ดูเหมือนว่า จะเกิด กรณี "ไปไหนมา สามวา สองศอก" อยู่บ่อยครั้ง เมื่อจำต้อง "เจรจา" กับพวก ชาวพุทธชายขอบ ตัวอย่างเช่น
ใครคนหนึ่ง พยายาม "เซ้าซี้" เอาเป็นเอาตาย ด้วยการถามผม แบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า "การระลึกชาติ" ในพระสูตรไหนเป็นมิจฉาทิฐิ
แต่มันก็มิได้ถามเปล่าๆ นะครับ มีการ "ตั้งการ์ด" รอไว้แล้ว ด้วยการ โพสต์ข้อความว่า ...........
"ธรรมที่พระสารีบุตรกล่าวว่า ควรทำให้แจ้ง ก็เป็นธรรมที่เป็นมิจฉาทิฐิด้วยหรือ ?"
ในเมื่ออุตส่าห์ถามโง่ๆ ได้ถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็จำต้องตอบอย่าง "ฉลาดๆ" ดังนี้ว่า
ก็แล้ว ธรรม ซึ่งท่านพระสารีบุตรกล่าวว่าควรทำให้แจ้งนั้น มันเป็นมิจฉาทิฐิ หรือเปล่าล่ะ ?
ประเด็นมันก็ง่ายๆ เพียงแค่ว่า หาก จุตูปปาตญาณ และ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ นั้นเป็นญาณที่กำหนดรู้แล้ว
อย่างถูกต้อง ด้วยวิปัสสนาญาณ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ นั่นย่อมเป็นการ ระลึกชาติ ฯ ที่เป็น สัมมาทิฐิ
ซึ่งเรื่องแค่นี้ ผู้ที่เป็นนักศึกษาพระพุทธศาสนา ย่อมสามารถ "พิจารณา" ได้เอง มิใช่หรือ ?
และที่สำคัญ ก็คือ ผมได้อธิบาย "หลักการ" สำหรับพิจารณาเอาไว้แล้ว
ใน กระทู้ พระพุทธเจ้า ตรัสเรื่อง การระลึกชาติ ของ เจ้าชายสิทธัตถะ
ซึ่งถ้ามันผู้นั้น จะตั้งใจอ่าน ให้ละเอียดสักนิด ก็ไม่จำเป็นต้องมาถาม เซ้าซี้ ให้เป็นที่น่ารำคาญ แต่อย่างใด
เว้นไว้เสียแต่ว่า คำตอบมันจะไม่ถูกใจ เสียมากกว่า
หรือมิใช่ ?
ที่น่าแปลกใจ ก็คือ ทั้งๆ ที่กระทู้มุ่งที่จะถามว่า การระลึกชาติในพระสูตรใดที่เป็น มิจฉาทิฐิ ผมก็แค่ "ตอบ" ไปตามความเป็นจริงว่า
การระลึกชาติ ของพวกนักบวชบางคน(ในโลกนี้) ตามหลักฐานจาก สีลขันธวรรค จัดเป็น การระลึกชาติที่เป็น มิจฉาทิฐิ
ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่ครับ
แต่ปรากฏว่ามี "นางอิจฉา" บางตัว เกิดอาการ "คลั่ง" น้ำลายฟูมปาก ออกมาฟาดงวงฟาดงา ว่า ผม(จ้าวนครเมฆขาว)
จะอาศัยเพียงแค่ หลักฐาน การระลึกชาติของพวกนอกศาสนา แล้วมาปฏิเสธว่า การระลึกชาติไม่มีอยู่จริงได้อย่างไร ?
ขออนุญาต กล่าวสั้นๆ ว่า เมิง จะบ้าเหรอ ?
ผมแค่บอกว่า การระลึกชาติแบบใดเป็น สัมมาทิฐิ และ แบบใดเป็น มิจฉาทิฐิ เท่านั้นเอง
ซึ่งการที่ผมสามารถแยกแยะได้อย่างนี้ มันย่อมเป็นการกล่าว "ยอมรับ"
อย่างชัดแจ้ง อยู่แล้วว่า จุตูปปาตญาณ และ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
ประเด็น ที่ผมแสดง จึงมีอยู่เพียงว่า มันจริงแบบไหน ? (มิจฉาทิฐิ หรือ สัมมาทิฐิ)
ดังนั้น "นางหญิงบ้า" ซึ่งน้ำลายกำลังฟูมปากอยู่นั้น
มีหลักฐานยืนยันไหมว่า ผมเคยกล่าวปฏิเสธ จุตูปปาตญาณ และ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ?
*********************************************************************************
เรื่องยังไม่จบ นะครับ
นางหญิงบ้า น้ำลายฟูมปากผู้นั้น ยังพล่าม เพ้อเจ้อ ไม่หยุด ในทำนองว่า
ในเมื่อไม่ยอมรับว่า ปฏิจจสมุปบาทข้ามภพชาติ มีอยู่จริง
แล้วยังจะยกพระบาลี ที่เกี่ยวกับเรื่อง เวียนว่ายตายเกิด มาอ้างอยู่ได้อย่างไร ?
ขออนุญาต กล่าวสั้นๆ เป็นครั้งที่ ๒ ว่า เมิง จะบ้าเหรอ ?
ผมกล่าวอย่างชัดเจนว่า ปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพชาติ ไม่มีอยู่ในชั้นพุทธพจน์
จะมี คำอธิบายแบบนี้อยู่ก็แต่เพียงในชั้น อรรถกถา ฎีกา เท่านั้น !
ได้ยิน "ชัด" แล้วนะครับ
ประเด็นที่พึงเข้าใจให้ดีๆ ก็คือ ผมมิได้เคยปฏิเสธเรื่อง "เวียนว่ายตายเกิด" หรือ เรื่อง "ชาติก่อน ชาติหน้า" นะครับ
ถ้ามี หลักฐาน ดังว่า ก็จงนำมาแสดง ให้เห็นอย่าง "ชัดเจน" ด้วย อย่าเอาแต่ "คิด" ปรุงแต่งฟุ้งซ่าน
แล้ว กล่าวตู่ ผู้อื่นแบบ "หน้าด้านๆ" เลยนะครับ มันน่าทุเรศน่ะ !
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ แล้วทำไม ผมจึงจะอ้างพระสูตร ที่เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้หละครับ ?
ก็ผมอ้างพระสูตรเหล่านั้น ด้วยความเข้าใจ อย่างถูกต้องว่า นั่นเป็น สมมุติกถา
พระพุทธเจ้าตรัสด้วย "โวหารโลก" เป็นการสื่อสารด้วยภาษาแบบ "โลกๆ"
โดยมีอรรถอันพึงนำไปว่า ไม่มีอยู่จริงในระดับปรมัตถ์
หรือมีใครคิดว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ในสมมุติกถา เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจริงแท้ บ้างเล่า ?
เมื่อเข้าใจ และ รู้จักแยกแยะ สมมุติ ปรมัตถ์ ได้อย่างถูกต้องแล้ว
มันก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า
การเกิด มี
การตาย มี
แต่ ผู้เกิด หรือ ผู้ตาย มันไม่มี(อยู่จริง)
หากกล่าวว่า โสดาบัน ตาย
กรณีอย่างนี้ พูดด้วยภาษาโลก เป็นสมมุติกถา ใครๆ เขาก็ฟังรู้เรื่องกันทั้งนั้นแหละ
แต่นั่นต้อง "รู้" ว่าแท้ที่จริงแล้ว ในระดับปรมัตถ์ มีแต่การเกิดดับไปตามเหตุปัจจัยของ "สังขาร" เท่านั้น
โสดาบัน นี่เป็นเพียงแค่ สมมุติบัญญัติ มันเกิดตายจริงๆ ไม่ได้หรอก และ "หอบหิ้ว" ข้ามภพข้ามชาติ ก็ไม่ได้ อีกเช่นกัน
(เรื่อง โสดาบัน ข้ามภพข้ามชาติ พิจารณาโดยละเอียดได้จาก กระทู้ ติสโสปิกถา กับ การบิดเบือนอย่างเมามัน ของอัญเดียรถีย์
http://ppantip.com/topic/31117059 นะครับ)
สรุปแล้ว เรื่อง การระลึกชาติ มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่ต้องรู้จักแยกแยะอย่างถูกต้องด้วยว่า กรณีใดเป็นสัมมาทิฐิ และ กรณีใดเป็นมิจฉาทิฐิ
หากแต่การระลึกชาติ ก็มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับ ปฏิจจสมุปบาท เลย หากว่ายังเห็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่ในนั้น ด้วยตัณหา อุปาทาน
การอ้างว่า "ชาติ" ในคำว่า ระลึกชาติ ก็คือ "ชาติ" ในปฏิจสมุปบาท นี่เป็นการ "แถกแถ" อย่างโง่ๆ นะครับ
เพราะถ้าอ้างได้อย่างนี้แล้ว "เพลงชาติ" ก็คงเป็น ปฏิจจสมุปบาท ของ พระพุทธเจ้า ด้วยกระมัง นี่ยังไม่รวม องค์การสหประชาชาติ และ ฯลฯ
เลิก แถกแถ อย่างโง่ๆ เสียที นะครับ เพราะตราบเท่าที่ยังไม่เห็นว่า นั่นสักแต่ว่าเป็น สังขาร ที่เกิดดับตามเหตุปัจจัย
การระลึกชาตินั้น ก็เป็นเพียงแค่การระลึกชาติแบบมิจฉาทิฐิ อยู่นั่นเอง เข้าใจไหมครับ ?
สวัสดี
ปล. กระทู้นี้ หลักฐานและภาพประกอบ อาจน้อยไปสักหน่อย เพราะไม่มีเวลาจัดการ นะครับ
กรณี การระลึกชาติ ........ เหมือนเป็น คำถาม ที่ไม่ต้องการฟัง คำตอบ !
ใครคนหนึ่ง พยายาม "เซ้าซี้" เอาเป็นเอาตาย ด้วยการถามผม แบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า "การระลึกชาติ" ในพระสูตรไหนเป็นมิจฉาทิฐิ
แต่มันก็มิได้ถามเปล่าๆ นะครับ มีการ "ตั้งการ์ด" รอไว้แล้ว ด้วยการ โพสต์ข้อความว่า ...........
"ธรรมที่พระสารีบุตรกล่าวว่า ควรทำให้แจ้ง ก็เป็นธรรมที่เป็นมิจฉาทิฐิด้วยหรือ ?"
ในเมื่ออุตส่าห์ถามโง่ๆ ได้ถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็จำต้องตอบอย่าง "ฉลาดๆ" ดังนี้ว่า
ก็แล้ว ธรรม ซึ่งท่านพระสารีบุตรกล่าวว่าควรทำให้แจ้งนั้น มันเป็นมิจฉาทิฐิ หรือเปล่าล่ะ ?
ประเด็นมันก็ง่ายๆ เพียงแค่ว่า หาก จุตูปปาตญาณ และ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ นั้นเป็นญาณที่กำหนดรู้แล้ว
อย่างถูกต้อง ด้วยวิปัสสนาญาณ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ นั่นย่อมเป็นการ ระลึกชาติ ฯ ที่เป็น สัมมาทิฐิ
ซึ่งเรื่องแค่นี้ ผู้ที่เป็นนักศึกษาพระพุทธศาสนา ย่อมสามารถ "พิจารณา" ได้เอง มิใช่หรือ ?
และที่สำคัญ ก็คือ ผมได้อธิบาย "หลักการ" สำหรับพิจารณาเอาไว้แล้ว
ใน กระทู้ พระพุทธเจ้า ตรัสเรื่อง การระลึกชาติ ของ เจ้าชายสิทธัตถะ
ซึ่งถ้ามันผู้นั้น จะตั้งใจอ่าน ให้ละเอียดสักนิด ก็ไม่จำเป็นต้องมาถาม เซ้าซี้ ให้เป็นที่น่ารำคาญ แต่อย่างใด
เว้นไว้เสียแต่ว่า คำตอบมันจะไม่ถูกใจ เสียมากกว่า
หรือมิใช่ ?
ที่น่าแปลกใจ ก็คือ ทั้งๆ ที่กระทู้มุ่งที่จะถามว่า การระลึกชาติในพระสูตรใดที่เป็น มิจฉาทิฐิ ผมก็แค่ "ตอบ" ไปตามความเป็นจริงว่า
การระลึกชาติ ของพวกนักบวชบางคน(ในโลกนี้) ตามหลักฐานจาก สีลขันธวรรค จัดเป็น การระลึกชาติที่เป็น มิจฉาทิฐิ
ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่ครับ
แต่ปรากฏว่ามี "นางอิจฉา" บางตัว เกิดอาการ "คลั่ง" น้ำลายฟูมปาก ออกมาฟาดงวงฟาดงา ว่า ผม(จ้าวนครเมฆขาว)
จะอาศัยเพียงแค่ หลักฐาน การระลึกชาติของพวกนอกศาสนา แล้วมาปฏิเสธว่า การระลึกชาติไม่มีอยู่จริงได้อย่างไร ?
ขออนุญาต กล่าวสั้นๆ ว่า เมิง จะบ้าเหรอ ?
ผมแค่บอกว่า การระลึกชาติแบบใดเป็น สัมมาทิฐิ และ แบบใดเป็น มิจฉาทิฐิ เท่านั้นเอง
ซึ่งการที่ผมสามารถแยกแยะได้อย่างนี้ มันย่อมเป็นการกล่าว "ยอมรับ"
อย่างชัดแจ้ง อยู่แล้วว่า จุตูปปาตญาณ และ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
ประเด็น ที่ผมแสดง จึงมีอยู่เพียงว่า มันจริงแบบไหน ? (มิจฉาทิฐิ หรือ สัมมาทิฐิ)
ดังนั้น "นางหญิงบ้า" ซึ่งน้ำลายกำลังฟูมปากอยู่นั้น
มีหลักฐานยืนยันไหมว่า ผมเคยกล่าวปฏิเสธ จุตูปปาตญาณ และ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ?
*********************************************************************************
เรื่องยังไม่จบ นะครับ
นางหญิงบ้า น้ำลายฟูมปากผู้นั้น ยังพล่าม เพ้อเจ้อ ไม่หยุด ในทำนองว่า
ในเมื่อไม่ยอมรับว่า ปฏิจจสมุปบาทข้ามภพชาติ มีอยู่จริง
แล้วยังจะยกพระบาลี ที่เกี่ยวกับเรื่อง เวียนว่ายตายเกิด มาอ้างอยู่ได้อย่างไร ?
ขออนุญาต กล่าวสั้นๆ เป็นครั้งที่ ๒ ว่า เมิง จะบ้าเหรอ ?
ผมกล่าวอย่างชัดเจนว่า ปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพชาติ ไม่มีอยู่ในชั้นพุทธพจน์
จะมี คำอธิบายแบบนี้อยู่ก็แต่เพียงในชั้น อรรถกถา ฎีกา เท่านั้น !
ได้ยิน "ชัด" แล้วนะครับ
ประเด็นที่พึงเข้าใจให้ดีๆ ก็คือ ผมมิได้เคยปฏิเสธเรื่อง "เวียนว่ายตายเกิด" หรือ เรื่อง "ชาติก่อน ชาติหน้า" นะครับ
ถ้ามี หลักฐาน ดังว่า ก็จงนำมาแสดง ให้เห็นอย่าง "ชัดเจน" ด้วย อย่าเอาแต่ "คิด" ปรุงแต่งฟุ้งซ่าน
แล้ว กล่าวตู่ ผู้อื่นแบบ "หน้าด้านๆ" เลยนะครับ มันน่าทุเรศน่ะ !
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ แล้วทำไม ผมจึงจะอ้างพระสูตร ที่เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้หละครับ ?
ก็ผมอ้างพระสูตรเหล่านั้น ด้วยความเข้าใจ อย่างถูกต้องว่า นั่นเป็น สมมุติกถา
พระพุทธเจ้าตรัสด้วย "โวหารโลก" เป็นการสื่อสารด้วยภาษาแบบ "โลกๆ"
โดยมีอรรถอันพึงนำไปว่า ไม่มีอยู่จริงในระดับปรมัตถ์
หรือมีใครคิดว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ในสมมุติกถา เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจริงแท้ บ้างเล่า ?
เมื่อเข้าใจ และ รู้จักแยกแยะ สมมุติ ปรมัตถ์ ได้อย่างถูกต้องแล้ว
มันก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า
การเกิด มี
การตาย มี
แต่ ผู้เกิด หรือ ผู้ตาย มันไม่มี(อยู่จริง)
หากกล่าวว่า โสดาบัน ตาย
กรณีอย่างนี้ พูดด้วยภาษาโลก เป็นสมมุติกถา ใครๆ เขาก็ฟังรู้เรื่องกันทั้งนั้นแหละ
แต่นั่นต้อง "รู้" ว่าแท้ที่จริงแล้ว ในระดับปรมัตถ์ มีแต่การเกิดดับไปตามเหตุปัจจัยของ "สังขาร" เท่านั้น
โสดาบัน นี่เป็นเพียงแค่ สมมุติบัญญัติ มันเกิดตายจริงๆ ไม่ได้หรอก และ "หอบหิ้ว" ข้ามภพข้ามชาติ ก็ไม่ได้ อีกเช่นกัน
(เรื่อง โสดาบัน ข้ามภพข้ามชาติ พิจารณาโดยละเอียดได้จาก กระทู้ ติสโสปิกถา กับ การบิดเบือนอย่างเมามัน ของอัญเดียรถีย์ http://ppantip.com/topic/31117059 นะครับ)
สรุปแล้ว เรื่อง การระลึกชาติ มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่ต้องรู้จักแยกแยะอย่างถูกต้องด้วยว่า กรณีใดเป็นสัมมาทิฐิ และ กรณีใดเป็นมิจฉาทิฐิ
หากแต่การระลึกชาติ ก็มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับ ปฏิจจสมุปบาท เลย หากว่ายังเห็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่ในนั้น ด้วยตัณหา อุปาทาน
การอ้างว่า "ชาติ" ในคำว่า ระลึกชาติ ก็คือ "ชาติ" ในปฏิจสมุปบาท นี่เป็นการ "แถกแถ" อย่างโง่ๆ นะครับ
เพราะถ้าอ้างได้อย่างนี้แล้ว "เพลงชาติ" ก็คงเป็น ปฏิจจสมุปบาท ของ พระพุทธเจ้า ด้วยกระมัง นี่ยังไม่รวม องค์การสหประชาชาติ และ ฯลฯ
เลิก แถกแถ อย่างโง่ๆ เสียที นะครับ เพราะตราบเท่าที่ยังไม่เห็นว่า นั่นสักแต่ว่าเป็น สังขาร ที่เกิดดับตามเหตุปัจจัย
การระลึกชาตินั้น ก็เป็นเพียงแค่การระลึกชาติแบบมิจฉาทิฐิ อยู่นั่นเอง เข้าใจไหมครับ ?
สวัสดี
ปล. กระทู้นี้ หลักฐานและภาพประกอบ อาจน้อยไปสักหน่อย เพราะไม่มีเวลาจัดการ นะครับ