อาสวะกิเลสสืบเนื่องอยู่แม้ขณะหลับ เหตุปัจจัยแห่งปฏิจสมุปบาทย่อมสืบทอดอยู่ แต่พระอรหันต์ทำให้สิ้นแลัวซึ่งอาสวะ
ดังนั้นผู้ที่มีกิเลสอยู่ เหตุปัจจัยแห่งปฏิจสมุทปบาท ย่อมสืบทอดเป็นปัจจัยอยู่ แม่ขณะหลับอยู่ก็ตาม แต่พระอรหันต์ นั้นสิ้นแล้วซึ่งอาวสวะ เสมอเป็นนิจนั่นเอง ดังที่พระอานนท์ กล่าวกับ สันทกะ ดังในพระไตรปิฏกเล่มที่ 13 ดังนี้.
สันทกสูตรที่ ๖
...
รู้ว่าเราหมดอาสวะได้อย่างไร
[๓๑๒] ท่านพระอานนท์ ก็ภิกษุใด เป็นพระอรหันต์ ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์
มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตนอันถึงแล้ว มีกิเลสเครื่อง
ประกอบสัตว์ไว้ในภพสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ เมื่อภิกษุนั้นเดินไปอยู่ก็ดี
หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี ความรู้ความเห็นว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นแล้วดังนี้
ปรากฏเสมอเป็นนิจหรือ?
ดูกรสันทกะ ถ้าเช่นนั้น เราจักทำอุปมาแก่ท่าน วิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมรู้
ทั่วถึงอรรถแห่งภาษิตได้ด้วยอุปมา เปรียบเหมือนมือและเท้าของบุรุษขาดไป เมื่อบุรุษนั้นเดินไป
อยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี มือและเท้าก็เป็นอันขาดอยู่เสมอเป็นนิจนั่นเอง
อนึ่ง เมื่อเขาพิจารณาย่อมรู้ได้ว่า มือและเท้าของเราขาดแล้ว ดังนี้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น เป็น
พระอรหันต์ ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว
มีประโยชน์ของตนอันถึงแล้ว มีกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะ
รู้โดยชอบ เมื่อเธอเดินไปอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี อาสวะทั้งหลายก็เป็น
อันสิ้นไปเสมอเป็นนิจนั่นเอง อนึ่ง เมื่อเธอพิจารณาย่อมรู้ได้ว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นแล้ว.
[๓๑๓] ท่านพระอานนท์ ก็ในธรรมวินัยนี้ มีภิกษุผู้นำ (ตน) ออกไปจากกิเลสและ
กองทุกข์มากเพียงไร?
ดูกรสันทกะ ในธรรมวินัยนี้ ภิกษุผู้นำ (ตน) ออกไปได้จากกิเลสและกองทุกข์นั้น
มีไม่ใช่ร้อยเดียว ไม่ใช่สองร้อย ไม่ใช่สามร้อย ไม่ใช่สี่ร้อย ไม่ใช่ห้าร้อย ความจริงมีอยู่
มากทีเดียว.
...
จบ สันทกสูตรที่ ๖.
อธิบาย >>> ผู้มีกิเลสอยู่ เมื่อเดินไปอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี อาสวะทั้งหลายก็สืบเนื่องไปเสมอเป็นนิจนั่นเอง
แต่สำหรับพระอรหันต์ เมื่อเดินไปอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี อาสวะทั้งหลายก็เป็น
อันสิ้นไปเสมอเป็นนิจนั่นเอง อนึ่ง เมื่อเธอพิจารณาย่อมรู้ได้ว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นแล้ว.
ซึ่งคือ ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ มีเหตุปัจจัยของปฏิจสมุทปบาท นั้นเกิดสืบเนื่องอยู่เสมอเป็นนิจ แม้หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี นั้นเอง
อาสวะกิเลสสืบเนื่องอยู่แม้ขณะหลับ เหตุปัจจัยแห่งปฏิจสมุปบาทย่อมสืบทอดอยู่ แต่พระอรหันต์ทำให้สิ้นแลัวซึ่งอาสวะ
ดังนั้นผู้ที่มีกิเลสอยู่ เหตุปัจจัยแห่งปฏิจสมุทปบาท ย่อมสืบทอดเป็นปัจจัยอยู่ แม่ขณะหลับอยู่ก็ตาม แต่พระอรหันต์ นั้นสิ้นแล้วซึ่งอาวสวะ เสมอเป็นนิจนั่นเอง ดังที่พระอานนท์ กล่าวกับ สันทกะ ดังในพระไตรปิฏกเล่มที่ 13 ดังนี้.
สันทกสูตรที่ ๖
...
รู้ว่าเราหมดอาสวะได้อย่างไร
[๓๑๒] ท่านพระอานนท์ ก็ภิกษุใด เป็นพระอรหันต์ ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์
มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตนอันถึงแล้ว มีกิเลสเครื่อง
ประกอบสัตว์ไว้ในภพสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ เมื่อภิกษุนั้นเดินไปอยู่ก็ดี
หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี ความรู้ความเห็นว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นแล้วดังนี้
ปรากฏเสมอเป็นนิจหรือ?
ดูกรสันทกะ ถ้าเช่นนั้น เราจักทำอุปมาแก่ท่าน วิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมรู้
ทั่วถึงอรรถแห่งภาษิตได้ด้วยอุปมา เปรียบเหมือนมือและเท้าของบุรุษขาดไป เมื่อบุรุษนั้นเดินไป
อยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี มือและเท้าก็เป็นอันขาดอยู่เสมอเป็นนิจนั่นเอง
อนึ่ง เมื่อเขาพิจารณาย่อมรู้ได้ว่า มือและเท้าของเราขาดแล้ว ดังนี้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น เป็น
พระอรหันต์ ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว
มีประโยชน์ของตนอันถึงแล้ว มีกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะ
รู้โดยชอบ เมื่อเธอเดินไปอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี อาสวะทั้งหลายก็เป็น
อันสิ้นไปเสมอเป็นนิจนั่นเอง อนึ่ง เมื่อเธอพิจารณาย่อมรู้ได้ว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นแล้ว.
[๓๑๓] ท่านพระอานนท์ ก็ในธรรมวินัยนี้ มีภิกษุผู้นำ (ตน) ออกไปจากกิเลสและ
กองทุกข์มากเพียงไร?
ดูกรสันทกะ ในธรรมวินัยนี้ ภิกษุผู้นำ (ตน) ออกไปได้จากกิเลสและกองทุกข์นั้น
มีไม่ใช่ร้อยเดียว ไม่ใช่สองร้อย ไม่ใช่สามร้อย ไม่ใช่สี่ร้อย ไม่ใช่ห้าร้อย ความจริงมีอยู่
มากทีเดียว.
...
จบ สันทกสูตรที่ ๖.
อธิบาย >>> ผู้มีกิเลสอยู่ เมื่อเดินไปอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี อาสวะทั้งหลายก็สืบเนื่องไปเสมอเป็นนิจนั่นเอง
แต่สำหรับพระอรหันต์ เมื่อเดินไปอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี อาสวะทั้งหลายก็เป็น
อันสิ้นไปเสมอเป็นนิจนั่นเอง อนึ่ง เมื่อเธอพิจารณาย่อมรู้ได้ว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นแล้ว.
ซึ่งคือ ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ มีเหตุปัจจัยของปฏิจสมุทปบาท นั้นเกิดสืบเนื่องอยู่เสมอเป็นนิจ แม้หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี นั้นเอง