กลยุทธ์ 7 เซียนหุ้น ตอนที่ 1

Credit : stock2morrow
-------

กลยุทธ์ 7 เซียนหุ้น จากบทสัทภาษณ์ของ เอกพิทยา เอี่ยมคงเอก

1. เสี่ยปู่..................; คุณสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล

2. เสี่ยแตงโม.............; คุณสมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์

3. นายแพทย์ ยง..........; นพ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม

4 . เฮียไฮ้ส้มตำ...........; คุณธนกฟต เลิศผาติ

5. ศิริวัฒน์ แซนด์วิช.......; คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ

6. เสี่ยป๋อง.................; คุณวัชระ แก้วสว่าง

7. เสี่ยยักษ์................; คุณวิชัย วชิรพงศ์

ต่างคนต่างสไตล์ เรามาดูเคล็ดลับการลงทุนของแต่ละท่านกันดีกว่าครับ

-------------------------------------------------------

1. เสี่ยปู่

เน้นคุณค่า

การลงทุนในหุ้นของเสี่ยปู่นั้น จะลงทุนโดยเน้นคุณค่า (VI) เป็นอันดับแรก
จะเลือกลงทุนในบริษัทชั้นเยี่ยม ที่บริหารโดยผู้บริหารที่มีความสามารถ
พิจารณาจากผลกำไรของบริษัท ในการพิจารณานั้นไม่ได้ดูจากกำไรในปีใดปีหนึ่ง
หรือว่ากำไรจากไตรมาสใด ไตรมาสหนึ่ง ควรดู 5-10 ปี
ต้องดูศักยภาพและคุณภาพของกำไร
ต้องมีกำไรอย่างถาวร จ่ายเงินปันผลมากขึ้นเรื่อยๆ
ตัวบริษัทต้องมีความแข็งแกร่ง มีความเสี่ยงต่ำ
และที่สำคัญต้องคำนึงถึงส่วนเผื่อ เพื่อความปลอดภัย

หาบริษัทที่มีกำไรปีละห้าถึงสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี

โดยศึกษาข้อมูลจากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ดูการจ่ายปันผล ยิ่งมากยิ่งดี กำไรย้อนหลังก็เช่นกัน ยิ่งมากยิ่งดี

พิจารณาถึงความสามารถกำไรที่ถาวร

คือ ดูลักษณะของกิจการ เช่น ธุรกิจอาหาร
กำไรเค้าก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ ดูวิสัยทัศน์ผู้บริหาร
ว่ามีการลงทุนเพิ่มตลอดเวลาหรือไม่

ราคาลงเราจะซื้อ

ถ้าราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงมามาก ก็เป็นปกติวิสัยที่เราจะลงทุนเพิ่ม
กลยุทธใช้ก็คือ เมื่อราคาลงเราจะซื้อ เมื่อมีวิกฤติทุกครั้งเราจะซื้อ
เช่นมีระเบิดหรืออะไรแบบนี้เราก็ซื้อ

แนวโน้มตลาดเป็นอย่างไรมันไม่สำคัญเท่าไหร่
จะต้องเน้นตัวหุ้นที่เราสนใจเป็นสำคัญ

กลุ่มหุ้นที่เสี่ยปู่ชอบคือกลุ่มอาหาร

เพราะมีการเจริญเติบโตดี, กลุ่มอสังหาก็มีบางบริษัท
โดยปกติแล้วจะไม่ดูกลุ่มหุ้น แต่จะดูจากแนวโน้มของกำไรเป็นรายตัว
ถ้ามันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เราเชื่อมั่น
ซึ่งวิกฤติการเมืองอาจจะทำให้ราคาหุ้นลดลงชั่วคราว
แต่แนวโน้มระยะยาวมันยังขึ้นก็จะซื้อ

สรุป

ให้อ่านงบการเงินดูผลกำไร
เราก็จะคาดคะเนได้ว่าบริษัทจะเป็นอย่างไร
ดูแนวโน้มการเจริญเติบโต ง่ายๆ ก็ดูใน www.set.or.th

...............................................................

2. เสี่ยแตงโม

ขายต้องหมดภายในช่องสองช่อง

ในการซื้อขายหุ้นนั้นเราต้องดูว่าบริษัทมีกำไรแล้วหรือยัง
ดูว่าบริษัทใหญ่แค่ไหน สภาพคล่องมีแค่ไหน
หน้าจอสำคัญที่สุด จำนวนหุ้นในตลาดต้องมีเยอะ
เพราะสำคัญมาก เพราะเล่นเยอะ เล่นหนัก

ต้องการซื้อขายแค่ช่องสองช่อง

หมายความว่า เวลาขายต้องขายได้หมดภายในช่องสองช่อง
เช่น ในอดีตเคยเข้าไปเล่นในหุ้นเก็งกำไร ซึ่งมีแต่ bid และ offer หลอก
มาร์เก็ตเมคเกอร์สร้างขึ้นมาเอง
พอหมดหน้าที่ของเขาแล้ว ฟันหลอเลย ไม่มีบิดเลย
ผมอยากสั่งขายในราคาที่โอเค ผมอยากออกไปก่อน
ขาดทุนไม่เป็นไร แต่ขอให้ออกได้
ตรงนี้ที่ทำให้ตลาดกล่าวหาว่าผมทุบหุ้น
แต่ขอโทษเหอะผมเจ็บตัว ผมอยากออก อยากจะพ้นทุกข์
คนอื่นอาจจะบอกว่าทุบหุ้น แต่พูดจริงๆ แล้วคือ ผมหนีตาย

เลือกหุ้นเด่น

เด่นๆ คือสภาพคล่อง ตัวไหนเด่นสุดผมมักจะเลือกตัวนั้น
เช่น ปตต มีลูกหลายตัว แต่เลือกตัวที่พื้นฐานดีเด่นที่สุด
ผมมักจะสนใจหุ้นใหม่มากกว่าหุ้นเก่า
เหตุผลคือ หุ้นที่อยู่มานาน เวลามีนักลงทุนซื้อขายกัน จะมีคนติดกันตั้งเยอะ
คุณปู่คุณย่าเวลาหุ้นขึ้นมาแล้วติดอยู่ที่สูง นั่นแหละคือแรงต้าน
แต่ถ้าเป็นหุ้นใหม่ทุกคนกำไรหมด ไม่มีแรงต้าน
เวลาขึ้นทุกคนกำไรหมด

5-3-2

ยิ่งขึ้นต้องยิ่งซื้อ วิธีการซื้อของผมคือ 5-3-2
ถ้าเริ่มต้นซื้อหุ้นแล้วมันขึ้น ผมจะซื้อครึ่งนึงก่อน 50%
ถ้าขึ้นอีกก็จะซื้ออีก 30% ขึ้นอีกก็จะซื้ออีก 20% จนเต็มพอร์ต
ถ้าลงก็จะขายทันที ไม่เคยถัวเฉลี่ยขาลง
(เป็นที่น่าสังเกตว่านักลงทุนรายใหญ่ไม่มีใครเคยซื้อเฉลี่ยขาลง)

ทำการบ้านก่อนซื้อ

ก่อนที่เราจะซื้อหุ้นตัวไหน เราต้องทำการบ้านมาให้ดีก่อน
ดังนั้นเมื่อเราซื้อมันต้องขึ้น ถ้ามันลงก็ขายเหอะ
เดี๋ยวขาดทุนเยอะ แล้วกลับไปทำการบ้านใหม่

ขาลงให้ “เลิก”

เรื่องขาลง ถ้าขาลง ผมมักจะ “เลิก” หรือเล่นน้อยๆ ไม่เล่นเยอะ
กล้าถือหุ้นตัวที่กำไร ขายหุ้นตัวที่ขาดทุน
แต่คนส่วนใหญ่มักจะกล้าถือตัวที่ขาดทุน
เพราะว่าทุกคนคิดว่าเดี๋ยวมันก็ต้องขึ้น
แต่คำถามก็คือ แล้วเมื่อไหร่จะขึ้น
ตอนขายทำใจไม่ได้เพราะขาดทุนเยอะ
บางทีขายขาดทุนซีวิคไปหนึ่งคัน ก็ขายไปเหอะ
ไม่งั้นเบนซ์คุณหาย

เจ๊งต้องทำการบ้าน

ขาดทุนทุกครั้งต้องกลับมาทำการบ้านทุกครั้ง
เช่นเราดูบทวิเคราะห์เขาแนะให้เรา ซื้อ
แต่มันไม่ขึ้น หรือ ขึ้นมาแล้ว แล้วเราดันซื้ออีก
เวลาเค้าแนะให้ซื้อ ต้องดูที่ผ่านมาด้วยว่ามันขึ้นแล้วหรือยัง
ขึ้นไปแล้วขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าเกินสามสิบก็หยุดเหอะ
อย่างไปซื้อมันเลย เพราะมาร์เก็ตเมกเกอร์อาจจะพอใจในตรงนั้นแล้ว
ถ้าเค้าแนะนำแล้วยังไม่ขึ้น ก็ซื้อได้เลย

พักร้อนยามหุ้นลง

ถ้าช่วงหุ้นตกก็จะพักร้อน คงไม่ได้ลงทุนมากมายอะไร
อยากดูความชัดเจนของรัฐบาลก่อน
ไม่มั่นใจจะไม่เข้าไปลงทุน

สรุป

หลีกเลี่ยงหุ้นเก็งกำไร ที่มีการขึ้นลงหวือหวา
อยากจะให้ศึกษาข้อมูลให้ดี แล้วลงทุนในหหุ้นที่มีพื้นฐานดีกว่า
เพราะเป็นห่วงจริงๆ จากใจ
คืออยากให้ดูพื้นฐานจริงๆ
อย่างไปดูไล่ราคา
คือผมเข้าใจนะ คือพื้นฐานมันช้า มันอืด
แต่ด้วยใจจริงผมเป็นห่วง
ตลอดสิบสี่ปีที่ผมคลุกคลีกับหุ้นเก็งกำไรผลลัพธ์มันสาหัส
พวกอินไซด์ก็อย่าซี้ซั้วไปฟัง ไม่ดีหรอก

...............................................................

3. นายแพทย์ ยง

ความเสี่ยงคืออะไรก็ตามที่เราไม่รู้

สำหรับเคล็ดลับที่เป็นหัวใจในการลงทุน คือ
ผมเป็นคนไม่เสี่ยง ไม่ชอบความเสี่ยง

ลงทุนทุกครั้งต้องผ่านการคิดมาแล้วว่ามันไม่เสี่ยง

โดยส่วนใหญ่หลักการเรื่องความเสี่ยงของผมคือ
อะไรที่เราไม่รู้นั่นแหละคือความเสี่ยงทั้งนั้น

วันนี้คุณตอบได้ว่าจะทำอะไร

อาทิตย์หน้าคุณก็พอจะตอบได้ว่าจะต้องทำอะไร แต่ตอบได้น้อยลง
หกเดือนคุณอาจจะยังนึกไม่ออก ห้าปียังไม่รู้เลย
แล้วคุณจะรู้จักหุ้นได้ขนาดนั้นหรือเปล่า

เสี่ยง 3 เสี่ยง

ดังนั้นเรื่องความเสี่ยงจึงมี 3 เรื่องคือ

1. เรื่องความรู้ ถ้าเราไม่รู้ก็จะเสี่ยง
ถ้าผมรู้ไม่จริงผมก็จะไม่ซื้อ
จะซื้อก็ต่อเมื่อรู้จริง

2. เรื่องเวลา ยิ่งนานเรายิ่งพยากรณ์ยาก
ถ้าผมตอบไม่ได้ว่าห้าปีจะกำไรเท่าไหร่ผมก็จะไม่ถือ
แต่ถ้าผมรู้แค่สามปี ผมจะลงทุนแค่สามปี
ดังนั้นเราจึงต้องกำหนดความเสี่ยง

3. ขาดทุนคือความเสี่ยง
มื่อไหร่ขาดทุนคือขายทิ้ง
เมื่อไหร่คิดว่าเสี่ยงขาดทุนก็ต้องคัตลอส
สามข้อนี้ถ้าทำไม่ได้ก็คือเสี่ยง

ขาดทุนหลับสบาย

คนส่วนใหญ่ก็มีวิธีการเล่นต่างกัน ต่างคนก็ต่างสไตล์
แต่มีหลักการเดียวกัน นั่นคือ การบริหารความเสี่ยง
เมื่อไหร่ที่ขาดทุนก็ขายทิ้ง
คือวันไหนที่ขายหุ้นที่ขาดทุนออกไปเราจะนอนหลับ
แต่ถ้ามีหุ้นแล้วขาดทุนอยู่ในพอร์ต
จะนอนไม่หลับ

ปิงปอง

ในช่วงเศรษฐกิจยังไม่แน่นอนนั้น ถ้าขึ้นก็ขายลงก็ซื้อ
เล่นแบบปิงปอง ถ้าจะหวังผลกำไรร้อยเปอร์เซ็นต์คงไม่มี
อย่างมากก็สิบเปอร์เซ็นต์หรือว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็เต็มที่แล้ว

สรุป เลิกเล่นซะ

เลิกเล่นไปซะ หรือว่าถ้าจะอยู่ต่อ
สำหรับนักลงทุนรายใหม่คิดว่ามันค่อนข้างโหด
อย่าลืมว่าพวกผมอยู่ในตลาดตั้งแต่หกร้อยจุด
แล้วขึ้นไปพันเจ็ดร้อยจุด แล้วลงมาสองร้อย
ถามว่าพวกผมพอร์ตยังโตขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้คุณกำลังมาสู้กับพวกผมถูกหรือเปล่าครับ
คนที่เก่งน้อยกว่าผมตายไปหมดแล้ว

แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณได้เปรียบคือ พลังและความตั้งใจ
พวกผมมัน expire แล้ว อาศัยแต่ประสบการณ์
ตอนนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นขาลงของผมแล้ว
แต่ถ้าคุณมีพลัง คุณจะไล่ตามผมทัน

...............................................................

4. เฮียไฮ้ส้มตำ

เคล็ดลับ

เคล็ดลับใหญ่ๆ ของการเลือกหุ้นคือ

1. มีสภาพคล่องสูง โดยเปรียบเทียบกับพอร์ตของเราเอง
ว่าต้องเข้าออกได้สะดวก เช่นจะซื้อขายวันละห้าสิบล้าน
ต้องเข้าออกได้สะดวกภายในหนึ่งวัน สภาพคล่องต้องสูง

2.หุ้นต้องไม่ขึ้นมาก่อนแล้ว หุ้นมีสิทธิให้เลือกเยอะ
หุ้นส่วนใหญ่ที่ผมเลือกจะเป็นหุ้นที่อยู่ในช่วงสะสมกำลัง
ต้องรอให้มันปรับตัวก่อน เวลามันขึ้นจะไม่ซื้อเพิ่ม
เพราะคิดว่าแต่ละตัวจะมีมาร์เก็ตเมคเกอร์
รวมถึงพฤติกรรมของรายย่อย เวลาซื้อถึงจุดหนึ่งจะต้องหยุด
หรือว่าถ้าเป็นมาร์เก็ตเมคเกอร์ เขาก็จะมีตัวเลขอยู่ในใจ
ผมจะตีเฉลี่ยประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์
หากขึ้นมาใกล้ๆ เป้าหมาย เช่น 20 เปอร์เซ็นต์
ก็จะเริ่มทยอยขาย

ไม่ดีก็เฉยไว้

ถ้าตลาดไม่ดี ผมก็จะอยู่เฉยๆ

หุ้นปั่นตั้งจุดคัต

หุ้นเก็งกำไรถ้าจะห้ามเล่นคงยาก
ดังนั้นเวลาเล่นเราจึงต้องรู้ว่าเล่นกับใคร
ถ้าขาดทุนก็ต้องคัตทันที
ถ้าเล่นพื้นฐานก็คนละอย่าง
บางคนบอกซื้อเก็งกำไร แต่ถือมาเป็นปี
มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
เซียนทุกคนในที่นี้ก็เคยเล่นเก็งกำไรมาก่อน แต่รู้จักคัตลอสเป็น

........................................................................

5. ศิริวัฒน์ แซนวิช

ไม่เล่นมาร์จิ้น

กลยุทธแรกคืออย่าเล่นหุ้นมาร์จิ้น ถ้าใครเล่นอยู่ก็พยายามลดไปซะ
ไม่งั้นจะต้องมาขายแซนวิชเหมือนผม
ถ้าไม่มีเงินเยอะก็เล่นเท่าที่มี

เล่นพื้นฐาน ไม่เล่นเทคนิค

วิธีเลือกหุ้นคือ ต้องยึดพื้นฐานไว้ก่อน
เทคนิเคิลบ้านเรากราฟมันสร้างได้
ดังนั้นจึงพยายามให้ยึดพื้นฐานไว้ก่อน
เพราะมันเจ๊งเอาง่ายๆ เพราะไม่มีใครกล้าเสี่ยงขนาดนั้น

ขายแล้วขึ้น ซื้อแล้วลง

ผมเป็นเซียนก่อนพวกนี้อีก แล้วก็มีแผลมากกว่าพวกนี้อีก
ระดับผม ขายเสร็จหุ้นขึ้น ซื้อเสร็จหุ้นตก อันนี้ทำใจเหอะ

ถ้าซื้อแล้วตกอย่างพึ่งซื้อถัวเฉลี่ย

ถ้าจะซื้อ 100 ถ้ารู้ว่าซื้อแล้วตกก็ซื้อไว้ก่อน 10
ขายเสร็จแล้วมันต้องขึ้นก็ขายก่อน 10 หุ้น
ขายเพื่อให้มันขึ้น ที่ผมเล่น 10 ครั้ง ถูก 6 ครั้ง
ไสยศาสตร์มีจริง ไม่รู้มันเป็นอะไรก็ไม่รู้

ขายลิ่ง

ตกแล้วอย่ารีบถัว ดูสภาพตลาดนิดนึง ถ้ามันไมลึกก็ไปดูตัวอื่น
ที่นี้ทางด้านขาย ขายเสร็จมันขึ้น
ถ้าเรารู้จุดอ่อนตรงนี้ตั้งเป้าไว้เลยว่า 20 เปอร์เซ็นต์ฉันจะขายทำกำไร
เผอิญวันนั้นมันมาถึงแล้ว 20 เปอร์เซ็นต์ที่เราจะขาย
สภาพตลาดดี ขาย 10 หุ้น อีก 20 หุ้นตั้งลิ่งไปเลย
ไม่ต้องไปเฝ้าจอ เชื่อไม๊เดี๋ยวได้
มันอยู่ที่ดีมานด์กับซัพพลาย ไม่ได้อยู่ที่เรา
เราต้องรู้ลิมิตพอร์ตของเราด้วย

สรุป

หลักๆ ก็คือให้ดูพื้นฐาน ดูที่ พีอี พีบีวีกับสภาพคล่องเป็นสำคัญ

...........................................................................

ต่อตอนที่ 2  http://ppantip.com/topic/31094118
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่