หนึ่งในผู้ได้รับรางวัลโนเบิลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปีนี้คือ Eugene Fama ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น “บิดาแห่งตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ” จากการเป็นผู้บุกเบิกแนวความคิดของ “ตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ” ที่เป็นความคิดที่ทรงพลังยิ่งตั้งแต่ช่วงต้นทรรศวรรษปี 1970 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
แนวคิดหลักของทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพก็คือ ตลาดหุ้นนั้นประกอบไปด้วยนักลงทุนที่มีความรู้ มีเหตุผล มีข้อมูลเต็มเปี่ยม และลงมือซื้อขายหุ้นอย่างรวดเร็วทันทีเมื่อมีข่าวสารที่กระทบกับพื้นฐานของกิจการ กระบวนการนี้ทำให้ราคาของหุ้นปรับตัวเข้าสู่มูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงเสมอ ทำให้ไม่มีใครสามารถที่จะซื้อขายหุ้นทำกำไรได้เหนือกว่าปกติต่อเนื่องยาวนานได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพบอกว่า ราคาหุ้นทุกตัวในตลาดนั้นมีราคาที่เหมาะสม—โดยเฉลี่ย ดังนั้น การที่จะทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นโดยการวิเคราะห์หุ้น หาซื้อหุ้นที่มีราคาถูกและขายหุ้นที่แพง หรือหาจังหวะเข้าซื้อขายหุ้นนั้น ไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะใช้เทคนิคอะไร รวมถึงหลักการแบบ VI ที่เราเชื่อถือกันว่าทำให้เราสามารถทำกำไรมากกว่าปกติได้
ในการที่จะพิสูจน์ทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ ฟามายังแบ่งแยกระดับของประสิทธิภาพของตลาดออกเป็น 3 ระดับ นั่นคือ หนึ่ง “ประสิทธิภาพระดับอ่อน” หรือ “Weak Form” ซึ่งบอกว่า การใช้ข้อมูลเฉพาะด้านของราคาหุ้นมาคาดการณ์ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงในอนาคตนั้น ไม่สามารถทำได้ เพราะราคาหุ้นที่ขึ้นลงวันต่อวันหรือแม้แต่นาทีต่อนาทีนั้น ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ราคาหุ้นนั้นขยับขึ้นลงเหมือน “คนเดินสุ่ม” หรือ “Random Walk” ไม่มีแบบแผน เหตุผลก็คือ ข้อมูลที่เข้ามากระทบหุ้นนั้นก็เป็นข้อมูลที่ “เดินสุ่ม” เหมือนกัน ไม่มีใครคาดการณ์มาก่อนได้ ดังนั้น ราคาจึงผันผวนไปตามข้อมูลที่ผันผวนคาดเดาไม่ได้ในระยะสั้น
ถ้าตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพอย่างอ่อนจริง การใช้ “การวิเคราะห์ทางเทคนิค” เพื่อหา “แนวรับแนวต้าน” หรือ “ราคาเป้าหมาย” ของหุ้นหรือดัชนี หรือการกำหนดจุดซื้อหรือขาย ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ พูดง่าย ๆ ถ้าซื้อขายหุ้นตามสัญญาณทางเทคนิคนั้น ไม่มีทางทำกำไรได้ ถ้าทำไปเรื่อย ๆ โอกาสที่จะขาดทุนสูงมาก เพราะค่าคอมมิชชั่นจะกินหมด
ประสิทธิภาพของตลาดระดับสองคือ “ประสิทธิภาพระดับกลาง” หรือ “Semi-Strong Form” นั้น ฟามาบอกว่า ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพเนื่องจากมีนักลงทุนอาชีพหรือนักลงทุนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ตัวเลขข้อมูลต่าง ๆ ที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะจำนวนมาก พวกเขาเหล่านี้จะซื้อขายหุ้นทันทีที่มีข่าวหรือมีการแจ้งข้อมูลออกสู่สาธารณะ ทำให้ราคาหุ้นวิ่งเข้าสู่มูลค่าที่เหมาะสมทันทีที่มีข่าวหรือข้อมูล หรือทันทีที่ตลาดหุ้นเปิดทำการซื้อขาย ดังนั้น การนำข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะแล้วมาทำการซื้อขายหุ้นจึงไม่มีประโยชน์ ถ้าพูดกันในวงการหุ้นก็เรียกว่า ข่าวนั้น ถูก Discount ไปแล้ว หรือราคาหุ้นถูกตอบสนองไปหมดแล้ว ราคาหุ้นหลังจากนั้นจะไม่เกี่ยวกับข่าวเดิมอีกต่อไป
ถ้าประสิทธิภาพของตลาดระดับกลางเป็นความจริง การวิเคราะห์หุ้นโดยใช้ข้อมูลสาธารณะ เช่น ข้อมูลภาวะเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม หรือข้อมูลผลประกอบการและฐานะการเงินรวมถึงความเข้มแข็งทางด้านการตลาดหรืออื่น ๆ ของบริษัทก็จะไม่เป็นประโยชน์ เพราะข้อมูลเหล่านี้นักลงทุนคนอื่นจำนวนมากก็ “รู้อยู่แล้ว” ถ้าหุ้นนั้นดี เขาก็ซื้อกันไปแล้ว ซึ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาสูงเหมาะสมกับพื้นฐานของบริษัทอยู่แล้ว การเข้าไปซื้อจึงไม่สามารถทำกำไร “เกินกว่าปกติ” ได้ พูดง่าย ๆ หุ้นดี ราคาก็แพง หุ้นแย่ ราคาก็ถูก ไม่มีหุ้นดีราคาถูกหรอก เพราะถ้าราคาถูก คนก็เข้าไปซื้อ ราคาก็ต้องปรับตัวขึ้นจนแพงอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าทฤษฎีนี้เป็นจริง การวิเคราะห์หุ้นไม่ว่าจะใช้เทคนิคไหน รวมถึงหลักการแบบ Value Investment ก็ไม่สามารถเอาชนะตลาดได้อย่างต่อเนื่อง
สุดท้าย ก็คือ “ประสิทธิภาพระดับสูงของตลาด” หรือ “Strong Form” ซึ่งบอกว่า ไม่มีข้อมูลอะไร รวมถึง “ข้อมูลภายใน” ที่ยังไม่ได้เปิดเผยกับตลาดแต่รู้กันเฉพาะผู้บริหารหรือคนที่เกี่ยวข้องเช่น ผู้สอบบัญชี หรือหน่วยงานรัฐ ที่จะสามารถนำมาใช้ซื้อขายหุ้นทำกำไรได้เกินกว่าปกติ เหตุผลก็คือ ไม่มีใครสามารถ “ผูกขาด” ข้อมูลได้ คนที่รู้ข้อมูลภายในก็อาจจะมีหลายคน และดังนั้นพวกเขาก็แย่งกันซื้อขายหุ้นก่อนที่ข่าวจะออก ดังนั้น ราคาหุ้นก็สะท้อนไปก่อนที่คนใดคนหนึ่งจะลงมือทำ ดังนั้น การใช้ข้อมูลภายในก็ไม่สามารถทำให้สามารถทำกำไรเกินกว่าปกติไปได้
การพิสูจน์ความถูกต้องของตลาดที่มีประสิทธิภาพนั้น ฟามาบอกว่าทำได้ยากมาก ข้อแรกก็คือ เราจะต้องหาว่าหุ้นแต่ละตัวนั้น ควรจะมีผลตอบแทนที่เหมาะสมเท่าไรเสียก่อน ถึงจะบอกได้ว่าเราได้กำไร “เกินกว่าปกติ” หรือไม่ การหาว่าหุ้นแต่ละตัวควรจะมีราคาที่เหมาะสมหรือให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมนั้นจำเป็นต้องมีโมเดลหรือสูตรที่จะคิด หลังจากได้โมเดลนี้แล้ว เราถึงจะสามารถเปรียบเทียบได้ว่าเราสามารถใช้ข้อมูลหรือเทคนิคอะไรที่ทำให้เราสามารถทำกำไรได้เกินจากนั้นหรือไม่ ถ้าพบว่า ไม่มีเทคนิคอะไรที่ทำผลตอบเกินกว่าปกติต่อเนื่องยาวนานเลยก็แสดงว่าตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพสูง ถ้าเราใช้ข้อมูลสาธารณะประเมินมูลค่าหุ้นแบบ VI แล้วสามารถทำกำไรได้มากกว่าปกติก็แสดงว่าตลาดยังไม่มีประสิทธิภาพในระดับกลาง ถ้าเราสามารถใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งใช้แต่ข้อมูลด้านราคาหุ้นอย่างเดียวแล้วสามารถทำกำไรได้มากกว่าปกติได้ก็แสดงว่าตลาดหุ้นไม่มีประสิทธิภาพเลย
หลังจากบทความของ ฟามา ออกมาแล้ว นักวิชาการก็สามารถพัฒนาโมเดลที่บอกว่าหุ้นแต่ละตัวควรจะมีมูลค่าหรือให้ผลตอบแทนเท่าไรต่อปี นำโดย มาร์โควิตซ์และชาร์ป ซึ่งบอกว่า ผลตอบแทนของหลักทรัพย์ที่เหมาะสมแต่ละตัวนั้นขึ้นอยู่กับ “ความเสี่ยง” หรือค่า เบต้า ถ้าหุ้นตัวนั้นเสี่ยงมากหรือ “เบต้าสูง” ผลตอบแทนที่เหมาะสมก็จะต้องมาก ถ้าเสี่ยงน้อย ผลตอบแทนก็น้อย ถ้าไม่เสี่ยงเลยก็ได้ผลตอบแทนเท่ากับพันธบัตรรัฐบาล และนี่ก็กลายเป็น “ทฤษฎีทางการเงินสมัยใหม่” ที่นักศึกษาทางการเงินทุกคนต้องเรียน และทั้งมาร์โควิตซ์และชาร์ป ต่างก็ได้รับรางวัลโนเบลทั้งคู่ก่อนหน้านี้
การพิสูจน์ว่าตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายเป็น “ดรามา” มาตลอดจนถึงทุกวันนี้ เช่น มีการพบว่าการลงทุนแบบ VI ที่ซื้อหุ้นถูกค่า PE ต่ำสามารถทำกำไรเกินกว่าปกติได้ แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงอยู่ดีว่า โมเดลของชาร์ปนั้นอาจจะไม่ถูกต้อง เพราะผลตอบแทนนั้น อาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องของความเสี่ยงหรือเบต้าอย่างเดียว ว่าที่จริง ฟามาเองก็เคยเสนอการศึกษาที่มีชื่อเสียงว่า มีปัจจัยอื่นที่กำหนดผลตอบแทนของหุ้นด้วยนอกจากความเสี่ยง และถ้าใช้โมเดลใหม่นั้น ก็อาจจะพบว่าผลตอบแทนที่เกินกว่าปกตินั้น เป็นผลตอบแทนที่เกิดจากปัจจัยอื่นที่ได้รับการชดเชย เช่น เป็นความเสี่ยงที่บริษัทจะเกิดการล้มละลายเป็นต้น ในขณะที่เบต้านั้นเป็นความเสี่ยงของความผันผวนของราคาหุ้น
ในฐานะของ VI ผมคิดว่าเราต้องมีเหตุผลและไม่ควรมีอคติ ผมเองเชื่อว่าตลาดโดยรวมแล้วน่าจะต้องมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่งขึ้นอยู่กับนักลงทุนหรือคนที่ “เล่น” อยู่ ดังนั้น อย่าไปคิดว่า “เรารู้แต่ตลาดไม่รู้” โดยเฉพาะในยามที่มีนักลงทุนมืออาชีพและ “VI” มากมายในตลาดในปัจจุบัน การวิเคราะห์ดูแบบง่าย ๆ แล้วสรุปว่าหุ้นถูกหรือหุ้นแพงนั้น ผมคิดว่าในช่วงเร็ว ๆ นี้ทำเงินได้ยาก
บิดาแห่งตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
แนวคิดหลักของทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพก็คือ ตลาดหุ้นนั้นประกอบไปด้วยนักลงทุนที่มีความรู้ มีเหตุผล มีข้อมูลเต็มเปี่ยม และลงมือซื้อขายหุ้นอย่างรวดเร็วทันทีเมื่อมีข่าวสารที่กระทบกับพื้นฐานของกิจการ กระบวนการนี้ทำให้ราคาของหุ้นปรับตัวเข้าสู่มูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงเสมอ ทำให้ไม่มีใครสามารถที่จะซื้อขายหุ้นทำกำไรได้เหนือกว่าปกติต่อเนื่องยาวนานได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพบอกว่า ราคาหุ้นทุกตัวในตลาดนั้นมีราคาที่เหมาะสม—โดยเฉลี่ย ดังนั้น การที่จะทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นโดยการวิเคราะห์หุ้น หาซื้อหุ้นที่มีราคาถูกและขายหุ้นที่แพง หรือหาจังหวะเข้าซื้อขายหุ้นนั้น ไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะใช้เทคนิคอะไร รวมถึงหลักการแบบ VI ที่เราเชื่อถือกันว่าทำให้เราสามารถทำกำไรมากกว่าปกติได้
ในการที่จะพิสูจน์ทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ ฟามายังแบ่งแยกระดับของประสิทธิภาพของตลาดออกเป็น 3 ระดับ นั่นคือ หนึ่ง “ประสิทธิภาพระดับอ่อน” หรือ “Weak Form” ซึ่งบอกว่า การใช้ข้อมูลเฉพาะด้านของราคาหุ้นมาคาดการณ์ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงในอนาคตนั้น ไม่สามารถทำได้ เพราะราคาหุ้นที่ขึ้นลงวันต่อวันหรือแม้แต่นาทีต่อนาทีนั้น ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ราคาหุ้นนั้นขยับขึ้นลงเหมือน “คนเดินสุ่ม” หรือ “Random Walk” ไม่มีแบบแผน เหตุผลก็คือ ข้อมูลที่เข้ามากระทบหุ้นนั้นก็เป็นข้อมูลที่ “เดินสุ่ม” เหมือนกัน ไม่มีใครคาดการณ์มาก่อนได้ ดังนั้น ราคาจึงผันผวนไปตามข้อมูลที่ผันผวนคาดเดาไม่ได้ในระยะสั้น
ถ้าตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพอย่างอ่อนจริง การใช้ “การวิเคราะห์ทางเทคนิค” เพื่อหา “แนวรับแนวต้าน” หรือ “ราคาเป้าหมาย” ของหุ้นหรือดัชนี หรือการกำหนดจุดซื้อหรือขาย ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ พูดง่าย ๆ ถ้าซื้อขายหุ้นตามสัญญาณทางเทคนิคนั้น ไม่มีทางทำกำไรได้ ถ้าทำไปเรื่อย ๆ โอกาสที่จะขาดทุนสูงมาก เพราะค่าคอมมิชชั่นจะกินหมด
ประสิทธิภาพของตลาดระดับสองคือ “ประสิทธิภาพระดับกลาง” หรือ “Semi-Strong Form” นั้น ฟามาบอกว่า ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพเนื่องจากมีนักลงทุนอาชีพหรือนักลงทุนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ตัวเลขข้อมูลต่าง ๆ ที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะจำนวนมาก พวกเขาเหล่านี้จะซื้อขายหุ้นทันทีที่มีข่าวหรือมีการแจ้งข้อมูลออกสู่สาธารณะ ทำให้ราคาหุ้นวิ่งเข้าสู่มูลค่าที่เหมาะสมทันทีที่มีข่าวหรือข้อมูล หรือทันทีที่ตลาดหุ้นเปิดทำการซื้อขาย ดังนั้น การนำข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะแล้วมาทำการซื้อขายหุ้นจึงไม่มีประโยชน์ ถ้าพูดกันในวงการหุ้นก็เรียกว่า ข่าวนั้น ถูก Discount ไปแล้ว หรือราคาหุ้นถูกตอบสนองไปหมดแล้ว ราคาหุ้นหลังจากนั้นจะไม่เกี่ยวกับข่าวเดิมอีกต่อไป
ถ้าประสิทธิภาพของตลาดระดับกลางเป็นความจริง การวิเคราะห์หุ้นโดยใช้ข้อมูลสาธารณะ เช่น ข้อมูลภาวะเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม หรือข้อมูลผลประกอบการและฐานะการเงินรวมถึงความเข้มแข็งทางด้านการตลาดหรืออื่น ๆ ของบริษัทก็จะไม่เป็นประโยชน์ เพราะข้อมูลเหล่านี้นักลงทุนคนอื่นจำนวนมากก็ “รู้อยู่แล้ว” ถ้าหุ้นนั้นดี เขาก็ซื้อกันไปแล้ว ซึ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาสูงเหมาะสมกับพื้นฐานของบริษัทอยู่แล้ว การเข้าไปซื้อจึงไม่สามารถทำกำไร “เกินกว่าปกติ” ได้ พูดง่าย ๆ หุ้นดี ราคาก็แพง หุ้นแย่ ราคาก็ถูก ไม่มีหุ้นดีราคาถูกหรอก เพราะถ้าราคาถูก คนก็เข้าไปซื้อ ราคาก็ต้องปรับตัวขึ้นจนแพงอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าทฤษฎีนี้เป็นจริง การวิเคราะห์หุ้นไม่ว่าจะใช้เทคนิคไหน รวมถึงหลักการแบบ Value Investment ก็ไม่สามารถเอาชนะตลาดได้อย่างต่อเนื่อง
สุดท้าย ก็คือ “ประสิทธิภาพระดับสูงของตลาด” หรือ “Strong Form” ซึ่งบอกว่า ไม่มีข้อมูลอะไร รวมถึง “ข้อมูลภายใน” ที่ยังไม่ได้เปิดเผยกับตลาดแต่รู้กันเฉพาะผู้บริหารหรือคนที่เกี่ยวข้องเช่น ผู้สอบบัญชี หรือหน่วยงานรัฐ ที่จะสามารถนำมาใช้ซื้อขายหุ้นทำกำไรได้เกินกว่าปกติ เหตุผลก็คือ ไม่มีใครสามารถ “ผูกขาด” ข้อมูลได้ คนที่รู้ข้อมูลภายในก็อาจจะมีหลายคน และดังนั้นพวกเขาก็แย่งกันซื้อขายหุ้นก่อนที่ข่าวจะออก ดังนั้น ราคาหุ้นก็สะท้อนไปก่อนที่คนใดคนหนึ่งจะลงมือทำ ดังนั้น การใช้ข้อมูลภายในก็ไม่สามารถทำให้สามารถทำกำไรเกินกว่าปกติไปได้
การพิสูจน์ความถูกต้องของตลาดที่มีประสิทธิภาพนั้น ฟามาบอกว่าทำได้ยากมาก ข้อแรกก็คือ เราจะต้องหาว่าหุ้นแต่ละตัวนั้น ควรจะมีผลตอบแทนที่เหมาะสมเท่าไรเสียก่อน ถึงจะบอกได้ว่าเราได้กำไร “เกินกว่าปกติ” หรือไม่ การหาว่าหุ้นแต่ละตัวควรจะมีราคาที่เหมาะสมหรือให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมนั้นจำเป็นต้องมีโมเดลหรือสูตรที่จะคิด หลังจากได้โมเดลนี้แล้ว เราถึงจะสามารถเปรียบเทียบได้ว่าเราสามารถใช้ข้อมูลหรือเทคนิคอะไรที่ทำให้เราสามารถทำกำไรได้เกินจากนั้นหรือไม่ ถ้าพบว่า ไม่มีเทคนิคอะไรที่ทำผลตอบเกินกว่าปกติต่อเนื่องยาวนานเลยก็แสดงว่าตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพสูง ถ้าเราใช้ข้อมูลสาธารณะประเมินมูลค่าหุ้นแบบ VI แล้วสามารถทำกำไรได้มากกว่าปกติก็แสดงว่าตลาดยังไม่มีประสิทธิภาพในระดับกลาง ถ้าเราสามารถใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งใช้แต่ข้อมูลด้านราคาหุ้นอย่างเดียวแล้วสามารถทำกำไรได้มากกว่าปกติได้ก็แสดงว่าตลาดหุ้นไม่มีประสิทธิภาพเลย
หลังจากบทความของ ฟามา ออกมาแล้ว นักวิชาการก็สามารถพัฒนาโมเดลที่บอกว่าหุ้นแต่ละตัวควรจะมีมูลค่าหรือให้ผลตอบแทนเท่าไรต่อปี นำโดย มาร์โควิตซ์และชาร์ป ซึ่งบอกว่า ผลตอบแทนของหลักทรัพย์ที่เหมาะสมแต่ละตัวนั้นขึ้นอยู่กับ “ความเสี่ยง” หรือค่า เบต้า ถ้าหุ้นตัวนั้นเสี่ยงมากหรือ “เบต้าสูง” ผลตอบแทนที่เหมาะสมก็จะต้องมาก ถ้าเสี่ยงน้อย ผลตอบแทนก็น้อย ถ้าไม่เสี่ยงเลยก็ได้ผลตอบแทนเท่ากับพันธบัตรรัฐบาล และนี่ก็กลายเป็น “ทฤษฎีทางการเงินสมัยใหม่” ที่นักศึกษาทางการเงินทุกคนต้องเรียน และทั้งมาร์โควิตซ์และชาร์ป ต่างก็ได้รับรางวัลโนเบลทั้งคู่ก่อนหน้านี้
การพิสูจน์ว่าตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายเป็น “ดรามา” มาตลอดจนถึงทุกวันนี้ เช่น มีการพบว่าการลงทุนแบบ VI ที่ซื้อหุ้นถูกค่า PE ต่ำสามารถทำกำไรเกินกว่าปกติได้ แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงอยู่ดีว่า โมเดลของชาร์ปนั้นอาจจะไม่ถูกต้อง เพราะผลตอบแทนนั้น อาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องของความเสี่ยงหรือเบต้าอย่างเดียว ว่าที่จริง ฟามาเองก็เคยเสนอการศึกษาที่มีชื่อเสียงว่า มีปัจจัยอื่นที่กำหนดผลตอบแทนของหุ้นด้วยนอกจากความเสี่ยง และถ้าใช้โมเดลใหม่นั้น ก็อาจจะพบว่าผลตอบแทนที่เกินกว่าปกตินั้น เป็นผลตอบแทนที่เกิดจากปัจจัยอื่นที่ได้รับการชดเชย เช่น เป็นความเสี่ยงที่บริษัทจะเกิดการล้มละลายเป็นต้น ในขณะที่เบต้านั้นเป็นความเสี่ยงของความผันผวนของราคาหุ้น
ในฐานะของ VI ผมคิดว่าเราต้องมีเหตุผลและไม่ควรมีอคติ ผมเองเชื่อว่าตลาดโดยรวมแล้วน่าจะต้องมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่งขึ้นอยู่กับนักลงทุนหรือคนที่ “เล่น” อยู่ ดังนั้น อย่าไปคิดว่า “เรารู้แต่ตลาดไม่รู้” โดยเฉพาะในยามที่มีนักลงทุนมืออาชีพและ “VI” มากมายในตลาดในปัจจุบัน การวิเคราะห์ดูแบบง่าย ๆ แล้วสรุปว่าหุ้นถูกหรือหุ้นแพงนั้น ผมคิดว่าในช่วงเร็ว ๆ นี้ทำเงินได้ยาก