สำหรับคนที่รถเติม E85 ไม่ได้ แต่เติม E20 ได้ เรามาลองใช้น้ำมัน E70 E60 E55 ทำเองกันดูมั้ย

อ้างอิงจากกระทู้นี้ http://ppantip.com/topic/31064776

ขอขอบคุณ ท่านสมาชิกหมายเลข 720149 , ท่าน kabokaboh ที่ช่วยจุดประกายให้ลองคิดเรื่องนี้ครับ


ออกตัวก่อนนะว่าผมก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมายในเรื่องของน้ำมัน อาศัยข้อมูลจากในอินเตอเนทต่างๆ
มาประกอบกันเป็นบทความนี้ขึ้นมา จุดประกายของเรื่องนี้ก็คือ ต้องการผสมน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีขายในบ้านเรา
ให้เกิดเป็นชนิดที่เหมาะสมต่อเครื่องยนต์ที่ผมใช้อยู่ สามารถเติมได้โดยไม่มีปัญหากับเครื่องยนต์ที่ได้รับการรับรองในต่างประเทศว่าเติมได้จริงๆเท่านั้น  (จากตัวอย่างนี้ผมอ้างอิงโดยศึกษาจากเครื่องยนต์ ของ ford focus ของผมเอง ซึ่งตามสเปคของมันที่ระบุมาในเอกสาร ในรุ่นต่างประเทศ เครื่องยนต์ตัวเดียวกัน รองรับการใช้น้ำมัน E85 ได้ แต่พอมาเมืองไทย กลับระบุว่าใช้ได้แค่ E20)

สำหรับผม ผมมองว่ารถบางคันที่ สเปคโรงงานรองรับ E20 ได้แต่เติม E85 แล้วไฟเอนจิ้นมีปัญหา
ส่วนใหญ่เลย มันเกิดจากว่า ECU ตรวจพบความผิดปกติในห้องเผาไหม้  จาก O2 sensor ที่พบ O2 มากเกินจนเร่งการฉีดน้ำมันให้หนาขึ้น
ทำให้ผมเกิดความสงสัยว่าเพราะเหตใดจึงไม่สามารถเติมได้ และเพื่อคลายความสงสัยนั้น ผมจึงได้ทำการทดสอบด้วยตัวเอง
ดังนี้



ก่อนการทดสอบ ผมปล่อยให้น้ำมันหมดถังเสียก่อน (คอดถัง มากกว่า) แล้วจึงเติม E85 เพียวๆ เข้าไปครั้งละ 10ลิตร เป็นเงิน 230บาท
ทำการวิ่งเก็บข้อมูลการใช้งานตั้งแต่ช่วงสามเดือนที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน

ผมพบว่า หากเป็นการวิ่งปกติในเมือง หรือ ในทางราบ ทางไกลระยะยาว โดยไม่เหยียบมากนัก ใช้ความเร็วเฉลี่ย 70-90km
(ระยะทางที่ทดสอบ ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก คือจากพระราม4 ขึ้นด่วนไปลงรังสิตและวิ่งต่อไปนวนครอีกนิด รวมระยะทางไปกลับ
ต่อครั้งประมาณ 110กิโล)

จากการทดสอบ ผมสามารถวิ่งไปกลับได้ประมาณ 2 รอบต่อการเติมหนึ่งครั้ง จนน้ำมันหมดถังได้โดยไม่มีไฟเอนจิ้นขึ้นเตือน และทุกครั้งก็เติมกลับเข้าไปใหม่ 10ลิตร วิ่งแบบนี้อยู่ได้ประมาณ 20กว่าวัน ก็ไม่เกิดปัญหาใดๆครับ

จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมขับขึ้นที่จอดรถแห่งหนึ่งโดยใช้การเร่งรอบสูงๆต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าทีนี้ไฟ engine ขึ้นมาครับ
แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรก็ยังใช้งานรถได้ปกติอยู่ ทำให้ผมสันนิษฐานจากข้อมูลว่า น่าจะเป็นที่การสั่งจ่ายน้ำมันในห้องเผาไหม้ผิดพลาด
จึงได้ทดลองเติมน้ำมัน E20 กลับจนเต็มถัง และทำการวิ่งเพื่อทดสอบสมมติฐานข้างต้น พบว่าหลังจากวิ่งไปประมาณ 200km ไฟเอนจิ้นก็หายไปเองครับ  เข้าใจได้ว่า ปริมาณ O2 ในห้องเผาไหม้ที่ถูกตรวจพบ กลับสู่ค่าปกติแล้ว

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เติม E85 เพียวๆ  บน all new Ford Focus 2.0 มาได้สามเดือน ผมพบว่าหากใช้รถแบบนิ่มนวล
คือไม่ออกตัวกระชาก ไม่เร่งแซง ไม่ขึ้นเนินหนักๆนานๆ   การสั่งจ่ายน้ำมันจะไม่มีปัญหา ECU จะทำงานได้เป็นปกติ
ก็คือจะสั่งหัวฉีดให้เปิดลิ้นนานขึ้นได้ในระดับหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องติดกล่องจูน และไม่มีผลกระทบใดๆ ไฟเอนจิ้นไม่โชว์ขึ้นมา

แต่ถ้ามีการเร่งคันเร่งแบบหนักๆ แรงๆบ่อยๆ เช่น เร่งขึ้นเนินที่จอดรถแบบเร็วๆ ต่อเนื่อง จนเครื่องยนต์มีการสั่งจ่ายเชื้อเพลิงมากขึ้น
ในเวลาสั้นๆ บ่อยๆ ECU จะทำงานผิดพลาดได้ ทำให้เกิดไฟ engine เตือนขึ้นมาได้  ซึ่งผมก็พบวิธีแแก้ไขเช่นกัน ก็คือกลับไปเติม E20
แล้ววิ่งไปสักพักจน O2 sensor ไม่ตรวจพบความปกติของ O2 ในห้องเผาไหม้อีก สัก 2-3drive จน ECU แน่ใจ ไฟ engine ก็จะหายไปเอง

ดังนั้น ผมจึงคาดเดาว่า หากเราสามารถลดอัตราส่วนของ Ethanal ในน้ำมันเชื้อเพลิงลงได้ ด้วยการผสมน้ำมันที่มีคุณสมบัติเดียวกันเข้าไป ก็น่าจะทำให้  เครื่องยนต์สามารถทำงานได้ปกติราบเรียบมากขึ้น

นี่คือที่มาที่ไปของ แนวคิดที่ผมนำเสนอขึ้นมาในหนนี้ ลองมาพิจารณาดูกันครับ




E85 = 85% (Ethanol) +15% (Benzene octan87)
G91 = 10% (Ethanol) + 90% (Benzene octan87)

ซึ่งถ้าตามความเข้าใจของผมตามด้านบน น้ำมันทั้งสองแบบต่างใช้ Benzene octan 87 ทั้งคู่
ทำให้น่าจะสามารถผสมกันได้

ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้น การผสมมันในอัตราส่วนที่เหมาะสม จะทำให้อัตราส่วน Ethanal กับ Benzyne เปลี่ยนไป
และทำให้เราได้น้ำมันที่เหมาะสมกับการใช้งานเรามากขึ้น

ในอัตราส่วน G91 : E85

1:4  - จะได้น้ำมัน E70 ที่มีค่าออคเทน 113.6  ราคาเฉลี่ยต่อลิตรที่ 25.62บาท

1:2 - จะได้น้ำมัน E60 ที่มีค่าออคเทน 106 ราคาเฉลี่ยต่อลิตรที่ 27.38บาท

2:3 - จะได้น้ำมัน E55 ที่มีค่าออคเทน 107.9  ราคาเฉลี่ยต่อลิตรที่  28.26บาท






ทั้งนี้ บทความนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลล้วนๆ ครับ เพียงแต่ว่าอยากให้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเติมน้ำมันของหลายๆท่าน

ทั้งนี้ ปัจจัยอื่นๆที่ต้องการสำหรับการใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของ ethanal ที่ควรพึงระวังก็คือ การสึกหรอของอุปกรณ์ส่วนอื่นๆ ที่ไม่ได้ทำมาเพื่อรองรับโดยเฉพาะที่ต้องพึงประเมินก่อนการใช้งานครับ  เช่น ลูกลอย ปั๊มติ๊ก ท่อยาง หัวฉีด (ที่ในรถบางรุ่นอาจจะไม่ได้ทำมารองรับการกัดกร่อนโดยตรง แต่โดยส่วนมากแล้วรถที่ทำมารองรับ E20 พวกท่อต่างๆก็สามารถใช้กับ E100ได้ครับ เพียงแต่จะไปมีปัญหากับระบบจ่ายเชื้อเพลิงมากกว่าเสียเป็นส่วนใหญ่)

ทีนี้ถามว่า แล้วจะใช้น้ำมันแบบไหนดีถ้าเราเติมแล้วใช้ได้

คำคอบก็อยู่กับพฤติกรรมการขับขี่ครับ  โดยส่วนตัวแล้ว จากที่ทดสอบมาผมพบว่าถ้าเราเติม Eสูงๆ มันจะทำให้เราต้องลดการใช้งานเครื่องยนต์หนักๆลงให้สอดคล้องกับภาวะการฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในห้องเครื่อง  เพื่อเลี่ยงผลกระทบระยะยาวที่จะเกิดกับระบบจ่ายน้ำมัน นั่นคือ

ถ้าคุณอยากให้เครื่องยนต์ไม่ทำงานผิดพลาด โดยที่คุณขับรถเร็ว เหยียบคันเร่งหนัก ก็ควรจะใช้ E ต่ำๆ เพื่อให้น้ำมันมีปริมาณ Benzyne เพียงพอ

แต่ถ้าคุณขับรถช้า เน้นการเลี้ยงรอบเป็น ก็อาจจะพิจารณาใช้ Eสูงขึ้นได้ เช่นขับในเมืองแบบที่ผมยกตัวอย่างมา ไม่แซง ไม่เร่งความเร็วมากนัก ขึ้นเนินไม่ชันมาก




ก็อาจจะใช้เป็นแนวทางให้กับหลายๆท่าน ไปศึกษาต่อยอดดูว่า รถของท่านจะสามารถปรับการใช้น้ำมันเข้ากับ E85 ได้มากน้อยเพียงใด
อย่างไรเสีย หากท่านใดมีข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติมก็ขอคำแนะนำด้วยนะครับ  เพื่อประโยชน์สูงสุดในการประหยัดค่าน้ำมันของทุกท่าน

ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
ดูเหมือนว่าจะมีคนสอบถามเรื่องอัตราสิ้นเปลืองของผมที่อาจจะแลดูเว่อร์มาก (E85 วิ่งได้ 22km/l)

จริงๆก็ไม่ใช่ประเด็นที่ผมอยากจะนำเสนอนะครับในหัวข้อนี้ (อยากให้พูดถึงเรื่องน้ำมันผสมมากกว่า)

แต่เพื่อความชัดเจนก็เลยอยากอธิบายที่มาที่ไปว่าผมคำนวนอย่างไร อาจไม่ถูกต้องร้อยเปอเซนต์แต่ก็เป็นการใช้งานจริง
ที่ผมใช้อยู่ทุกวันในช่วงที่เก็บข้อมูล (ระยะทางนั้นคือโดยประมาณครับ ส่วนปริมาณน้ำมันที่เติมก็เป็นแบบเดิมทุกวันเพราะวิ่งเส้นทางเดิมตลอด ถ้าผมทำไม่ได้อย่างที่บอกจริงๆ มันก็จะต้องมีวันที่น้ำมันหมดถังก่อนถึงปั้ม จริงไหมครับ)

1.อย่างแรก ผมควบคุมความเร็วด้วยครูสคอนโทรลครับ อันนี้สำคัญสุดเลย เพราะถ้าคุณเอาเท้าเหยียบคันเร่งโดยพยายาม
รักษาความเร็วให้คงที่ ให้ตายยังไงก็ไม่ได้อัตราสิ้นเปลืองเท่าเปิดครูสครับ เพราะอะไร ?

เพราะ เท้าของเราไม่มีทางแม่นยำเท่าระบบครับ ในบางครั้งเราคิดว่าเราเหยียบให้ความเร็วคงที่ได้แล้ว แต่มันไม่ใช่พอเราเผลอแตะหนักไป บางไปมันก็ทำให้ เกิดความเร่งขึ้นมาตลอดเวลา และทุกครั้งที่ความเร็วเปลี่ยนแปลง นั่นคือ คุณใช้พลังงาน  ดังนั้นถ้าคุณต้องการประหยัดมากกว่าสิ่งที่การทดสอบทั่วไปจะทำได้ นั่นคือคุณต้องรู้จักใช้ครูสคอนโทรลให้เป็นในการเดินทางระยะยาวๆที่ไม่ต้องเบรคมากนัก

ต้องรู้จักการเปิดปิดครูสอย่างเหมาะสม รู้จักว่าปิดเปิดตอนไหน เช่น จะเปิดก็ต่อเมื่อแตะคันเร่งใกล้ถึงระดับความเร็วที่กำหนดแล้วเท่านั้น ปิดเมื่อต้องขึ้นเนินและใช้การเลี้ยงคันเร่งแทน ปิดเมื่อลงเนินและใช้การปล่อยไหลแทน

2. ความเร็ว รอบเครื่องยนต์ ผมใช้ความเร็วแค่ 70km/h ที่ 1500รอบ แบบคงที่เท่านั้น (ครูส) เกาะเลนซ้ายตลอดแทบไม่แซงเลยหากไม่จำเป็น (แต่ก็มีบ้าง)  ความเร็วที่ต่ำ และไม่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงบ่อย ทำให้เครื่องยนต์ต้องการพลังงานน้อยลงไปมาก

3. ลักษณะการขับขี่ ไม่ออกตัวพุ่ง ไม่ใจร้อน ไม่เบรคบ่อยโดยไม่จำเป็น แตะคันเร่งให้น้อยที่สุด ควบคุมความเร็ว + - ผ่านครูสคอนโทรลแทน สิ่งเหล่านี้มีผลต่อ การทำอัตราสิ้นเปลืองทั้งนั้นครับ

4.สภาพการจราจร ผมเลี่ยงขับรถช่วงรถติดตลอด คือผมจะเริ่มออกไปส่งแฟนก็ตอนสามทุ่ม ส่งเสดก็กลับบ้านเลยถึงประมาณห้าทุ่ม วิ่งบนโทลเวย์ ทางด่วนตลอด ไม่ค่อยมีโอกาสเจอรถติดหรือหยุดรถเลย ทำให้ลดอัตราสิ้นเปลืองได้มากครับ

ทั้งหมดที่ผมทดสอบในระยะเวลาเกือบสองเดือน ผมคุมสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมดทำให้ผมทำอัตราสิ้นเปลืองได้ดีถึงระดับ 20km/l ไม่ใช่ว่าผมขับไปเรื่อยเปื่อยแล้วจะได้  

อยากขอให้อ่านและทำความเข้าใจด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

แก้ไขเพิ่มเติม

เสริมเรื่องที่ว่า ทำไมถึงไม่เติมเต็มถังจะได้วัดว่าอัตราสิ้นเปลืองต่อถังเท่าไหร่กันแน่

คำตอบคือ - รถของผมไม่ได้ทำมารองรับ E85 โดยตรงครับ การเติม E85 เต็มถังเคยมีคนทำในคลับของโฟกัส และเค้าบอกว่า
มันขึ้นเตือนไฟเอนจิ้น นั่นคือเหตผลว่าผมจึงอยากตัดประเด็นเรื่องที่ว่าจะมีเซนเซอร์ ethanal อยู่ในถังน้ำมันหรือเปล่าออกไป

จึงเลือกเติมแค่พอดีๆ เท่ากับที่ใช้ ไม่ให้เหลือค้างถังก็เท่านั้น  ทีนี้ด้วยการที่ปั้มเติม E85 มันมีไม่เยอะนัก ผมก็เลยคำนวนการเดินทางและเติมแบบนี้ให้ไปกลับเส้นทางที่ใช้ประจำได้หมดพอดี  แค่นั้นเองครับเหตผล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่