งวดนี้ลองทำ Spoil เนื้อเรื่องของการ์ตูนที่ไม่ได้ทำมานานดูแฮะ แต่พอดีเห็นเนื้อเรื่องของเล่มนี้สนุกแล้วก็น่าสนใจอยู่มาก (บวกกับเนื้อเรื่องบทพูดไม่เยอะเลยไม่เสียเวลาทำความเข้าใจมาก
) เลยเอามาเล่าข้ามเล่มให้ฟังครับ
อนึ่ง ใครเห็นว่าเล่มนี้ห่างจากเล่มไทยค่อนข้างไกลกลัวจะอ่านไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องกลัวนะครับ เพราะเรื่องนี้ทั้งเล่มแทบจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแก้แค้นและเรื่องแก้ปมในใจของแซสซี่ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องหลักมากนัก เรียกว่าเป็นการปิดปมของแซสซี่ในส่วนนี้เพื่อรอรับเนื้อเรื่องหลักที่จะดำเนินต่อไปในอนาคตมากกว่า เพราะงั้นถึงไม่ได้ตามอ่านเนื้อเรื่องหลักมาก็พออ่านเรื่องช่วงนี้เข้าใจได้ไม่ยากครับ
ว่าแล้วก็ไปชมเนื้อเรื่องของเล่มนี้ด้วยกันเลยครับ
หน้าปกของเล่มนี้
ชื่อตอนของเล่มนี้คือ
"เนินแห่งพายุ" ครับ
เรื่องราวในเล่มนี้เริ่มต้นขึ้นจากการที่แซสซี่ได้ร่องรอยของ
"แมลงเกราะลาฟรอยจ์" ศัตรูคู่อาฆาตที่ฆ่าพ่อแม่ของตนเอง
รอยลำตัวที่แมลงเกราะลาฟรอยจ์ฝากไว้บนพื้นขณะซุ่มดักรอเหยื่อ
เห็นดังนั้นแซสซี่ก็ไม่รอช้า เร่งฝีเท้าเข้าเมืองไปพร้อมกับคอนเนอร์ในทันที ที่นั่นทั้งสองได้ข่าวจากชาวเมืองว่ามีแมลงเกราะรูปร่างคล้ายแมงป่องยักษ์โผล่มาเล่นงานคนในเมืองที่แอบเอาจดหมายไปส่งจนอยู่ในสภาพนอนเป็นผักระหว่างเดินผ่านถนนป่าหิน แซสซี่ได้ยินดังนั้นก็แน่ใจว่านั่นคือแมลงเกราะตัวเดียวกันไม่ผิดแน่ จึงแยกจากคอนเนอร์แล้วมุ่งหน้าไปยังถนนป่าหินตามลำพังเพื่อไล่ล่าแมลงเกราะลาฟรอยจ์
โดยก่อนหน้าจะมุ่งไปยังถนนป่าหิน แซสซี่กับวาชูก้าเสือดำคู่หูก็ตรงไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งชื่อว่า
"เนินแห่งพายุ" ซึ่งอยู่ใกล้กับถนนป่าหินอันเป็นที่ที่แมลงเกราะปรากฏตัวมากที่สุดเพื่อใช้เป็นที่มั่นในการไล่ล่าศัตรูคู่อาฆาต ที่นั่นแซสซี่ได้พบกับ
"เอมิล บรอนเต" เด็กสาวตาบอดวัย 12 ปีผู้บอกว่าตนเองเป็น
"นายหญิง" ของโรงเตี๊ยมเนินแห่งพายุ เอมิลต้อนรับแซสซี่อย่างอบอุ่น เชิญเข้าไปในโรงเตี๊ยมพร้อมจัดหาอาหารให้เป็นอย่างดี กิริยาเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วทั้งๆ ที่ตามองแทบไม่เห็นของเอมิลสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแซสซี่เป็นอย่างมากจนเผลอลืมเป้าหมายที่มายังเนินแห่งพายุนี้ไปชั่วขณะ
เอมิล บรอนเต นายหญิงเจ้าของโรงเตี๊ยม
"เนินแห่งพายุ"
หลังกินอาหารเสร็จ แซสซี่ก็แจ้งจุดประสงค์การมาของตนเองกับเอมิล และขอพักอาศัยอยู่ที่เนินแห่งพายุนี้จนกว่าจะกำจัดแมลงเกราะลาฟรอยจ์ได้ เอมิลก็ตอบตกลงพร้อมกับจัดหาที่นอนให้กับแซสซี่ได้พักผ่อนในคืนนั้น โดยคืนนั้นแซสซี่ก็ฝันร้ายถึงตอนที่แมลงเกราะลาฟรอยจ์เล่นงานพ่อแม่ตนเองจนนอนไม่หลับ
รุ่งขึ้น แซสซี่ก็ออกจากโรงเตี๊ยมแต่เช้าเพื่อจะมุ่งหน้าไปยังถนนป่าหิน โดยก่อนออกไปเอมิลก็เอาตะกร้าใส่อาหารมาให้แซสซี่เอาติดตัวไปเป็นเสบียงระหว่างทาง ทำเอาแซสซี่ถึงกับเขินจนตะกุกตะกักขอบคุณก่อนจะเดินจากไป โดยมีเสียงอวยพรของเอมิลดังตามหลัง
แล้วแผนการไล่ล่าแมลงเกราะลาฟรอยจ์ของแซสซี่ก็เริ่มต้นขึ้น แซสซี่เอาจดหมายฉบับหนึ่งติดตัวไว้เป็นเหยื่อล่อให้แมลงเกราะปรากฏตัวออกมา (ตามสัญชาตญาณของแมลงเกราะจะตามล่าสิ่งที่มี
"หัวใจ" อยู่ และจดหมายก็คือสิ่งที่มีหัวใจของผู้เขียน) ทว่าก็ต้องคว้าน้ำเหลว เพราะไม่ว่าจะเดินล่ออยู่นานแค่ไหน ลาฟรอยจ์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏตัวเลย
สุดท้ายเมื่อเห็นว่าเดินล่อต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ แซสซี่ก็ตัดใจกลับไปตั้งหลักที่โรงเตี๊ยม ที่นั่นเขาพบเอมิลกำลังทำอาหารเย็นรอต้อนรับอยู่ กิริยายิ้มแย้มร่าเริงขณะกุลีกุจอจัดโต๊ะอาหารทำเอาแซสซี่ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก ด้วยตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมาดูแลเอาใจใส่ถึงขนาดนี้ รอยยิ้มของเอมิลขณะเดินออกไปส่งเขาในตอนเช้า ขณะต้อนรับเขาเมื่อกลับมา ขณะกุลีกุจอจัดโต๊ะอาหารให้ ขณะเล่นหัวกับวาชูก้าอย่างร่าเริง ทำให้แซสซี่รู้สึกดีกับเด็กสาวผู้นี้อย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน
เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ถึงสามวันโดยที่แมลงเกราะไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นแม้แต่เงา แล้วในเช้าวันที่สามขณะที่แซสซี่กำลังจะออกไปตามปกตินั้นเอง อยู่ๆ เอมิลที่ปกติจะยืนส่งเขาด้วยรอยยิ้มกลับพยายามรั้งตัวเขาไว้บอกว่าแซสซี่ไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ ออกล่าแมลงเกราะทุกวันไม่ได้หยุดแบบนี้อาจเหนื่อยจนล้มหมอนนอนเสื่อไปจริงๆ ก็ได้ เพราะงั้นวันนี้อยู่พักที่โรงเตี๊ยมก่อนเถอะ อย่าออกไปไหนเลย
น้ำเสียงอ้อนวอนของเด็กสาวทำเอาแซสซี่เกือบเผลอใจอ่อนไปวูบหนึ่ง ก่อนจะหักใจขอบคุณอีกฝ่ายอย่างถนอมน้ำใจที่สุด แล้วเดินจากไปเพื่อทำภารกิจของตนตามเดิม
แล้วก็เป็นอย่างที่เอมิลพูดจริงๆ คือแซสซี่นั้นออกอาการเหนื่อยล้ามากกว่าเมื่อวานกับวันแรกอย่างเห็นได้ชัด เดินๆ ไปได้พักหนึ่ง แซสซี่ก็เห็นว่ารองเท้าที่ตัวเองสวมอยู่ขาดจนใช้เดินต่อไปไม่ได้อีก จึงตัดสินใจกลับเข้าเมืองไปให้ช่างซ่อมรองเท้าซ่อมให้
หลังซ่อมรองเท้าเสร็จ แซสซี่ก็เดินผ่านไปเห็นร้านขายคัพเค้กท่าทางน่ากินร้านหนึ่งตั้งอยู่จึงคิดจะซื้อไปฝากเอมิลเป็นการขอบคุณที่ช่วยดูแลอย่างดีมาตลอดสามวัน จึงเดินเข้าไปขอซื้อคัพเค้กสองชิ้น โดยระหว่างนั้นคุณป้าเจ้าของร้านก็ชวนคุยนิดหน่อย พอรู้ว่าแซสซี่พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเนินแห่งพายุป้าแกก็ถามทันทีว่า
"ฮีธกับแคทเธอรีน คู่สามีภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยม" เป็นอย่างไรบ้าง แซสซี่ก็งงถามป้าต่อว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมเนินแห่งพายุไม่ใช่เด็กผู้หญิงชื่อเอมิลหรอกเหรอ ป้าก็ตอบว่าไม่ใช่เลย เอมิลน่ะเป็นแค่
"ลุกสาวไม่ได้ความ" ของเจ้าของโรงเตี๊ยมสองสามีภรรยานั่นต่างหากล่ะ
ได้ยินดังนั้น แซสซี่ก็ทำท่าอึ้ง วิ่งออกจากร้านตรงกลับไปที่โรงเตี๊ยมพร้อมกับวาชูก้า แล้วคาดคั้นเอาคำตอบกับเอมิลทันทีว่าทำไมเอมิลถึงอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้คนเดียว สองสามีภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยมคนก่อนหายไปไหนแล้ว เอมิลยืนนิ่งฟังคำคาดคั้นของแซสซี่ด้วยอาการสงบ...ก่อนจะถอนหายใจออกมาราวกับเสียดายบางอย่าง
และเผยตัวจริงออกมาว่าตนเองคือผู้ที่ควบคุมแมลงเกราะลาฟรอยจ์อยู่!!
แซสซี่ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก เอมิลก็บอกกับแซสซี่ว่าแซสซี่นั้นเป็นคนอ่อนโยน เธอรอวันที่คนอ่อนโยนแบบแซสซี่จะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธอมาตลอด แต่ตอนนี้คนอ่อนโยนที่เธอรอมาตลอดคนนั้นกลับคิดทำร้ายลาฟรอยจ์ของเธอ ดังนั้นเธอจำเป็นต้องกำจัดเขาให้หายไปซะ ว่าจบก็โบกมือซ้ายที่สวมแหวนรูปร่างคล้ายอำพันภูต ปล่อยกระสุนจิตของตนออกมาสั่งให้ลาฟรอยจ์โจมตีใส่แซสซี่ทันที
แหวนอำพันภูตที่เอมิลใช้ควบคุมลาฟรอยจ์
เห็นอีกฝ่ายเอาจริงดังนั้น แซสซี่ก็จำต้องต่อสู้ป้องกันตัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาพลิ้วตัวหลบการโจมตีของลาฟรอยจ์แล้วชักลูกซองแฝดของตัวเองออกมายิงกระสุนจิต
"อาโอโทเงะ" (หนามน้ำเงิน) สาดใส่ลาฟรอยจ์เป็นชุดๆ แต่ไม่อาจทำอะไรเจ้าแมลงเกราะได้เลย ซ้ำยังกลับเป็นฝ่ายโดนไล่ต้อนจนได้แต่วิ่งหลบไปหลบมา
ระหว่างที่หลบไปหลบมาหาจังหวะยิงอยู่นั้นเอง อยู่ๆ แซสซี่ก็ออกอาการเหนื่อยล้าจนยืนไม่อยู่ล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น เอมิลก็บอกว่าตัวเองแอบผสมยาพิษปริมาณน้อยในอาหารที่แซสซี่กินมาตลอดสามวัน ซึ่งหากเป็นคนธรรมดากินเข้าไปต้องล้มหมอนนอนเสื่อขยับตัวแทบไม่ได้ไปแล้ว แต่เพราะแซสซี่มีร่างกายและจิตใจที่ทรหดกว่าธรรมดาจึงทนมาได้จนถึงวันนี้
ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น สะเก็ดหัวใจบางส่วนของเอมิลที่ปล่อยออกมาจากอำพันภูตก็หล่นมาโดนตัวแซสซี่ ทำให้แซสซี่ได้เห็นภาพในอดีตของเอมิลที่โดนสองสามีภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยมคนก่อนทำทารุณกรรมต่างๆ นานา ถูกปฏิบัติราวกับไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งเอมิลก็ออกปากยอมรับว่าสองคนในภาพที่เห็นเมื่อครู่คือเจ้าของโรงเตี๊ยมตัวจริง แต่ปัจจุบันโดนลาฟรอยจ์กินหัวใจตามคำสั่งของเอมิลจนนอนเป็นผักไปเรียบร้อยแล้ว คุยจบเอมิลก็สั่งให้ลาฟรอยจ์เล่นงานแซสซี่ต่อเป็นชุดๆ บีบให้แซสซี่ที่อยู่ในสภาพเกือบหมดแรงเพราะพิษยาและการใช้หัวใจไปเยอะกับกระสุนจิตได้แต่หลบการโจมตีอย่างเดียวเท่านั้น
หลบไปหลบมา ลาฟรอยจ์ก็ต้อนแซสซี่ไปถึงหน้าผา แซสซี่เห็นจวนตัวไม่มีที่หลบอีกแล้วก็เสี่ยงวัดดวงด้วยการสาดกระสุนจิตด้วยพลังงานหัวใจทั้งหมดที่มีอยู่ล่อให้ลาฟรอยจ์หยุดโจมตีไปกินหัวใจจากกระสุนจิต แล้วฉวยโอกาสกระโดดดิ่งพสุธาลงไปยังก้นเหวที่เป็นป่าหินเบื้องล่างพร้อมกับวาชูก้าเอาตัวรอดมาได้หวุดหวิดโดยอาศัยวาชูก้าเป็นเบาะรองรับแรงกระแทกไม่ให้บาดเจ็บ แต่ก็โดนแรงกระแทกจากการโดดลงจากเหวสูงกระแทกเอาจนน็อคคาที่
ฟื้นมาอีกทีก็เจอแล็กกับคอนเนอร์นั่งอยู่ข้างๆ (ไปส่งจดหมายเสร็จกลับมาเจอกันระหว่างทางเลยชวนกันแวะมาดูสถานการณ์ทางฝั่งแซสซี่ด้วยกัน) ทั้งคู่เห็นแซสซี่ฟื้นก็เข้าไปถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง แต่แซสซี่กลับตัดบทเดินแยกออกมาจะไปสู้กับแมลงเกราะลาฟรอยจ์ต่อ แล็กกับคอนเนอร์พยายามห้ามก็ไม่ฟัง สุดท้ายเลยเจอแล็กจับทุ่มจนล้มคว่ำแล้วบอกว่าร่างกายล้าขนาดนี้ยังจะไปสู้กับมันอีกเหรอ
เจอแล็กด่าเข้าแบบนั้น แซสซี่ก็ได้แต่ตะโกนออกมาอย่างเจ็บใจต่อความอ่อนแอของตัวเอง แล็กก็บอกแซสซี่ว่าไม่เห็นต้องไปสู้กับมันคนเดียวเลยนี่นา ยังมีพวกพ้องอย่างแล็กกับคอนเนอร์อยู่ไม่ใช่เหรอ
"ศัตรูของแซสซี่ก็คือศัตรูของพวกผมด้วย เพราะงั้นถ้าแซสซี่จะสู้ พวกผมก็จะอยู่สู้ด้วยเหมือนกัน"
ฉากตัดไปทางฝั่งเอมิลกับแมลงเกราะลาฟรอยจ์ เอมิลเห็นแซสซี่หนีรอดไปได้ก็รู้ตัวว่าคงปิดเรื่องที่ตัวเองเอาแมลงเกราะมาเป็นสัตว์เลี้ยงไว้ไม่มิดแล้ว จึงตัดสินใจออกคำสั่งให้ลาฟรอยจ์บุกโจมตีเมืองทั้งเมืองทันที
- จบช่วงแรก...เดี๋ยวมาต่อช่วง 2 เด้อครับ -
[Spoil] ผึ้งจดหมาย (Letter Bee) เล่ม 16 - ชัยชนะอันไร้รสของแซสซี่
อนึ่ง ใครเห็นว่าเล่มนี้ห่างจากเล่มไทยค่อนข้างไกลกลัวจะอ่านไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องกลัวนะครับ เพราะเรื่องนี้ทั้งเล่มแทบจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแก้แค้นและเรื่องแก้ปมในใจของแซสซี่ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องหลักมากนัก เรียกว่าเป็นการปิดปมของแซสซี่ในส่วนนี้เพื่อรอรับเนื้อเรื่องหลักที่จะดำเนินต่อไปในอนาคตมากกว่า เพราะงั้นถึงไม่ได้ตามอ่านเนื้อเรื่องหลักมาก็พออ่านเรื่องช่วงนี้เข้าใจได้ไม่ยากครับ
ว่าแล้วก็ไปชมเนื้อเรื่องของเล่มนี้ด้วยกันเลยครับ
หน้าปกของเล่มนี้
ชื่อตอนของเล่มนี้คือ "เนินแห่งพายุ" ครับ
เรื่องราวในเล่มนี้เริ่มต้นขึ้นจากการที่แซสซี่ได้ร่องรอยของ "แมลงเกราะลาฟรอยจ์" ศัตรูคู่อาฆาตที่ฆ่าพ่อแม่ของตนเอง
รอยลำตัวที่แมลงเกราะลาฟรอยจ์ฝากไว้บนพื้นขณะซุ่มดักรอเหยื่อ
เห็นดังนั้นแซสซี่ก็ไม่รอช้า เร่งฝีเท้าเข้าเมืองไปพร้อมกับคอนเนอร์ในทันที ที่นั่นทั้งสองได้ข่าวจากชาวเมืองว่ามีแมลงเกราะรูปร่างคล้ายแมงป่องยักษ์โผล่มาเล่นงานคนในเมืองที่แอบเอาจดหมายไปส่งจนอยู่ในสภาพนอนเป็นผักระหว่างเดินผ่านถนนป่าหิน แซสซี่ได้ยินดังนั้นก็แน่ใจว่านั่นคือแมลงเกราะตัวเดียวกันไม่ผิดแน่ จึงแยกจากคอนเนอร์แล้วมุ่งหน้าไปยังถนนป่าหินตามลำพังเพื่อไล่ล่าแมลงเกราะลาฟรอยจ์
โดยก่อนหน้าจะมุ่งไปยังถนนป่าหิน แซสซี่กับวาชูก้าเสือดำคู่หูก็ตรงไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งชื่อว่า "เนินแห่งพายุ" ซึ่งอยู่ใกล้กับถนนป่าหินอันเป็นที่ที่แมลงเกราะปรากฏตัวมากที่สุดเพื่อใช้เป็นที่มั่นในการไล่ล่าศัตรูคู่อาฆาต ที่นั่นแซสซี่ได้พบกับ "เอมิล บรอนเต" เด็กสาวตาบอดวัย 12 ปีผู้บอกว่าตนเองเป็น "นายหญิง" ของโรงเตี๊ยมเนินแห่งพายุ เอมิลต้อนรับแซสซี่อย่างอบอุ่น เชิญเข้าไปในโรงเตี๊ยมพร้อมจัดหาอาหารให้เป็นอย่างดี กิริยาเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วทั้งๆ ที่ตามองแทบไม่เห็นของเอมิลสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแซสซี่เป็นอย่างมากจนเผลอลืมเป้าหมายที่มายังเนินแห่งพายุนี้ไปชั่วขณะ
เอมิล บรอนเต นายหญิงเจ้าของโรงเตี๊ยม "เนินแห่งพายุ"
หลังกินอาหารเสร็จ แซสซี่ก็แจ้งจุดประสงค์การมาของตนเองกับเอมิล และขอพักอาศัยอยู่ที่เนินแห่งพายุนี้จนกว่าจะกำจัดแมลงเกราะลาฟรอยจ์ได้ เอมิลก็ตอบตกลงพร้อมกับจัดหาที่นอนให้กับแซสซี่ได้พักผ่อนในคืนนั้น โดยคืนนั้นแซสซี่ก็ฝันร้ายถึงตอนที่แมลงเกราะลาฟรอยจ์เล่นงานพ่อแม่ตนเองจนนอนไม่หลับ
รุ่งขึ้น แซสซี่ก็ออกจากโรงเตี๊ยมแต่เช้าเพื่อจะมุ่งหน้าไปยังถนนป่าหิน โดยก่อนออกไปเอมิลก็เอาตะกร้าใส่อาหารมาให้แซสซี่เอาติดตัวไปเป็นเสบียงระหว่างทาง ทำเอาแซสซี่ถึงกับเขินจนตะกุกตะกักขอบคุณก่อนจะเดินจากไป โดยมีเสียงอวยพรของเอมิลดังตามหลัง
แล้วแผนการไล่ล่าแมลงเกราะลาฟรอยจ์ของแซสซี่ก็เริ่มต้นขึ้น แซสซี่เอาจดหมายฉบับหนึ่งติดตัวไว้เป็นเหยื่อล่อให้แมลงเกราะปรากฏตัวออกมา (ตามสัญชาตญาณของแมลงเกราะจะตามล่าสิ่งที่มี "หัวใจ" อยู่ และจดหมายก็คือสิ่งที่มีหัวใจของผู้เขียน) ทว่าก็ต้องคว้าน้ำเหลว เพราะไม่ว่าจะเดินล่ออยู่นานแค่ไหน ลาฟรอยจ์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏตัวเลย
สุดท้ายเมื่อเห็นว่าเดินล่อต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ แซสซี่ก็ตัดใจกลับไปตั้งหลักที่โรงเตี๊ยม ที่นั่นเขาพบเอมิลกำลังทำอาหารเย็นรอต้อนรับอยู่ กิริยายิ้มแย้มร่าเริงขณะกุลีกุจอจัดโต๊ะอาหารทำเอาแซสซี่ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก ด้วยตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมาดูแลเอาใจใส่ถึงขนาดนี้ รอยยิ้มของเอมิลขณะเดินออกไปส่งเขาในตอนเช้า ขณะต้อนรับเขาเมื่อกลับมา ขณะกุลีกุจอจัดโต๊ะอาหารให้ ขณะเล่นหัวกับวาชูก้าอย่างร่าเริง ทำให้แซสซี่รู้สึกดีกับเด็กสาวผู้นี้อย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน
เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ถึงสามวันโดยที่แมลงเกราะไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นแม้แต่เงา แล้วในเช้าวันที่สามขณะที่แซสซี่กำลังจะออกไปตามปกตินั้นเอง อยู่ๆ เอมิลที่ปกติจะยืนส่งเขาด้วยรอยยิ้มกลับพยายามรั้งตัวเขาไว้บอกว่าแซสซี่ไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ ออกล่าแมลงเกราะทุกวันไม่ได้หยุดแบบนี้อาจเหนื่อยจนล้มหมอนนอนเสื่อไปจริงๆ ก็ได้ เพราะงั้นวันนี้อยู่พักที่โรงเตี๊ยมก่อนเถอะ อย่าออกไปไหนเลย
น้ำเสียงอ้อนวอนของเด็กสาวทำเอาแซสซี่เกือบเผลอใจอ่อนไปวูบหนึ่ง ก่อนจะหักใจขอบคุณอีกฝ่ายอย่างถนอมน้ำใจที่สุด แล้วเดินจากไปเพื่อทำภารกิจของตนตามเดิม
แล้วก็เป็นอย่างที่เอมิลพูดจริงๆ คือแซสซี่นั้นออกอาการเหนื่อยล้ามากกว่าเมื่อวานกับวันแรกอย่างเห็นได้ชัด เดินๆ ไปได้พักหนึ่ง แซสซี่ก็เห็นว่ารองเท้าที่ตัวเองสวมอยู่ขาดจนใช้เดินต่อไปไม่ได้อีก จึงตัดสินใจกลับเข้าเมืองไปให้ช่างซ่อมรองเท้าซ่อมให้
หลังซ่อมรองเท้าเสร็จ แซสซี่ก็เดินผ่านไปเห็นร้านขายคัพเค้กท่าทางน่ากินร้านหนึ่งตั้งอยู่จึงคิดจะซื้อไปฝากเอมิลเป็นการขอบคุณที่ช่วยดูแลอย่างดีมาตลอดสามวัน จึงเดินเข้าไปขอซื้อคัพเค้กสองชิ้น โดยระหว่างนั้นคุณป้าเจ้าของร้านก็ชวนคุยนิดหน่อย พอรู้ว่าแซสซี่พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเนินแห่งพายุป้าแกก็ถามทันทีว่า "ฮีธกับแคทเธอรีน คู่สามีภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยม" เป็นอย่างไรบ้าง แซสซี่ก็งงถามป้าต่อว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมเนินแห่งพายุไม่ใช่เด็กผู้หญิงชื่อเอมิลหรอกเหรอ ป้าก็ตอบว่าไม่ใช่เลย เอมิลน่ะเป็นแค่ "ลุกสาวไม่ได้ความ" ของเจ้าของโรงเตี๊ยมสองสามีภรรยานั่นต่างหากล่ะ
ได้ยินดังนั้น แซสซี่ก็ทำท่าอึ้ง วิ่งออกจากร้านตรงกลับไปที่โรงเตี๊ยมพร้อมกับวาชูก้า แล้วคาดคั้นเอาคำตอบกับเอมิลทันทีว่าทำไมเอมิลถึงอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้คนเดียว สองสามีภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยมคนก่อนหายไปไหนแล้ว เอมิลยืนนิ่งฟังคำคาดคั้นของแซสซี่ด้วยอาการสงบ...ก่อนจะถอนหายใจออกมาราวกับเสียดายบางอย่าง
และเผยตัวจริงออกมาว่าตนเองคือผู้ที่ควบคุมแมลงเกราะลาฟรอยจ์อยู่!!
แซสซี่ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก เอมิลก็บอกกับแซสซี่ว่าแซสซี่นั้นเป็นคนอ่อนโยน เธอรอวันที่คนอ่อนโยนแบบแซสซี่จะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธอมาตลอด แต่ตอนนี้คนอ่อนโยนที่เธอรอมาตลอดคนนั้นกลับคิดทำร้ายลาฟรอยจ์ของเธอ ดังนั้นเธอจำเป็นต้องกำจัดเขาให้หายไปซะ ว่าจบก็โบกมือซ้ายที่สวมแหวนรูปร่างคล้ายอำพันภูต ปล่อยกระสุนจิตของตนออกมาสั่งให้ลาฟรอยจ์โจมตีใส่แซสซี่ทันที
แหวนอำพันภูตที่เอมิลใช้ควบคุมลาฟรอยจ์
เห็นอีกฝ่ายเอาจริงดังนั้น แซสซี่ก็จำต้องต่อสู้ป้องกันตัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาพลิ้วตัวหลบการโจมตีของลาฟรอยจ์แล้วชักลูกซองแฝดของตัวเองออกมายิงกระสุนจิต "อาโอโทเงะ" (หนามน้ำเงิน) สาดใส่ลาฟรอยจ์เป็นชุดๆ แต่ไม่อาจทำอะไรเจ้าแมลงเกราะได้เลย ซ้ำยังกลับเป็นฝ่ายโดนไล่ต้อนจนได้แต่วิ่งหลบไปหลบมา
ระหว่างที่หลบไปหลบมาหาจังหวะยิงอยู่นั้นเอง อยู่ๆ แซสซี่ก็ออกอาการเหนื่อยล้าจนยืนไม่อยู่ล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น เอมิลก็บอกว่าตัวเองแอบผสมยาพิษปริมาณน้อยในอาหารที่แซสซี่กินมาตลอดสามวัน ซึ่งหากเป็นคนธรรมดากินเข้าไปต้องล้มหมอนนอนเสื่อขยับตัวแทบไม่ได้ไปแล้ว แต่เพราะแซสซี่มีร่างกายและจิตใจที่ทรหดกว่าธรรมดาจึงทนมาได้จนถึงวันนี้
ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น สะเก็ดหัวใจบางส่วนของเอมิลที่ปล่อยออกมาจากอำพันภูตก็หล่นมาโดนตัวแซสซี่ ทำให้แซสซี่ได้เห็นภาพในอดีตของเอมิลที่โดนสองสามีภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยมคนก่อนทำทารุณกรรมต่างๆ นานา ถูกปฏิบัติราวกับไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งเอมิลก็ออกปากยอมรับว่าสองคนในภาพที่เห็นเมื่อครู่คือเจ้าของโรงเตี๊ยมตัวจริง แต่ปัจจุบันโดนลาฟรอยจ์กินหัวใจตามคำสั่งของเอมิลจนนอนเป็นผักไปเรียบร้อยแล้ว คุยจบเอมิลก็สั่งให้ลาฟรอยจ์เล่นงานแซสซี่ต่อเป็นชุดๆ บีบให้แซสซี่ที่อยู่ในสภาพเกือบหมดแรงเพราะพิษยาและการใช้หัวใจไปเยอะกับกระสุนจิตได้แต่หลบการโจมตีอย่างเดียวเท่านั้น
หลบไปหลบมา ลาฟรอยจ์ก็ต้อนแซสซี่ไปถึงหน้าผา แซสซี่เห็นจวนตัวไม่มีที่หลบอีกแล้วก็เสี่ยงวัดดวงด้วยการสาดกระสุนจิตด้วยพลังงานหัวใจทั้งหมดที่มีอยู่ล่อให้ลาฟรอยจ์หยุดโจมตีไปกินหัวใจจากกระสุนจิต แล้วฉวยโอกาสกระโดดดิ่งพสุธาลงไปยังก้นเหวที่เป็นป่าหินเบื้องล่างพร้อมกับวาชูก้าเอาตัวรอดมาได้หวุดหวิดโดยอาศัยวาชูก้าเป็นเบาะรองรับแรงกระแทกไม่ให้บาดเจ็บ แต่ก็โดนแรงกระแทกจากการโดดลงจากเหวสูงกระแทกเอาจนน็อคคาที่
ฟื้นมาอีกทีก็เจอแล็กกับคอนเนอร์นั่งอยู่ข้างๆ (ไปส่งจดหมายเสร็จกลับมาเจอกันระหว่างทางเลยชวนกันแวะมาดูสถานการณ์ทางฝั่งแซสซี่ด้วยกัน) ทั้งคู่เห็นแซสซี่ฟื้นก็เข้าไปถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง แต่แซสซี่กลับตัดบทเดินแยกออกมาจะไปสู้กับแมลงเกราะลาฟรอยจ์ต่อ แล็กกับคอนเนอร์พยายามห้ามก็ไม่ฟัง สุดท้ายเลยเจอแล็กจับทุ่มจนล้มคว่ำแล้วบอกว่าร่างกายล้าขนาดนี้ยังจะไปสู้กับมันอีกเหรอ
เจอแล็กด่าเข้าแบบนั้น แซสซี่ก็ได้แต่ตะโกนออกมาอย่างเจ็บใจต่อความอ่อนแอของตัวเอง แล็กก็บอกแซสซี่ว่าไม่เห็นต้องไปสู้กับมันคนเดียวเลยนี่นา ยังมีพวกพ้องอย่างแล็กกับคอนเนอร์อยู่ไม่ใช่เหรอ
"ศัตรูของแซสซี่ก็คือศัตรูของพวกผมด้วย เพราะงั้นถ้าแซสซี่จะสู้ พวกผมก็จะอยู่สู้ด้วยเหมือนกัน"
ฉากตัดไปทางฝั่งเอมิลกับแมลงเกราะลาฟรอยจ์ เอมิลเห็นแซสซี่หนีรอดไปได้ก็รู้ตัวว่าคงปิดเรื่องที่ตัวเองเอาแมลงเกราะมาเป็นสัตว์เลี้ยงไว้ไม่มิดแล้ว จึงตัดสินใจออกคำสั่งให้ลาฟรอยจ์บุกโจมตีเมืองทั้งเมืองทันที
- จบช่วงแรก...เดี๋ยวมาต่อช่วง 2 เด้อครับ -