาก และโรงงานนี้ด้วยความที่ลูกชายเถ้าแก่เป็นคนสมัยใหม่ ก็เลยไปจ้างที่ปรึกษามาคนนึง ยังหนุ่มๆเหมือนกัน แต่วันนั้นมันไม่มีใครว่างเลย ก็เลยส่งผมซึ่งเป็นนักศึกษาฝึกงานเค้าไปนั่งฟังที่ปรึกษาแทน ท่านที่ปรึกษาเห็นผมเข้ามาก็อารมณ์เสียนิดๆ ต่อว่าๆ ผมมาเนี่ย ค่าตัวผมไม่ใช่ถูกๆนะ ให้ผมมานั่งคุยกับคุณ เค้าก็เสียเงินฟรีๆ ผมเห็นเค้าเริ่มบ่นๆๆ ไปพักใหญ่ ผมก็ด้วยความไม่รู้จะทำอะไรก็เริ่มยิ้มให้อย่างเดียว เค้าพูดอะไรมาก็เออออห่อหมกไปด้วย เช่นเค้าว่ามาค่าตัวเค้าแพงนะ ผมก็จริงเหรอครับอาจารย์ อาจารย์ยังหนุ่มอยู้เลยนะ เหมือนรุ่นพี่ผมไม่กี่ปี พอได้คำชมเท่านั้นแหละอาจารย์เริ่มคลายอารมณ์ลงหน่อยๆ แล้วก็เริ่มหันมาคุยกับผมบ้าง คุณจบมาจากที่ไหน สาขาวิชาอะไร พูดไปพูดมา ดันโชคดีเรียนตรงสายกัน แต่ด้วยความฉลาดของผม ก็ต้องยกให้ท่านหน่อย ว่า มหาลัยอาจารย์ดังจะตาย ผมเอ็นท์เข้าไม่ได้หรอก ไม่ฉลาดขนาดนั้น
คำชมอันนี้เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผมกลายเป็นศิษย์รักของอาจารย์เพียงพบกันครั้งสองครั้งเท่านั้น (หึหึหึ)
หลังจากสนิทกันและรับเราเป็นลูกศิษย์แล้ว มีเหรอจะไม่ดัน ก็เอาเรื่องเราไปเล่าให้ GM ฟังว่า คุณน่ะมีวิศวกรมาทำงานให้ โชคดีนะ ทำไมไม่ให้เค้าลองทำโน่นทำนี่ดูละ แล้วที่ปรึกษาก็บอก Project อะไรต่างๆมาให้ผมฟังว่า เราน่าจะไปลอง
คือเข้าใจไหมว่า เวลาเค้าบอกมา ก็เหมือนให้เราเป็นลูกมือเค้าไปทำ โดยที่เค้าวางระบบ วิธีการไปหมดแล้ว จนสุดท้ายเวลาผลออกมาเราก็ทำสรุปเป็นรายงานให้ท่าน GM (ผลงานก็เป็นของเราไปโดยปริยาย) หลังจากผ่านไป 2-3 งาน
ผมก็เลื่อนตำแหน่งจากวิศกรของ ผจก.โรงงาน เป็นวิศวกรของ GM ไปโดยไม่รู้ตัว
เวลา่มีอะไร ทาง GM ก็จะเรียกผมไปรับงานมากกว่าเรียก ผจก.โรงงานซะอีก ทำให้ผมเป็นม้าในสายตาของเหล่าๆทีมงานแล้ว ทั้งๆที่มาฝึกงานแค่ 3-4 เดือน เชื่อไหมว่า ตอนเค้าจะซื้อเครื่องจักรใหม่ เค้าให้ผมโทรไปคุยกับ Supplier ให้ ต่อราคา จนคนขายเครื่องจักร ถามผมว่า เนี่ยไม่ทราบตำแหน่งอะไร ผมก็บอกไปว่า อ้อ ผมเป็นวิศวกรฝึกงานครับ เค้าก็อึ้งๆไปทันที หลังจากนั้นผมก็ยังรับใช้ทั้ง GM ที่ปรึกษา อย่างไม่ลดละ ทำงานชนิดที่ว่า จากเดิมเค้าไม่ให้ค่าแรง นศ.ฝึกงาน ก็ให้รอง GM มาแจ้งว่า จะจ่ายให้ตามค่าแรงขั้นต่ำ 165 บาท (ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ ผจก.โรงงานเสียหน้ามาก เพราะพวกเราเคยร้องขอไปผ่านทางแก แต่แกบอกว่า ไม่มีนโยบาย) แต่เนื่องจากเป็นคำสั่งของ รอง GM ก็ทำให้ผมได้เงินเดือนก้อนแรกในชีวิต ที่ 3960 บาท (เดือนแรกทำ 24 วัน) พอได้มาผมขออนุญาต ผจก.ฝ่ายบุคคลเข้าพักเที่ยงสายครึ่งขั่วโมง
ผมออกไปโอนเงินให้แม่ครับ อิอิ ผมโอนให้หมดเลย เป็นความภูมิใจครั้งแรกในชีวิตที่บอกไม่ถูกครับ เงินเดือนก้อนแรกในชีวิตที่เกิดมา 22 ปี โอนให้คุณแม่หมด จำได้ว่าไปโอนที่ไปรณีย์ ส่งเป็นเค้าเรียกว่า ธนาณัติ ประมาณนี้แหละครับ สมัยนี้เคาะโอนผ่านเน็ตกันหมดแล้ว
เรื่องยังไม่จบแค่นั้น พอกลับมาจำได้ว่าทั้งฝ่ายบุคคลชมผมกันใหญ่เลย ว่าเป็นลูกที่ดี เงินเดือนๆแรกโอนให้คุณแม่หมดเลย เรียกว่าตอนนั้นคนรักกันทั้งบริษัท (หารู้ไม่ว่า แม่ผมให้ผมใช้เดือนละหมื่นครับ ที่โอนไปนั่นมันเป็นการแสดงความรู้สึกเฉยๆ ผมไม่ได้อดข้าวอดน้ำอะไรเลย ก็ยังใช้ชีวิตปกติเช่นเคยนั่นแหละ)
ทำงานไป 3 เดือน ทาง GM ก็เดืนมาว่า มีคนเรียกไปคุยรึยัง ผมก็งงๆ เรียกไปคุยทำไมกัน หลังจากนั้นวันสองวันก็มีน้องสะใภ้ของแกเรียกไป ก็งงว่าอะไร เค้าก็เ้สนอ Option ให้ว่า อยากให้ทำงานต่อหลังเรียนจบ (ผมฝึกงานแล้วจบเลย) เสนอเงินเดือนให้ 18,000 บาท ให้เลือกได้ว่าจะเอาเพื่อนมาเป็นผู้ช่วยก็ได้ เค้าจะไปตั้งโรงงานใหม่ที่ต่างจังหวัด อยากให้ไปคุม ไอ้ผมตอนนั้นก็ตัดสินใจอยู่แล้วว่าจะเรียนต่อโท
แต่ได้ข้อเสนอทำงานมาก็เลยลองตัดสินใจดู สุดท้ายก็ผมก็ตัดสินใจไปเรียนต่อเหมือนเ้ดิมดีกว่า ก็เลยปฏิเสธเค้าไป
ตอนนั้นเสียดายก็เสียดาย ว่าไปเรียนต่อโท กลับมาเงินเดือนจะได้หรือเปล่าวะ ตั้ง 18,000 บาท (ตอนนั้นทองบาทละ 8000 เองมั้งครับถ้าจำไม่ผิด) เทียบสมัยนี้ก็ประมาณเงินเดือน 30,000 ประมาณเนี้ยอ่ะ (ตอนนั้นปี 45 ข้าวจาน 20 น้ำมันลิตรละ 20 บาทเอง)
หลังจากนั้นก็ไปเรียนต่อ อีก 2 ปี จนจบ ปริญญาโท มาครับ
ไว้เดี๋ยวมาต่อกันครับ