[Loser Voice] กรณี “สตาร์บัคส์ – สตาร์บัง” : หรือเพราะไทยไม่ได้เป็นมหาอำนาจ?
โดย : TonyMao_NK51
E – Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook : Tonymao Nk
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งประเทศกรีซยังเป็นมหาอำนาจของโลกตะวันตก นักคิด นักปราชญ์ นักปรัชญามากมายถือกำเนิดขึ้นที่นี่ รวมทั้ง Socretes ด้วย ทว่าชะตากรรมของเขาช่างน่าเศร้านัก ทั้งที่ตลอดชีวิตเดินทางสั่งสอนประชาชนถึงคุณธรรมจริยธรรม แต่กลับถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฏ ต้องถูกจองจำและถูกบีบให้ดื่มยาพิษจนตาย ซึ่งวีรกรรมที่ทำให้เขาถูกจดจำ นั่นคือแทนที่เขาจะแหกคุกหนีตามที่มิตรสหายแนะนำ แต่เขากลับยอมตายด้วยโทษทัณฑ์จากความผิดที่ไม่ได้ก่อ เพียงเพราะ..เขาต้องการให้ระบบกฎหมายยังคงอยู่ ( แม้ว่ามันจะไม่ยุติธรรมเลยก็ตาม )”
เรื่องร้อนประจำสัปดาห์นี้ คงหนีไม่พ้น
Starbucks ( สตาร์บัคส์ ) แบรนด์กาแฟยักษ์ใหญ่ระดับโลก กำลังจะแจ้งความจับลุงคนหนึ่งที่ขายกาแฟแบบรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ในชื่อ
Starbung ( สตาร์บัง ) ฐานละเมิดสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้า แน่นอนมันได้กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ ระหว่างฝ่ายที่มองว่าสตาร์บัคส์ทำถูกแล้ว เพราะแม้เจตนาของลุงบังจะไม่ได้ลอกเครื่องหมายการค้ามาทั้งหมดเพื่อหวังให้เข้าใจผิด หากเป็นเพียงการนำมาดัดแปลงให้ดูตลกขบขันเท่านั้น แต่เมื่อทำแล้วได้ประโยชน์ รายได้เพิ่มขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง กับอีกฝ่ายที่มองว่าสตาร์บัคส์ขูดรีดคนจนและทำเกินกว่าเหตุ เนื่องจากเจตนาของลุงบัง ไม่ได้ต้องการลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้า เป็นเพียงการนำมาล้อเลียนเท่านั้น รวมถึงลุงบังก็ไม่ได้เปิดร้านกาแฟเป็นหลักแหล่งและมีสาขามากมาย ย่อมไม่มีศักยภาพที่จะเป็นคู่แข่งได้อยู่แล้ว จึงไม่น่าจะผิดอะไร
แล้วเกี่ยวอะไรกับ Socretes?..เผอิญว่าผมไม่ใช่คนโลกสวยอย่างบรรดาชนชั้นกลางผู้ดีทั้งหลายในเว็บไซต์บางแห่ง ที่เชื่อว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย แม้ว่ามันจะไม่มีความเป็นธรรมเลยก็ตามแบบที่ Socretes เชื่อ ตรงกันข้าม ถ้าผมเจอสถานการณ์แบบเดียวกัน ผมจะหนี และอาจจะไปคอยยุยงปลุกปั่น ( หรือเรียกแบบสุภาพหน่อยว่าให้ความรู้ ) อย่างลับๆ เงียบๆ กับประชาชนถึงระบบกฎหมายที่มันไม่เป็นธรรม เพื่อปฏิเสธมันทั้งแบบสันติและแบบสงคราม ก็นะ..เมื่อระบบมันแย่ แล้วทำไมเราจะต้องทนรักษามันเล่า? ก็ต้องต่อต้านขัดขืน จนกว่าระบบนั้นจะยุติธรรมจริงๆ จึงจะยอมรับและปฏิบัติตาม
แล้วอะไรคือความไม่ยุติธรรมในกรณีนี้? เป็นที่ทราบกันดี ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสถิติการละเมิดลิขสิทธิ์มากเป็นอันดับ 3 ของโลก ส่วนอันดับที่ 1 เป็นของ
“เทพมังกร” สาธารณรัฐประชาชนจีน ( ที่คนไทยชอบเรียกว่าจีนแดงนั่นแหละ ) และอันดับ 2 เป็นของ
“เทพหมีขาว” รัสเซีย เอ่ยกันแบบนี้คงเห็นภาพได้ไม่ยาก สินค้ายี่ห้อแปลกๆ แต่ราคาถูกของจีนหาได้ง่ายดาย เช่นเดียวกัน หากใครเป็นแฟน DVD ผี จะพบว่าหนังจำนวนไม่น้อย มีการ Default Setting ทั้ง Subtitle และเสียงพากย์เป็นภาษารัสเซีย ( ซึ่งเราก็ต้องมาปรับเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษอีกทีหนึ่ง )
คำถามคือ..ชาติตะวันตกทำอะไร 2 ชาตินี้ แบบที่ทำกับช้างน้อยอย่างสยามประเทศ ( ผมไม่อยากให้ฉายาบ้านเราว่าช้างศึกจริงๆ เพราะมองตรงไหนก็อ่อนด้อยไปหมด ) บ้างหรือไม่? แน่นอนละคงต้องเคยทำ แต่ปัจจุบันคาดว่าคงไม่ทำแล้ว เพราะฐานการผลิตของตะวันตกโดยเฉพาะ
“เทพอินทรี” สหรัฐอเมริกา ไปอยู่ที่จีนเกือบทั้งหมด ขณะที่รัสเซียก็เป็นผู้ดูแลความมั่นคงทางพลังงานในสหภาพยุโรป
ดังนั้นก็อยู่นิ่งๆ เงียบๆ กันไป เพราะตะวันตกต้องพึ่งพา 2 ประเทศนี้อย่างมาก ในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของตน ตรงกันข้ามกับไทย ตะวันตกไม่ได้ผูกพันอะไรในแง่มิติทางเศรษฐกิจมากนัก เพราะระบบเศรษฐกิจไทยมาจากทุนคนญี่ปุ่นและทุนคนไทยเชื้อสายจีนเสียมากกว่า ( หลักฐานคือช่วงน้ำท่วม 2554 ที่รัฐบาลกลัวว่าอุตสาหกรรมญี่ปุ่นจะย้ายหนีไปที่อื่น ขณะที่เศรษฐกิจของไทยก็อยู่ในมือเศรษฐีที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนแทบทั้งสิ้น )
และเพราะไทยไม่ได้เป็น
“มหาอำนาจทางการทหาร” อย่างที่รัสเซียกับจีนเป็น เราจึงถูกกดดันบีบคั้นจากมหาอำนาจอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง เพราะหากมองอย่างไม่โลกสวย ( และควรจะโลกมืดด้วยซ้ำ เพราะโลกนี้มันมืดมากกว่าสวยงามอยู่แล้ว ) ยิ่งประเทศที่เศรษฐกิจมีขนาดใหญ่มากเท่าไร กำลังทหารและยุทโธปกรณ์อันทันสมัยก็จะต้องมีมากขึ้นไปด้วย เพราะต้องใช้ในการข่มขวัญทางจิตวิทยารวมกับรัฐชาติอื่นๆ หรือใช้จริงหากจำเป็น เพื่อรักษาผลประโยชน์อย่างมหาศาลทั่วโลกของตน เว็บไซต์ด้านการทหารชื่อดังอย่าง
globalfirepower.com ระบุว่าสหรัฐอเมริกามีกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก รัสเซียเป็นอันดับสองและจีนเป็นอันดับสาม ส่วนไทยนั้นอยู่เพียงอันดับที่ 20 เท่านั้น
เห็นได้ชัดถึงความ
“2 มาตรฐาน” อย่างชัดเจน เพราะทั้งสหรัฐอเมริกา จีนและรัสเซีย ( บวกด้วยอังกฤษและฝรั่งเศส ) มีศักดิ์ศรีเท่ากันในฐานะ
“เทพผู้ปกครองโลก” ในนามสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( UNSC ) ซึ่งก็มีแค่ 5 ชาติเท่านั้น ที่เหลือหากเปรียบเทียบอย่างตรงไปตรงมา ก็เป็นได้แค่มนุษย์ต่ำต้อย ที่เป็นเพียงร่างทรงของบรรดาเทพทั้ง 5 ไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่านั้น ( ส่วนไทยตอนนี้เป็นร่างทรงของเทพองค์ไหน ก็ลองคิดกันเอาเอง ) แน่นอนเทพด้วยกัน พลังเท่ากัน ย่อมไม่ต้องการงัดข้อกันเอง จึงมากดดัน บีบบังคับพวกมนุษย์อ่อนแอแถวนี้ดีกว่า
ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้น คือบรรดา
“ติ่งศิวิไลซ์โลกสวยตามกระแสอารยะตะวันตกนิยม” ในประเทศไทยนี่แหละ ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการประณามลุงบังบ้าง เชียร์ให้สตาร์บัคส์ฟ้องหนักๆ บ้าง หรืออยากให้รัฐบาลไทยเข้มงวดกับลิขสิทธิ์ให้เท่า EU บ้าง ประมาณว่าถ้าคุณใช้ของละเมิดลิขสิทธิ์ก็มีความผิดด้วย ทั้งที่ในประเทศจีน สินค้าที่เครื่องหมายการค้าออกมาในลักษณะเดียวกับสตาร์บัง ( โปรดดูข่าวในกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/30946217 ) มีขายเกลื่อนไปหมด โดยที่รัฐบาลจีนแกล้งหลับตาซะข้างหนึ่ง อย่างมากพอโดนพวกตะวันตกกดดันมา ก็เตือนพอเป็นพิธี แต่ไม่ต้องการปราบปรามอย่างจริงจัง เพราะต้องการให้มีสินค้าราคาประหยัด ออกมาให้ประชากรรายได้น้อยใช้ และเป็นการสร้างรายได้ให้กับประชาชนรากหญ้าในจีนได้อีกทางหนึ่ง เพราะสินค้าดังกล่าวมักทำในโรงงานหรือครัวเรือนเล็กๆ ( SMEs ) มากกว่าจะเป็นบริษัทใหญ่ๆ ที่ก็จะผลิตสินค้าอีกเกรดหนึ่ง ในแบรนด์ใหม่เฉพาะตน
เราจึงเห็นเมืองจีนมีทั้งสินค้าเกรดล่าง หรือของที่ทำเครื่องหมายการค้าเชิงล้อเลียน ( ย้ำว่าล้อเลียน ไม่ได้ลอกมาโดยมีเจตนาให้เข้าใจผิดว่าเป็นของแท้ ) สำหรับขายคนทั่วไปที่รายได้น้อยในประเทศ และสินค้าเกรดเยี่ยม มีแบรนด์ของตัวเองพร้อมส่งออกไปรุกตลาดในต่างประเทศ เช่นโทรศัพท์มือถือ ที่มีทั้ง I ปลอม , S ปลอม ราคาเครื่องละไม่กี่พันบาท ขายและใช้กันขำๆ ในประเทศและประเทศยากจนทั้งหลาย พร้อมกับที่มีแบรนด์ดังอย่าง Huawei ที่วันนี้ก้าวสู่ตลาดโลกได้แล้วอย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งผมว่าเป็น Model ที่ดีมากกับการพัฒนาของไทย ด้านหนึ่งเรามีของถูกให้พี่น้องรากหญ้าใช้ อีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการบางรายอาจเริ่มจากจุดนี้ เพื่อพัฒนาไปสู่การผลิตสินค้า Premium ของตนเองได้ในอนาคต
( อย่าให้เอ่ยชื่อ รองเท้าบางยี่ห้อที่ดังๆ ตอนนี้ จำได้ว่าสมัยที่วางขายใหม่ๆ ตามตลาดนัด ตัวอักษรและสีสัน คล้ายกับแบรนด์ดังของต่างชาติมากๆ จนเมื่อเริ่มทำโฆษณาออก TV ได้นี่แหละ ถึงเปลี่ยนไปเป็นเครื่องหมายการค้าเฉพาะของตัวเอง เพราะเป้าหมายการทำตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว )
เห็นกันหรือยังครับ? ชาติมหาอำนาจและ UN มันยุติธรรมตรงไหน? กลไกพวกนี้ใครมีอำนาจ ก็มักจะใช้ในการกดดันบีบบังคับประเทศที่เล็กกว่าอยู่แล้ว ส่วนบรรดาผู้มีอำนาจเหมือนกัน ก็จะไม่ทำอะไรกันมากนัก นอกจากตำหนิพอเป็นพิธี เพราะต่างก็มีผลประโยชน์ร่วมกัน
ดังนั้นผมถึงมองว่า..ใครที่ยังโลกสวยเชื่อถือว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย กฎหมายดีที่สุดถูกที่สุด โดยไม่ได้ดูว่าทั้งคนเขียนกฏและคนใช้กฏ ได้กระทำการบนความเท่าเทียมกันหรือไม่? แล้วยังมาโจมตีเพื่อนร่วมชาติด้วยกันเอง
ผมมองว่าคนพวกนี้
“ไร้เดียงสา” จริงๆ
แล้วพบกันใหม่ครับ
---------------------------------
ปล.ฝากรูปขำๆ
TUNA ของจีน ล้อเลียนแบรนด์ดังอย่าง PUMA
Starbung ของไทย ล้อเลียนแบรนด์ดังอย่าง Starbucks
ปล.2 ฟังเพลงนี้ด้วย จะได้อารมณ์มาก
[Loser Voice] กรณี “สตาร์บัคส์ – สตาร์บัง” : หรือเพราะไทยไม่ได้เป็นมหาอำนาจ?
โดย : TonyMao_NK51
E – Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook : Tonymao Nk
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งประเทศกรีซยังเป็นมหาอำนาจของโลกตะวันตก นักคิด นักปราชญ์ นักปรัชญามากมายถือกำเนิดขึ้นที่นี่ รวมทั้ง Socretes ด้วย ทว่าชะตากรรมของเขาช่างน่าเศร้านัก ทั้งที่ตลอดชีวิตเดินทางสั่งสอนประชาชนถึงคุณธรรมจริยธรรม แต่กลับถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฏ ต้องถูกจองจำและถูกบีบให้ดื่มยาพิษจนตาย ซึ่งวีรกรรมที่ทำให้เขาถูกจดจำ นั่นคือแทนที่เขาจะแหกคุกหนีตามที่มิตรสหายแนะนำ แต่เขากลับยอมตายด้วยโทษทัณฑ์จากความผิดที่ไม่ได้ก่อ เพียงเพราะ..เขาต้องการให้ระบบกฎหมายยังคงอยู่ ( แม้ว่ามันจะไม่ยุติธรรมเลยก็ตาม )”
เรื่องร้อนประจำสัปดาห์นี้ คงหนีไม่พ้น Starbucks ( สตาร์บัคส์ ) แบรนด์กาแฟยักษ์ใหญ่ระดับโลก กำลังจะแจ้งความจับลุงคนหนึ่งที่ขายกาแฟแบบรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ในชื่อ Starbung ( สตาร์บัง ) ฐานละเมิดสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้า แน่นอนมันได้กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ ระหว่างฝ่ายที่มองว่าสตาร์บัคส์ทำถูกแล้ว เพราะแม้เจตนาของลุงบังจะไม่ได้ลอกเครื่องหมายการค้ามาทั้งหมดเพื่อหวังให้เข้าใจผิด หากเป็นเพียงการนำมาดัดแปลงให้ดูตลกขบขันเท่านั้น แต่เมื่อทำแล้วได้ประโยชน์ รายได้เพิ่มขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง กับอีกฝ่ายที่มองว่าสตาร์บัคส์ขูดรีดคนจนและทำเกินกว่าเหตุ เนื่องจากเจตนาของลุงบัง ไม่ได้ต้องการลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้า เป็นเพียงการนำมาล้อเลียนเท่านั้น รวมถึงลุงบังก็ไม่ได้เปิดร้านกาแฟเป็นหลักแหล่งและมีสาขามากมาย ย่อมไม่มีศักยภาพที่จะเป็นคู่แข่งได้อยู่แล้ว จึงไม่น่าจะผิดอะไร
แล้วเกี่ยวอะไรกับ Socretes?..เผอิญว่าผมไม่ใช่คนโลกสวยอย่างบรรดาชนชั้นกลางผู้ดีทั้งหลายในเว็บไซต์บางแห่ง ที่เชื่อว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย แม้ว่ามันจะไม่มีความเป็นธรรมเลยก็ตามแบบที่ Socretes เชื่อ ตรงกันข้าม ถ้าผมเจอสถานการณ์แบบเดียวกัน ผมจะหนี และอาจจะไปคอยยุยงปลุกปั่น ( หรือเรียกแบบสุภาพหน่อยว่าให้ความรู้ ) อย่างลับๆ เงียบๆ กับประชาชนถึงระบบกฎหมายที่มันไม่เป็นธรรม เพื่อปฏิเสธมันทั้งแบบสันติและแบบสงคราม ก็นะ..เมื่อระบบมันแย่ แล้วทำไมเราจะต้องทนรักษามันเล่า? ก็ต้องต่อต้านขัดขืน จนกว่าระบบนั้นจะยุติธรรมจริงๆ จึงจะยอมรับและปฏิบัติตาม
แล้วอะไรคือความไม่ยุติธรรมในกรณีนี้? เป็นที่ทราบกันดี ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสถิติการละเมิดลิขสิทธิ์มากเป็นอันดับ 3 ของโลก ส่วนอันดับที่ 1 เป็นของ “เทพมังกร” สาธารณรัฐประชาชนจีน ( ที่คนไทยชอบเรียกว่าจีนแดงนั่นแหละ ) และอันดับ 2 เป็นของ “เทพหมีขาว” รัสเซีย เอ่ยกันแบบนี้คงเห็นภาพได้ไม่ยาก สินค้ายี่ห้อแปลกๆ แต่ราคาถูกของจีนหาได้ง่ายดาย เช่นเดียวกัน หากใครเป็นแฟน DVD ผี จะพบว่าหนังจำนวนไม่น้อย มีการ Default Setting ทั้ง Subtitle และเสียงพากย์เป็นภาษารัสเซีย ( ซึ่งเราก็ต้องมาปรับเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษอีกทีหนึ่ง )
คำถามคือ..ชาติตะวันตกทำอะไร 2 ชาตินี้ แบบที่ทำกับช้างน้อยอย่างสยามประเทศ ( ผมไม่อยากให้ฉายาบ้านเราว่าช้างศึกจริงๆ เพราะมองตรงไหนก็อ่อนด้อยไปหมด ) บ้างหรือไม่? แน่นอนละคงต้องเคยทำ แต่ปัจจุบันคาดว่าคงไม่ทำแล้ว เพราะฐานการผลิตของตะวันตกโดยเฉพาะ “เทพอินทรี” สหรัฐอเมริกา ไปอยู่ที่จีนเกือบทั้งหมด ขณะที่รัสเซียก็เป็นผู้ดูแลความมั่นคงทางพลังงานในสหภาพยุโรป
ดังนั้นก็อยู่นิ่งๆ เงียบๆ กันไป เพราะตะวันตกต้องพึ่งพา 2 ประเทศนี้อย่างมาก ในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของตน ตรงกันข้ามกับไทย ตะวันตกไม่ได้ผูกพันอะไรในแง่มิติทางเศรษฐกิจมากนัก เพราะระบบเศรษฐกิจไทยมาจากทุนคนญี่ปุ่นและทุนคนไทยเชื้อสายจีนเสียมากกว่า ( หลักฐานคือช่วงน้ำท่วม 2554 ที่รัฐบาลกลัวว่าอุตสาหกรรมญี่ปุ่นจะย้ายหนีไปที่อื่น ขณะที่เศรษฐกิจของไทยก็อยู่ในมือเศรษฐีที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนแทบทั้งสิ้น )
และเพราะไทยไม่ได้เป็น “มหาอำนาจทางการทหาร” อย่างที่รัสเซียกับจีนเป็น เราจึงถูกกดดันบีบคั้นจากมหาอำนาจอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง เพราะหากมองอย่างไม่โลกสวย ( และควรจะโลกมืดด้วยซ้ำ เพราะโลกนี้มันมืดมากกว่าสวยงามอยู่แล้ว ) ยิ่งประเทศที่เศรษฐกิจมีขนาดใหญ่มากเท่าไร กำลังทหารและยุทโธปกรณ์อันทันสมัยก็จะต้องมีมากขึ้นไปด้วย เพราะต้องใช้ในการข่มขวัญทางจิตวิทยารวมกับรัฐชาติอื่นๆ หรือใช้จริงหากจำเป็น เพื่อรักษาผลประโยชน์อย่างมหาศาลทั่วโลกของตน เว็บไซต์ด้านการทหารชื่อดังอย่าง globalfirepower.com ระบุว่าสหรัฐอเมริกามีกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก รัสเซียเป็นอันดับสองและจีนเป็นอันดับสาม ส่วนไทยนั้นอยู่เพียงอันดับที่ 20 เท่านั้น
เห็นได้ชัดถึงความ “2 มาตรฐาน” อย่างชัดเจน เพราะทั้งสหรัฐอเมริกา จีนและรัสเซีย ( บวกด้วยอังกฤษและฝรั่งเศส ) มีศักดิ์ศรีเท่ากันในฐานะ “เทพผู้ปกครองโลก” ในนามสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( UNSC ) ซึ่งก็มีแค่ 5 ชาติเท่านั้น ที่เหลือหากเปรียบเทียบอย่างตรงไปตรงมา ก็เป็นได้แค่มนุษย์ต่ำต้อย ที่เป็นเพียงร่างทรงของบรรดาเทพทั้ง 5 ไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่านั้น ( ส่วนไทยตอนนี้เป็นร่างทรงของเทพองค์ไหน ก็ลองคิดกันเอาเอง ) แน่นอนเทพด้วยกัน พลังเท่ากัน ย่อมไม่ต้องการงัดข้อกันเอง จึงมากดดัน บีบบังคับพวกมนุษย์อ่อนแอแถวนี้ดีกว่า
ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้น คือบรรดา “ติ่งศิวิไลซ์โลกสวยตามกระแสอารยะตะวันตกนิยม” ในประเทศไทยนี่แหละ ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการประณามลุงบังบ้าง เชียร์ให้สตาร์บัคส์ฟ้องหนักๆ บ้าง หรืออยากให้รัฐบาลไทยเข้มงวดกับลิขสิทธิ์ให้เท่า EU บ้าง ประมาณว่าถ้าคุณใช้ของละเมิดลิขสิทธิ์ก็มีความผิดด้วย ทั้งที่ในประเทศจีน สินค้าที่เครื่องหมายการค้าออกมาในลักษณะเดียวกับสตาร์บัง ( โปรดดูข่าวในกระทู้นี้ http://ppantip.com/topic/30946217 ) มีขายเกลื่อนไปหมด โดยที่รัฐบาลจีนแกล้งหลับตาซะข้างหนึ่ง อย่างมากพอโดนพวกตะวันตกกดดันมา ก็เตือนพอเป็นพิธี แต่ไม่ต้องการปราบปรามอย่างจริงจัง เพราะต้องการให้มีสินค้าราคาประหยัด ออกมาให้ประชากรรายได้น้อยใช้ และเป็นการสร้างรายได้ให้กับประชาชนรากหญ้าในจีนได้อีกทางหนึ่ง เพราะสินค้าดังกล่าวมักทำในโรงงานหรือครัวเรือนเล็กๆ ( SMEs ) มากกว่าจะเป็นบริษัทใหญ่ๆ ที่ก็จะผลิตสินค้าอีกเกรดหนึ่ง ในแบรนด์ใหม่เฉพาะตน
เราจึงเห็นเมืองจีนมีทั้งสินค้าเกรดล่าง หรือของที่ทำเครื่องหมายการค้าเชิงล้อเลียน ( ย้ำว่าล้อเลียน ไม่ได้ลอกมาโดยมีเจตนาให้เข้าใจผิดว่าเป็นของแท้ ) สำหรับขายคนทั่วไปที่รายได้น้อยในประเทศ และสินค้าเกรดเยี่ยม มีแบรนด์ของตัวเองพร้อมส่งออกไปรุกตลาดในต่างประเทศ เช่นโทรศัพท์มือถือ ที่มีทั้ง I ปลอม , S ปลอม ราคาเครื่องละไม่กี่พันบาท ขายและใช้กันขำๆ ในประเทศและประเทศยากจนทั้งหลาย พร้อมกับที่มีแบรนด์ดังอย่าง Huawei ที่วันนี้ก้าวสู่ตลาดโลกได้แล้วอย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งผมว่าเป็น Model ที่ดีมากกับการพัฒนาของไทย ด้านหนึ่งเรามีของถูกให้พี่น้องรากหญ้าใช้ อีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการบางรายอาจเริ่มจากจุดนี้ เพื่อพัฒนาไปสู่การผลิตสินค้า Premium ของตนเองได้ในอนาคต
( อย่าให้เอ่ยชื่อ รองเท้าบางยี่ห้อที่ดังๆ ตอนนี้ จำได้ว่าสมัยที่วางขายใหม่ๆ ตามตลาดนัด ตัวอักษรและสีสัน คล้ายกับแบรนด์ดังของต่างชาติมากๆ จนเมื่อเริ่มทำโฆษณาออก TV ได้นี่แหละ ถึงเปลี่ยนไปเป็นเครื่องหมายการค้าเฉพาะของตัวเอง เพราะเป้าหมายการทำตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว )
เห็นกันหรือยังครับ? ชาติมหาอำนาจและ UN มันยุติธรรมตรงไหน? กลไกพวกนี้ใครมีอำนาจ ก็มักจะใช้ในการกดดันบีบบังคับประเทศที่เล็กกว่าอยู่แล้ว ส่วนบรรดาผู้มีอำนาจเหมือนกัน ก็จะไม่ทำอะไรกันมากนัก นอกจากตำหนิพอเป็นพิธี เพราะต่างก็มีผลประโยชน์ร่วมกัน
ดังนั้นผมถึงมองว่า..ใครที่ยังโลกสวยเชื่อถือว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย กฎหมายดีที่สุดถูกที่สุด โดยไม่ได้ดูว่าทั้งคนเขียนกฏและคนใช้กฏ ได้กระทำการบนความเท่าเทียมกันหรือไม่? แล้วยังมาโจมตีเพื่อนร่วมชาติด้วยกันเอง
ผมมองว่าคนพวกนี้ “ไร้เดียงสา” จริงๆ
แล้วพบกันใหม่ครับ
---------------------------------
ปล.ฝากรูปขำๆ
TUNA ของจีน ล้อเลียนแบรนด์ดังอย่าง PUMA
Starbung ของไทย ล้อเลียนแบรนด์ดังอย่าง Starbucks
ปล.2 ฟังเพลงนี้ด้วย จะได้อารมณ์มาก