จะแก้โรคไม่มีความมั่นใจในตัวเองยังไง

เมื่อก่อนเคยมีความมั่นใจในตัวเองมาก คิดอะไรเอง ทำอะไรเองคนเดียวได้ แต่พอเข้าช่วงมหาลัย เจอภาวะกดดันต่างๆทั้งการเรียนและสังคม จุดยืน ความคิดต่างๆของตัวเองเข้ากับสังคมไม่ได้ ทำอะไร คิดอะไรก็ผิด สังคมมองไม่ดี จนต้องตามสังคมไปจนบางครั้งก็ไม่มีความมั่นใจ ป็นโรคขาดความมั่นใจไปเลย จากที่คิดอะไรเองได้ กลายเป็นไม่กล้าคิดอะไรเลย เพราะทำอะไรก็ผิด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดปัญหาแบบนี้ในชีวิต รวมทั้งชอบมีคนนินทาเรา หรือเราไม่ได้ทำแต่เอาเราไปพูดอีกแบบหนึ่งทำให้เราถูกมองไม่ดี ซึ่งตัวเราเองเป็นคนมีความต้านทานต่อสิ่งเหล่านี้ต่ำ แต่ก่อนหน้านนั้นเราไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เลย แต่มันมาเป็นตอนที่เริ่มเรียนมหาลัย คนบางคนในชั้นปีเราก็ไม่เคยคุยแต่อยู่ๆก็ไม่ชอบเรา เพราะเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น ตอนนี้ทำงานแล้ว ตอนจบมาใหม่ๆเป็นโรคขาดความมั่นใจอย่างรุนแรง คิดอะไรไม่เป็น แต่ตอนนี้ดีขึ้น แต่ตอนนี้อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม ไม่รู้จะต้องทำยังไง เพราะปรึกษาคนที่บ้านก็ไม่ได้ มันกลายเป็นว่าทำไมโตแบบนี้ถึงคิดไม่เป็น ช่วยแนะนำหน่อย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
คืออย่างแรกคุนต้องฝึกที่จะรักตัวเองก่อน หาสิ่งดีๆ ให้ รู้จักให้รางวัลกับตัวเอง และที่สำคัญหัดตั้งเป้าหมายไว้

เอาแบบที่ง่ายๆก่อนเช่นจะตื่นตี5  ทุกวัน เป็นเวลา3เดือน หรือยากๆบ้างสลับกันไป อาจจะเป็นการลด น้ำหนัก

หรือการทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ รับอาสาทำไรเล็กๆ น้อยดูปฎิกิริยาของคนที่ไหว้วานเรา ในชีวิตผมเจอคน

ดูถูกมาเยอะแต่ผมมีสิ่งหนึ่งคือความมั่นใจ และความมุ่งมั่นลึกๆที่ไม่รู้ตัว ต้องบอกตัวเองว่าต้องทำได้ๆ

คนที่ทำไม่ได้ หรือ อิจฉาเรา เขาก็จะพูดกับเราว่าเราก็ทำไม่ได้ นี่เรื่องจริง สังเกตดูผู้หญิงบางคนยิ่งมั่นใจ

อย่างทาทายัง คนยิ่งนินทา เพื่อทำลายความมั่นใจ อย่าไปใส่ใจเลยคับ  มันเป็นจิตวิทยาง่ายๆ มันอยู่ในตัว

คนทุกคนโดยเราไม่รู้ตัว บางทีพ่อแม่เองเป็นคนปลูกฝังให้ลูกโดยไม่รู้ตัว เพื่อนบางคนดูถูกความฝันของผม

ผ่านไป 3 ปี ทุกสื่งผมทำได้เกือบหมด จำคำนี้ไว้นะคับ ทุกอย่างจะเกิดได้เริ่มจากก้าวแรก ไม่มีอะไรที่เราทำ

ไม่ได้มีแต่ยังไม่เริ่ม หรือคิดว่าทำไม่ได้เท่านั้น สตีฟ จ้อบ ยังพูดไว้เลยคับ be hungry be fool ทั้งหมดถ้าเรา

ไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง ของบางอย่างไม่ใช่มันจะมีกันทุกคน อย่าให้สิ่งแวดล้อมอยู่เหนือเรา เราต้องเป็น

คนที่กำหนดมัน หรือสร้างมันขึ้นมา  อย่าลืมอีกเรื่องคือการหัด คิดบวกด้วยนะคับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ความคิดเห็นที่ 5
การขาด self esteme หรือการนับถือตนเองตำ่ ทำให้มองโลกในแง่ร้าย คิดว่าตัวเองถูกนินทา กลัวการวิจารณ์ มักจะไม่มั่นใจว่าตัวเองมีคุณค่าหรือมีความสามารถที่จะได้รับการยอมรับ ทำให้ไม่กล้าที่จะทำอะไรเนื่องจากกลัวความล้มเหลว
ทางแก้ นั่งสมาธิบ้าง ทำใจให้สงบ อย่ามองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป หาคนที่ไว้ใจได้เป็นที่ปรึกษาพูดคุย สร้างความเชื่อมั่นโดยการบอกตัวเองเสมอว่าคุณมีคุณค่า มีความสามารถ ยอมรับตัวเอง คุณเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นได้ ค้นหาความสามารถของตนเอง แต่ต้องลงมือศึกษาค้นคว้าและลงมือทำด้วย จัดระเบียบชีวิตตัวเองใหม่ อย่าทำชีวิตให้วุ่นวาย ลดการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น จงมองคนที่ด้อยกว่า อย่าตำหนิติเตียนตนเองบ่อยๆ แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยนค่ะ
ความคิดเห็นที่ 30
เพิ่งอ่านเจอในหนังสือของคุณหนุ่มเมืองจันทร์ค่ะว่าได้ไปเข้าสัมนาร่วมกับพี่เอ๋นิ้วกลมแล้วมีน้องคนนึงถามว่า เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเลย ไม่กล้าคิด ไม่กล้าตัดสินใจ จะทำยังไงดีให้มั่นใจมากขึ้น พี่เอ๋ตอบว่า ให้ไปเที่ยวคนเดียวค่ะ เพราะเวลาเราไปเที่ยวคนเดียวเราต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง วางแผนด้วยตัวเองทั้งหมด เป็นการสร้างสถานการณ์ให้เราฝึกคิด ฝึกตัดสินใจ ลองดูนะคะอาจจะได้ผลบ้างไม่มากก็น้อย ^^
ความคิดเห็นที่ 43
ถาม - ถ้าเราเป็นคนไม่เชื่อมั่นในตนเอง โทษตัวเองเสมอๆ และมักกังวลว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในอนาคต ไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวจะผิดพลาด แบบนี้ควรจะแก้ไขอย่างไรดี ??

นิตยสารธรรมมะออนไลน์ มีคำตอบให้ครับ

การที่เราขาดความเชื่อมั่น หรือว่ามีความกังวลเกี่ยวกับอนาคต หรือว่ามีอาการโทษตัวเอง
มันสะท้อนให้เห็นว่าเรามีความรู้สึกพื้นฐานเกี่ยวกับตัวเองค่อนข้างจะเป็นลบ
และก็เหมือนเราจะมองว่า คือพูดง่ายๆ มองแทนคนอื่น
มองตัวเองเหมือนกับว่ามองจากสายตาของคนอื่นว่า เขาจะรู้สึกดูถูกเราหรือเปล่า
เขาจะรู้สึกว่าเราไม่เก่งหรือเปล่า เขาจะรู้สึกว่าเราทำอะไรแย่ๆ หรือเปล่า
นี้เป็นมุมมองเหมือนกับ พูดง่ายๆ ระแวง คอยระแวงว่าใครเขาจะมองเรายังไงนะ
ก็เลยเหมือนกับมีสายตามองตัวเอง สายตาที่สาม
สายตาของบุคคลที่สองมามองเราแทนนะครับ แทนคนอื่น
ด้วยความรู้สึกว่าเดี๋ยวจะต้องถูกว่า เดี๋ยวจะต้องถูกตำหนิ เดี๋ยวจะต้องมีความล้มเหลว
แล้วก็จะต้องเกิดความอับอายขายหน้าต่างๆ นานา


เอาละ ถามว่าจะแก้อย่างไร
เมื่อรู้ว่าลักษณะของใจมันมีความกลัว
ก็ขอให้ทราบว่าความกลัวในลักษณะนั้นเป็นจิตที่มีความฟุ้งซ่าน
ตีโจทย์ให้เป็นจิตซะ จิตที่มีความฟุ้งซ่านไปล่วงหน้า จิตที่มีความกังวลไปล่วงหน้า
เรียกว่ากำลังอยู่ในภาวะซัดส่าย ไม่มีความเป็นสมาธิ ไม่มีความนิ่ง ไม่มีความสบาย
มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความปั่นป่วน
เราจะแก้จิตที่มันมีความฟุ้งซ่านไปในอนาคตได้อย่างไร
อันดับแรกเลยคือมองให้เห็นว่าอาการโทษตัวเอง
หรืออาการกังวลไปในอนาคตว่าตัวเองจะทำอะไรผิด
มันเป็นจินตนาการที่ทำให้จิตยื่นออกไปข้างหน้า ไม่อยู่กับปัจจุบัน
ถ้าหากว่าเราฝึกที่จะมองให้เห็นว่าจิตที่ยื่นออกไปข้างหน้านั้น
เป็นจิตที่สูญเปล่า เป็นจิตที่ไร้ประโยชน์
เป็นจิตที่มันไม่มีความหมายอยู่ในปัจจุบัน มีแต่อาการที่ปั่นป่วนไปเปล่าๆ
แล้วก็มีลักษณะที่รบกวนภาวะที่จะเป็นประสิทธิภาพเป็นสติในปัจจุบัน
มองให้เห็นบ่อยๆ มันจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่ง
คืออาการของจิตแบบนี้เป็นสิ่งสูญเปล่า เป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น


เมื่อเห็นเป็นจิตนะว่า จิตแบบนี้เป็นจิตเสียๆ เป็นจิตที่ไม่มีประโยชน์
สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นนะคือสติ ขึ้นมาอย่างน้อยที่สุดชั่วแวบชั่ววาบ
รู้สึกว่าเรามามัวทำอะไรที่สูญเปล่าอยู่ทำไม
เรามามัวคิด มัวปล่อยให้สภาพของจิตมันไร้ประโยชน์อยู่ทำไม
ตัวสติที่เกิดขึ้น ณ บัดนั้น
มันจะสั่งให้ตัวเองมีพฤติกรรมอีกแบบหนึ่ง มีอาการทางใจอีกแบบหนึ่ง
กล่าวคือมองตรงไปที่สิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้า
หรือว่าระลึกถึงภาวะของกายของใจที่มันอยู่ในปัจจุบันจริงๆ
ไม่ใช่มีอาการยื่นออกไปข้างนอกนะครับ


หลังจากที่เราสามารถรู้สึกถึงภาวะอันเป็นปัจจุบันทางกายแล้วก็ทางใจได้
ความกังวลตรงนั้นมันจะค่อยๆ เลือนไป
แต่ส่วนใหญ่นะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความกังวลมานานๆ หลายๆ ปี
เดี๋ยวพอมันสบายขึ้นแป๊บหนึ่ง ก็จะกลับมาใหม่ ไอ้ความกังวล ไอ้ความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง
หรือว่าทำอะไรแล้วกลัวว่าจะต้องมาโทษตัวเองในภายหลัง
หรือว่าจะต้องมาถูกติถูกว่าในภายหลัง
อาการกังวลเหล่านั้น ยิ่งเราสามารถเห็นบ่อยขึ้นเท่าไหร่
เราก็จะยิ่งเป็นผู้มีสติมากขึ้นเท่านั้น
สติในที่นี้ก็คือการถอนออกมาจากสภาพจิตที่มันไร้ประโยชน์
สภาพจิตที่มันวุ่นวายซัดส่ายแล้วก็ยื่นออกไปในอนาคตอย่างไร้ค่า
เมื่อเราสามารถเห็นได้บ่อยๆ แล้วก็รู้สึกว่าแต่ละครั้งที่เห็น
มันกลับมาอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น
คุณจะสังเกตเห็นอย่างนี้นะว่าทุกครั้งที่เราสามารถอยู่กับปัจจุบันได้
โฟกัส (focus) ที่อยู่กับงานตรงหน้านะ มันจะยาวขึ้นเรื่อยๆ
แทนที่ตอนแรกมีอาการยื่นไปข้างหน้าอย่างไร้ประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
กลับกลายเป็นสภาพที่สามารถโฟกัสได้นานขึ้นเรื่อยๆ
ตรงนี้เราจะเริ่มเห็นค่าของปัจจุบัน


คำว่า “มีสติอยู่ในปัจจุบัน” ได้ยินกันบ่อย
แต่มีสติอยู่กับปัจจุบันแล้วเกิดอะไรขึ้น
มีผลประโยชน์อะไรที่มันจะทำให้จิตฉลาดขึ้น แล้วก็เลือกที่จะอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น
ก็ขอให้สังเกตตรงนี้แหละ โฟกัสที่จะอยู่กับงานตรงหน้า
หรือว่าสภาวะเฉพาะหน้า มันจะนานขึ้นเรื่อยๆ
และยิ่งคุณสามารถรู้สึกถึงโฟกัสที่นานยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
มันก็จะมีกำลังใจ มันก็จะมีความอบอุ่นใจว่า เออ นี่มาถูกทางแล้ว
ใช้ชีวิตมาถูกทิศถูกทางแล้ว ใช้ชีวิตอย่างมีประโยชน์แล้ว
ใช้ชีวิตอย่างมีความรู้สึกว่า เออ อะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า
จะถูกติเตียนหรือว่าจะทำผิดทำพลาดอะไรก็แล้วแต่
แต่อย่างน้อยที่สุดนะ มันได้มีนาที มันได้มีชั่วโมงที่มีค่าขึ้นมา
แทนที่จะต้องไปถูกติข้างหน้าด้วย
แล้วก็สูญเสียเวลาที่มันเป็นปัจจุบันไปเปล่าๆ ด้วย
เสียทั้งปัจจุบัน เสียทั้งอนาคตนะ
เปลี่ยนมาเป็นว่าได้ปัจจุบัน แล้วอนาคตมันจะเสียหรือได้ยังไง ก็ช่างมัน
ช่างมันเรื่องข้างหน้า วันข้างหน้ามันดูแลตัวของมันเอง
แต่ว่าเราดูแลนาทีนี้กับชั่วโมงนี้ ให้มันมีโฟกัส ให้มันมีสาระ ให้มันมีประโยชน์ก็แล้วกันนะครับ
ตีโจทย์เป็นจิตเป็นแบบนี้ คุณจะรู้สึกว่าชีวิตง่ายขึ้น แล้วก็ทำได้จริง
ความคิดเห็นที่ 22


เท่าที่สังเกตุ คนแบบนี้
ไม่ดื้อ แต่รั้น (ตัวเองดีและถูกเสมอในใจนะ ทำให้ทำดีแล้วไม่ได้ดี เพราะไม่ตอบโจทย์ความคาดหวังของคนอื่นไง)
มักจะสมาธิสั้น  (ตัวการทำให้ปัญหาตามมาเรื่อย เพราะเป็นทาสทางอารมณ์ตัวเอง)
ทำเล่นๆ คิดเร็วดี แต่ฟุ้งซ่าน ล่องลอย
ถ้าให้คิดเป็นเรื่องเป็นระบบ จะช้ามากจนนิ่งบื้อไปเลย ตัดสินใจไม่ได้ เหมือนคอมเครื่องแฮ้งค์
จับจด เรื่องง่าย แต่กลับทำไม่สำเร็จ หรือใช้เวลาและพลังอย่างมาก

ถ้าเป็นแบบคนอยู่ตัวคนเดียว  เราจะอยู่กับตัวเองไม่ได้ อยู่พยายามทำให้คนอื่นรัก ตามคนอื่น
บางคนอาจจะมีเทคนิคดีก็อยู่ได้  แต่มันก็ชั่วคราว ฝืนตัวเอง มันไม่ใช่ตัวเราจริงๆ

คนแบบนี้ ไม่ได้โง่ แต่เหมือนแกล้งโง่ รู้อะไรดี ไม่ดี อะไรผิด อะไรถูก แต่ก็ไม่ทำ!!
อยากแก้จริงๆ ทำอะไรไม่ดี ทำอะไรแปลก ทำอะไรผิด ทำไปเลย
แต่ คนอื่นด่า คนอื่นวิจารณ์ อย่ามั่วจิตตก อย่ารั้น ... ควรมีสติ หันมามอง ตัวเองบ้าง ว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น
ให้คนอื่นเป็นกระจกสะท้อน ปัญหาของเรา


ถ้ายังทำไมไม่ได้ หรือคิดไม่ออกจริง
แฮ้งค์อยู่ ไปพบจิตแพทย์เถอะ มันไม่ใช่ปัญหาทางความคิดแล้ว  มันเป็นปัญหาระดับจิต!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่