จดหมายจาก พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ ใน Face book มาให้ทัศนา
6 ตุลาคม 2556
เรียน ประธานมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป
สืบเนื่องจากคณะทำงานโครงการเตรียมงานรำลึก 100 ปี ชาตกาล อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จะจัดการประชุมสัมมนาใหญ่ในหัวข้อเรื่อง “งานมหากาพย์จำนำข้าว สู่มหกรรมกอบกู้สุจริต” ในวันที่ 15 ตุลาคม 2556
ผมขอเรียนประธานมูลนิธิและกรรมการว่า การที่มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะผู้ร่วมจัดงานนี้ นับเป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลอย่างน้อยสองประการ
(1) ในแง่ความเป็นวิชาการ จากหัวข้อการสัมมนาและหัวข้อการอภิปรายย่อย มีการใช้คำพูดอย่าง “โง่” “โกง” “กินรวบ” “เสียหาย” “ล้มเหลวแล้วล้มลุก” ซึ่งเท่ากับเป็น “การตัดสิน” แล้วว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลโกงและทุจริต ยิ่งบรรดาวิทยากรที่เชิญมาพูด โดยเฉพาะประเภทที่หมดราคาแบบ “เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” ใช้แต่คำบริภาษหยาบช้าวิจารณ์ผู้นำหญิง มันแสดงอคติอย่างชัดเจน ไม่เหลือพื้นที่ให้ “ความเป็นกลาง”
อนึ่ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงานสัมมนา "คิดใหม่อนาคตข้าวไทย" ซึ่งมีประเด็นหลักน่าจะคล้ายคลึงกับการจัดงานสัมมนารำลึก 100 ปี ชาตกาล อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ในครั้งนี้ จะเห็นว่าวิทยากรหลักในการสัมมนาทีดีอาร์ไอยังมีทั้งอธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ ทีดีอาร์ไอ และดร. วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร ทีดีอาร์ไอ (
http://tdri.or.th/seminars/rethinking-thai-rice/)
ทั้งหัวข้อการสัมมนาและวิทยากรของทีดีอาร์ไอ (ซึ่งมีความหลากหลายรวมทั้งหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องด้วย) แสดงถึงความยึดมั่นในหลักการที่ใช้วิชาการเพื่อแสวงหาคำตอบให้กับสังคม หรืออย่างงานวิจัย “ยุทธศาสตร์ข้าวไทย การวิจัยและพัฒนาข้าวไทยและการมองไปข้างหน้า” ของทีดีอาร์ไอ (
http://tdri.or.th/research/a149/) ก็มุ่งใช้วิชาการเพื่อแสวงหาคำตอบให้กับสังคม
แต่หัวข้อและวิทยากรที่ปรากฏในรายการ “งานมหากาพย์จำนำข้าว สู่มหกรรมกอบกู้สุจริต” ไม่ได้แสดงถึงความเป็นวิชาการที่ต้องการค้นคว้าวิจัย เพื่อหาคำตอบให้สังคม แต่เป็นการตัดสินเรียบร้อยแล้วว่าโครงการจำนำข้าวเป็น “การโกงและทุจริต” และมานั่งด่าให้สนุกปากเท่านั้นเอง
กิจกรรมด้านวิชาการที่มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปทำ ควรมุ่งต่อยอดความคิดทางวิชาการ ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มการเมืองข้างหนึ่งที่ใช้ “ด่า” อีกกลุ่มหนึ่ง แต่ควรเพิ่มพูนความรู้สังคมอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่เป็นเวทีเพื่อประณามคนอื่น
(2) การเชิญบรรดา “ขาประจำ” ที่ด่ารัฐบาลข้างเดียวมาตลอด (ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ, ประมนต์ สุธีวงศ์ และเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นอาทิ) และบางคนยังใช้ถ้อยคำหยาบช้า ผิดวิสัยของวิญญูชนอย่างอาจารย์ป๋วยเจ้าของชื่องานรำลึก ไม่มีทางที่จะถางทาง นำไปสู่ “สันติประชาธรรม” อย่างที่อ.ป๋วยต้องการได้ แต่จะเป็นการตอกลิ่มความขัดแย้งให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ที่เขียนมาทั้งหมดเพื่อเรียนว่า ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นกรรมการมูลนิธิฯ และได้รับประโยชน์จากการเป็นกรรมการมากยิ่งกว่าจะได้รับใช้ตอบแทนมูลนิธิฯ มาบัดนี้ ผมเห็นแนวทางการทำงานของมูลนิธิฯ ซึ่งเบี่ยงเบนจากความคิดของผมไปมาก เกรงว่าคงไม่สามารถให้การช่วยเหลืออย่างไรได้อีก ผมขอเป็นอดีตกรรมการมูลนิธิฯ โดยให้มีผลนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ขอแสดงความนับถือ
พิภพ อุดมอิทธิพงศ์
ปล. สืบเนื่องงานสัมมนานี้
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=375107465952534&set=a.274545992675349.64258.274512142678734&type=1&theater¬if_t=like
จดหมายลาออก
6 ตุลาคม 2556
เรียน ประธานมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป
สืบเนื่องจากคณะทำงานโครงการเตรียมงานรำลึก 100 ปี ชาตกาล อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จะจัดการประชุมสัมมนาใหญ่ในหัวข้อเรื่อง “งานมหากาพย์จำนำข้าว สู่มหกรรมกอบกู้สุจริต” ในวันที่ 15 ตุลาคม 2556
ผมขอเรียนประธานมูลนิธิและกรรมการว่า การที่มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะผู้ร่วมจัดงานนี้ นับเป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลอย่างน้อยสองประการ
(1) ในแง่ความเป็นวิชาการ จากหัวข้อการสัมมนาและหัวข้อการอภิปรายย่อย มีการใช้คำพูดอย่าง “โง่” “โกง” “กินรวบ” “เสียหาย” “ล้มเหลวแล้วล้มลุก” ซึ่งเท่ากับเป็น “การตัดสิน” แล้วว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลโกงและทุจริต ยิ่งบรรดาวิทยากรที่เชิญมาพูด โดยเฉพาะประเภทที่หมดราคาแบบ “เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” ใช้แต่คำบริภาษหยาบช้าวิจารณ์ผู้นำหญิง มันแสดงอคติอย่างชัดเจน ไม่เหลือพื้นที่ให้ “ความเป็นกลาง”
อนึ่ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงานสัมมนา "คิดใหม่อนาคตข้าวไทย" ซึ่งมีประเด็นหลักน่าจะคล้ายคลึงกับการจัดงานสัมมนารำลึก 100 ปี ชาตกาล อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ในครั้งนี้ จะเห็นว่าวิทยากรหลักในการสัมมนาทีดีอาร์ไอยังมีทั้งอธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ ทีดีอาร์ไอ และดร. วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร ทีดีอาร์ไอ (http://tdri.or.th/seminars/rethinking-thai-rice/)
ทั้งหัวข้อการสัมมนาและวิทยากรของทีดีอาร์ไอ (ซึ่งมีความหลากหลายรวมทั้งหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องด้วย) แสดงถึงความยึดมั่นในหลักการที่ใช้วิชาการเพื่อแสวงหาคำตอบให้กับสังคม หรืออย่างงานวิจัย “ยุทธศาสตร์ข้าวไทย การวิจัยและพัฒนาข้าวไทยและการมองไปข้างหน้า” ของทีดีอาร์ไอ (http://tdri.or.th/research/a149/) ก็มุ่งใช้วิชาการเพื่อแสวงหาคำตอบให้กับสังคม
แต่หัวข้อและวิทยากรที่ปรากฏในรายการ “งานมหากาพย์จำนำข้าว สู่มหกรรมกอบกู้สุจริต” ไม่ได้แสดงถึงความเป็นวิชาการที่ต้องการค้นคว้าวิจัย เพื่อหาคำตอบให้สังคม แต่เป็นการตัดสินเรียบร้อยแล้วว่าโครงการจำนำข้าวเป็น “การโกงและทุจริต” และมานั่งด่าให้สนุกปากเท่านั้นเอง
กิจกรรมด้านวิชาการที่มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปทำ ควรมุ่งต่อยอดความคิดทางวิชาการ ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มการเมืองข้างหนึ่งที่ใช้ “ด่า” อีกกลุ่มหนึ่ง แต่ควรเพิ่มพูนความรู้สังคมอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่เป็นเวทีเพื่อประณามคนอื่น
(2) การเชิญบรรดา “ขาประจำ” ที่ด่ารัฐบาลข้างเดียวมาตลอด (ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ, ประมนต์ สุธีวงศ์ และเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นอาทิ) และบางคนยังใช้ถ้อยคำหยาบช้า ผิดวิสัยของวิญญูชนอย่างอาจารย์ป๋วยเจ้าของชื่องานรำลึก ไม่มีทางที่จะถางทาง นำไปสู่ “สันติประชาธรรม” อย่างที่อ.ป๋วยต้องการได้ แต่จะเป็นการตอกลิ่มความขัดแย้งให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ที่เขียนมาทั้งหมดเพื่อเรียนว่า ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นกรรมการมูลนิธิฯ และได้รับประโยชน์จากการเป็นกรรมการมากยิ่งกว่าจะได้รับใช้ตอบแทนมูลนิธิฯ มาบัดนี้ ผมเห็นแนวทางการทำงานของมูลนิธิฯ ซึ่งเบี่ยงเบนจากความคิดของผมไปมาก เกรงว่าคงไม่สามารถให้การช่วยเหลืออย่างไรได้อีก ผมขอเป็นอดีตกรรมการมูลนิธิฯ โดยให้มีผลนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ขอแสดงความนับถือ
พิภพ อุดมอิทธิพงศ์
ปล. สืบเนื่องงานสัมมนานี้
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=375107465952534&set=a.274545992675349.64258.274512142678734&type=1&theater¬if_t=like