พระมหากษัตริย์ไทยกับพระพุทธศาสนา
ในเรื่องของการยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาของชนชาติไทย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฏอยู่หลายทาง ไม่ว่าจะจากการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระเจ้าอโศก-มหาราชเข้ามาทางอาณาจักรสุวรรณภูมิ (ปัจจุบันคือนครปฐม) เมื่อปี พ.ศ.๒๓๔ หรือจากศิลาจารึกเก่าแก่ชื่อว่า “จารึกอาณาจักรน่านเจ้า” ที่เชื่อกันว่ากระทำโดยนักปราชญ์จีน “เชงเหว” เมื่อปี พ.ศ.๑๓๐๙ จึงกล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาตั้งแต่โบราณกาล และพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ก็ล้วนทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อการทำนุบำรุงและปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาสืบต่อมาทั้งสิ้น แม้องค์ปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็ได้ทรงแสดงพระราชปณิธานไว้ในนิราศท่าดินแดงว่า
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี”
ซึ่งก็ได้ทรงปฏิบัติตามพระราชปณิธานนั้นมาโดยตลอด และพระมหากษัตริย์รัชกาลต่อๆ มาก็ได้ทรงทำนุ-บำรุงพระพุทธศาสนาทุกพระองค์อย่างต่อเนื่องจนถึงรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นทรงสนพระราชหฤทัยในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงเคยได้รับการปลูกฝังความรู้ความเข้าใจจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนีมาก่อนแล้ว ต่อมายังได้ทรงศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เอง และทรงศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง จึงเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงแถลงพระราชดำริที่จะบรรพชาอุปสมบทต่อมหาสมาคม อันประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และคณะทูตานุทูตความตอนหนึ่งว่า
“โดยที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่ง เนื่องในบรรดาสัจธรรมคำสั่งสอนอันชอบด้วยเหตุผล จึงเคยคิดอยู่ว่าถ้าโอกาสอำนวย ข้าพเจ้าควรจักได้บวชสักเวลาหนึ่งตามราชประเพณี ซึ่งจักเป็นทางสนองพระเดชพระคุณพระราชบุพการีตามคตินิยมด้วย และนับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากพระเชษฐาธิราช ก็ล่วงมากว่าสิบปีแล้ว เห็นว่าน่าจะถึงเวลาที่ควรจะทำตามความตั้งใจไว้นั้นแล้วประการหนึ่ง อนึ่ง การที่องค์สมเด็จพระสังฆราชหายประชวรมาได้ในคราวประชวรครั้งหลังนี้ก่อให้เกิดความปิติยินดีแก่ข้าพเจ้ายิ่งนัก ได้มาคำนึงว่าถ้าในการอุปสมบทของข้าพเจ้า ได้มีองค์สมเด็จพระสังฆราชเป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วก็จักเป็นการแสดงออกซึ่งความศรัทธาเคารพในพระองค์ท่านของข้าพเจ้าได้อย่างเหมาะสมอีกประการหนึ่ง จึงได้ตกลงใจที่จะบรรพชาอุปสมบทในวันที่ ๒๒ เดือนนี้”
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงผนวช ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๙ โดยสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า (มรว.ชื่น นพวงศ์) ฉายาสุจิต.โต วัดบวรนิเวศวิหารทรงเป็นพระราชอุปัชฌาย์ ทรงได้รับพระสมณนามว่า “ภูมิพโลภิกขุ”
ระหว่างทรงผนวชได้เสด็จไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรปั้นหุ่นและสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร มีพระนามของพระพุทธรูปว่า พระพุทธนาราวันตบพิตร ระหว่างที่ทรงผนวชพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบำเพ็ญพระราชจริยาวัตรดุจพระนวกะทั่วไป ทรงศึกษาพระธรรม และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้นยังได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ราษฎรได้เฝ้าถวายธูปเทียน-ดอกไม้ทุกวัน แล้วได้ทรงนำธูปเทียน-ดอกไม้นั้นไปถวายสักการะบูชาพระรัตนตรัยในโอกาสเสด็จทำวัตรเป็นประจำทุกเช้าทุกเย็น ทั้งยังเสด็จพระราชดำเนินออกทรงรับบาตรจากประชาชนทั่วไปอีกด้วย ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรงอยู่ในสมณเพศนั้น ได้ทรงตั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งก็ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจได้เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลาผนวชแล้ว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระอภิไธยให้เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๙
ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเป็นผู้ที่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาจนรอบรู้หลักธรรมอย่างละเอียด แจ่มแจ้ง และลึกซึ้ง แต่พระองค์ก็มิไดทรงกีดกันศาสนาอื่น ตรงกันข้ามกลับทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อทุกศาสนา ดังพระราชกรณียกิจที่จะขออัญเชิญมาบางส่วนดังนี้
ในทางพระพุทธศาสนา
นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพอพระราชหฤทัยที่จะฟังธรรม – สนทนาธรรมกับพระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและปฏิบัติธรรมด้วยพระองค์เองแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่เกื้อหนุนพระพุทธศาสนาอีกนานัปการ เช่น
•พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่สามเณรที่สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค เมื่อจะอุปสมบทให้เป็นนาคหลวง
•โปรดเกล้าฯ ให้จัดรายการธรรมะสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ทางสถานีวิทยุอ.ส. เพื่อเผยแพร่ศีลธรรม
•โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูป ภ.ป.ร., พระพุทธนวราชบพิตร และพระพุทธรูปพิมพ์หรือพระกำลังแผ่นดินที่เรียกกันว่า “หลวงพ่อจิตรลดา”
•โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นประธานกรรมการอำนวยการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามจนเสร็จสมบูรณ์งดงาม ทันงานฉลองสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี (เริ่มดำเนินการ พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึง พ.ศ.๒๕๒๕) เสด็จพระราชดำเนินบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ทั้งยังเสด็จพระราช-ดำเนินร่วมพิธีทางศาสนาตามคำกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จฯ เนืองๆ
•ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ทรงมีพระบรมราชโองการให้มีการสังคายนาตรวจชำระพระไตรปิฎก ซึ่งได้ดำเนินการสำเร็จทันวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๐ ในมหามงคลวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ ได้พิมพ์แล้วเสร็จทั้งฉบับบาลีและฉบับแปลเป็นภาษาไทย ประเทศไทยมีการศึกษาพระไตรปิฏกมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และได้มีการแปลเป็นภาษาไทยบางส่วนสืบต่อมาโดยตลอด แต่การแปลมาแล้วเสร็จครบชุดในสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้เอง ทั้งต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๓๑ มหาวิทยาลัยมหดิลยังได้นำข้อความในพระไตรปิฎกรวมหลายสิบล้านตัวอักษรเป็นจำนวน ๔๕ เล่ม เข้าจานแม่เหล็กชนิดแข็ง(HARD DISK) เพื่อนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้สามารถเรียกคำไหน ในเล่มใด หน้าใดก็ได้มาปรากฎในจอภาพทันที นับเป็นครั้งแรกของโลกที่มีพระไตรปิฎกภาษาบาลีฉบับคอมพิวเตอร์อันเป็นเกียรติประวัติสูงสุดของประเทศไทย ซึ่งก็ได้สำเร็จลงในสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยเช่นกัน
ต่อมายังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้มหาวิทยาลัยมหิดลดำเนินการเพิ่มข้อความภาษาบาลีในหนังสืออธิบายพระไตรปิฎกเรียกว่า “อรรถกถา” และคำอธิบายอรรถกถาที่เรียกว่า “ฎีกา” รวมเป็นหนังสือทั้งสิ้น ๙๘ เล่ม ให้สามารถเรียกข้อความที่ต้องการมาปรากฎในจอภาพ และพิมพ์ข้อความนั้นเป็นเอกสารได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งงานนี้สำเร็จก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๔ นับเป็นพระราชกรณียกิจที่ส่งเสริมและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างสำคัญยิ่ง เป็นความสำเร็จที่มีคุณค่าสูงต่อการศึกษาค้นคว้าของวงวิชาการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาทั่วโลกทีเดียว มิใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น
ศาสนาอื่น ๆ ในประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันเกื้อหนุนแต่พระพุทธศาสนาเท่านั้น หากแต่ได้พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่ทุกศาสนาในประเทศไทยอย่างทั่วถึง ได้เสด็จพระราชดำเนินร่วมงานของทุกศาสนาตามคำกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จ ทั้งยังได้พระราชทานพระ-ราชทรัพย์ส่วนพระองค์บำรุงศาสนาต่าง ๆ ตามสมควรเมื่อผู้แทนองค์การศาสนาได้เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรเนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปี
มีสิ่งที่ประวัติศาสตร์ควรจารึกเพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในการที่พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นพุทธมามกะ แต่ทรงมีพระราชดำริให้แปลคัมภีร์ของศาสนาอื่น ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้นายต่วน สุวรรณศาสน์ อดีตจุฬาราชมนตรี จัดตั้งกรรมการแปลและพิมพ์พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์สูงสุดของศาสนาอิสลามจากภาษาอาหรับเป็นภาษาไทย เพื่อให้ชาวไทยมุสลิมได้ศึกษาเล่าเรียนศาสนาของตนได้โดยสะดวก ซึ่งก็ได้แปลเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๑๕ แล้วได้แจกจ่ายไปยังมัสยิด ห้องสมุด และผู้สนใจทั่วประเทศ
พระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อการศาสนาทุกศาสนาที่กล่าวมานี้เป็นเเพียงส่วนหนึ่งที่ทรงปฏิบัติจริงทั้งหมด เป็นโชคดีของชาวไทยและผู้มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารทั้งหลายแล้วที่มีโอกาสอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร สมควรที่ทุกคนจะได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและตอบแทนด้วยการเป็นพสกนิกรที่ดีของพระองค์และเป็นพลเมืองดีของชาติตลอดไป
พระร้อยรัดดวงใจไทยทั้งผอง
ยิ่งนับวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระเมตตาโดยทรงมีพระราชประสงค์ให้พสกนิกรได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พสกนิกรชาวไทยเองไม่ว่าจะเชื้อชาติใดก็มีความรัก ความเทิดทูน และผูกพันต่อพระองค์เพิ่มทวีขึ้นอย่างประมาณมิได้เช่นกัน
นายวาเด็ง ปูเตะ ชาวไทยมุสลิม วัยกว่า ๖๐ ปี เจ้าของสวนผลไม้และสวนยางแห่งริมคลอง-ตุเวะ สายบุรี ปัตตานี ได้มีโอกาสเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด โดยไม่ทันรู้ตัวล่วงหน้ามาก่อน ในชุดเครื่องแต่งกายที่ใครก็นึกไม่ถึงคือ มีแต่เครื่องนุ่ง ไม่มีเครื่องห่มคือไม่สวมเสื้อระหว่างเสด็จฯ ทอดพระเนตร พรุแฆแฆและสภาพคลองตุเวะว่าจะมีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับจะผันเข้าสู่คลองส่งน้ำขนาดใหญ่หรือไม่
ซึ่งนายวาเด็ง ปูเต๊ะ ตอนนั้น ยังไม่ค่อยเชื่อว่าพระองค์จะเข้ามาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้ จึงคิดว่าผู้ที่มาบอกโกหก ขนาดมาพบพระองค์แล้ว นายวาเด็ง ปูเต๊ะ ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นในหลวงจริงหรือเปล่า จึงแอบหยิบเงินใบละ ๑๐๐ บาท กับใบละ ๒๐ บาทขึ้นมาดู จึงแน่ใจว่าเป็นพระองค์เสด็จฯ มาจริง ๆ
ซึ่งนายวาเด็งก็ได้กราบบังคมทูลฯ ตอบข้อซักถามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยภาษาพื้นบ้านของตนอย่างฉาดฉาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มิได้ทรงถือพระองค์ นายวาเด็งนั้นปิติล้นเหลือ กราบบังคมทูลฯ ว่า พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาเยี่ยมทั้งทีไม่มีอะไรจะถวายเลย ผลไม้ในสวนก็เพิ่งเก็บไปขาย ได้เงินซื้อเครื่องปั๊มน้ำมา ๑ เครื่อง ทั้งสวนขณะนี้เหลือทุเรียนอยู่ผลเดียว ดิบเสียด้วยหลายคนก็แย้งว่าลุงยังมีเครื่องปั๊มน้ำใหม่อยู่ด้วย นายวาเด็งตอบอย่างเด็ดเดี่ยวอย่างไม่เสียเวลาคิดว่า ถอดเอาขึ้นรถและขนไปเลย ขอถวายพระเจ้าอยู่หัว
การพูดนั้นไม่ได้พูดเล่น แววตาฉายความสุขในการที่จะสละสมบัติชิ้นเดียวที่ได้จากหยาดเหงื่อแรงงานทั้งปีถวายพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวลอย่างมีความสุข (ดารี ข่มอาวุธ เขียนโดยอ้างบันทึกการตามเสด็จของมนูญ มุกข์ประดิษฐ์)
อีก ๑ ปีถัดมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรความก้าวหน้าของโครงการพัฒนาพรุแฆแฆอีกครั้ง นายวาเด็งก็ไปรอรับเสด็จอีก ซึ่งก็ทรงมีพระราชปฏิสันถารอย่างเป็นกันเอง และยังได้โปรดเกล้าฯ ให้ติดตามพระองค์ขณะทรงงานตรวจเยี่ยมอีกด้วย
// วาเด็ง ปูเต๊ะ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระสหาย //
วาเด็ง ปูเต๊ะ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เป็นพระสหาย เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ณ โครงการพัฒนาพรุแฆแฆ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕
ในหลวงคงจะทรงลองใจ จึงตรัสถามขอที่ดิน เพื่อทำโครงการพระราชดำริ ด้วยความปลาบปลื้ม วาเด็ง ปูเต๊ะ จึงขอยกที่ดินถวายให้พระองค์ทันที ในหลวงจึงทรงแย้มพระสรวล และมีพระราชดำรัสว่าให้ วาเด็ง ปูเต๊ะ เป็นพระสหาย ตั้งแต่บัดนั้น ในหลวงตรัสเรื่องนี้ว่า
"วาเด็ง เป็นคนซื่อตรง จึงขอแต่งตั้งให้วาเด็งเป็นเพื่อนของในหลวง"
// ในหลวงตรัสให้วาเด็ง ปูเต๊ะ หยุดทำงานได้แล้ว //
ล่าสุด ในหลวง ตรัสว่าให้วาเด็งหยุดทำงานได้แล้ว เพราะแก่แล้ว อายุมากแล้ว ทรงเป็นห่วงสุขภาพวาเด็ง กลัวว่าทำงานหนักจะไม่สบาย วาเด็ง ปูเต๊ะ ก็นั่งทบทว
ในหลวงกับพระพุทธศาสนา
ในเรื่องของการยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาของชนชาติไทย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฏอยู่หลายทาง ไม่ว่าจะจากการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระเจ้าอโศก-มหาราชเข้ามาทางอาณาจักรสุวรรณภูมิ (ปัจจุบันคือนครปฐม) เมื่อปี พ.ศ.๒๓๔ หรือจากศิลาจารึกเก่าแก่ชื่อว่า “จารึกอาณาจักรน่านเจ้า” ที่เชื่อกันว่ากระทำโดยนักปราชญ์จีน “เชงเหว” เมื่อปี พ.ศ.๑๓๐๙ จึงกล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาตั้งแต่โบราณกาล และพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ก็ล้วนทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อการทำนุบำรุงและปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาสืบต่อมาทั้งสิ้น แม้องค์ปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็ได้ทรงแสดงพระราชปณิธานไว้ในนิราศท่าดินแดงว่า
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี”
ซึ่งก็ได้ทรงปฏิบัติตามพระราชปณิธานนั้นมาโดยตลอด และพระมหากษัตริย์รัชกาลต่อๆ มาก็ได้ทรงทำนุ-บำรุงพระพุทธศาสนาทุกพระองค์อย่างต่อเนื่องจนถึงรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นทรงสนพระราชหฤทัยในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงเคยได้รับการปลูกฝังความรู้ความเข้าใจจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนีมาก่อนแล้ว ต่อมายังได้ทรงศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เอง และทรงศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง จึงเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงแถลงพระราชดำริที่จะบรรพชาอุปสมบทต่อมหาสมาคม อันประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และคณะทูตานุทูตความตอนหนึ่งว่า
“โดยที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่ง เนื่องในบรรดาสัจธรรมคำสั่งสอนอันชอบด้วยเหตุผล จึงเคยคิดอยู่ว่าถ้าโอกาสอำนวย ข้าพเจ้าควรจักได้บวชสักเวลาหนึ่งตามราชประเพณี ซึ่งจักเป็นทางสนองพระเดชพระคุณพระราชบุพการีตามคตินิยมด้วย และนับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากพระเชษฐาธิราช ก็ล่วงมากว่าสิบปีแล้ว เห็นว่าน่าจะถึงเวลาที่ควรจะทำตามความตั้งใจไว้นั้นแล้วประการหนึ่ง อนึ่ง การที่องค์สมเด็จพระสังฆราชหายประชวรมาได้ในคราวประชวรครั้งหลังนี้ก่อให้เกิดความปิติยินดีแก่ข้าพเจ้ายิ่งนัก ได้มาคำนึงว่าถ้าในการอุปสมบทของข้าพเจ้า ได้มีองค์สมเด็จพระสังฆราชเป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วก็จักเป็นการแสดงออกซึ่งความศรัทธาเคารพในพระองค์ท่านของข้าพเจ้าได้อย่างเหมาะสมอีกประการหนึ่ง จึงได้ตกลงใจที่จะบรรพชาอุปสมบทในวันที่ ๒๒ เดือนนี้”
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงผนวช ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๙ โดยสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า (มรว.ชื่น นพวงศ์) ฉายาสุจิต.โต วัดบวรนิเวศวิหารทรงเป็นพระราชอุปัชฌาย์ ทรงได้รับพระสมณนามว่า “ภูมิพโลภิกขุ”
ระหว่างทรงผนวชได้เสด็จไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรปั้นหุ่นและสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร มีพระนามของพระพุทธรูปว่า พระพุทธนาราวันตบพิตร ระหว่างที่ทรงผนวชพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบำเพ็ญพระราชจริยาวัตรดุจพระนวกะทั่วไป ทรงศึกษาพระธรรม และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้นยังได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ราษฎรได้เฝ้าถวายธูปเทียน-ดอกไม้ทุกวัน แล้วได้ทรงนำธูปเทียน-ดอกไม้นั้นไปถวายสักการะบูชาพระรัตนตรัยในโอกาสเสด็จทำวัตรเป็นประจำทุกเช้าทุกเย็น ทั้งยังเสด็จพระราชดำเนินออกทรงรับบาตรจากประชาชนทั่วไปอีกด้วย ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรงอยู่ในสมณเพศนั้น ได้ทรงตั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งก็ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจได้เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลาผนวชแล้ว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระอภิไธยให้เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๙
ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเป็นผู้ที่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาจนรอบรู้หลักธรรมอย่างละเอียด แจ่มแจ้ง และลึกซึ้ง แต่พระองค์ก็มิไดทรงกีดกันศาสนาอื่น ตรงกันข้ามกลับทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อทุกศาสนา ดังพระราชกรณียกิจที่จะขออัญเชิญมาบางส่วนดังนี้
ในทางพระพุทธศาสนา
นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพอพระราชหฤทัยที่จะฟังธรรม – สนทนาธรรมกับพระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและปฏิบัติธรรมด้วยพระองค์เองแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่เกื้อหนุนพระพุทธศาสนาอีกนานัปการ เช่น
•พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่สามเณรที่สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค เมื่อจะอุปสมบทให้เป็นนาคหลวง
•โปรดเกล้าฯ ให้จัดรายการธรรมะสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ทางสถานีวิทยุอ.ส. เพื่อเผยแพร่ศีลธรรม
•โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูป ภ.ป.ร., พระพุทธนวราชบพิตร และพระพุทธรูปพิมพ์หรือพระกำลังแผ่นดินที่เรียกกันว่า “หลวงพ่อจิตรลดา”
•โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นประธานกรรมการอำนวยการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามจนเสร็จสมบูรณ์งดงาม ทันงานฉลองสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี (เริ่มดำเนินการ พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึง พ.ศ.๒๕๒๕) เสด็จพระราชดำเนินบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ทั้งยังเสด็จพระราช-ดำเนินร่วมพิธีทางศาสนาตามคำกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จฯ เนืองๆ
•ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ทรงมีพระบรมราชโองการให้มีการสังคายนาตรวจชำระพระไตรปิฎก ซึ่งได้ดำเนินการสำเร็จทันวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๐ ในมหามงคลวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ ได้พิมพ์แล้วเสร็จทั้งฉบับบาลีและฉบับแปลเป็นภาษาไทย ประเทศไทยมีการศึกษาพระไตรปิฏกมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และได้มีการแปลเป็นภาษาไทยบางส่วนสืบต่อมาโดยตลอด แต่การแปลมาแล้วเสร็จครบชุดในสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้เอง ทั้งต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๓๑ มหาวิทยาลัยมหดิลยังได้นำข้อความในพระไตรปิฎกรวมหลายสิบล้านตัวอักษรเป็นจำนวน ๔๕ เล่ม เข้าจานแม่เหล็กชนิดแข็ง(HARD DISK) เพื่อนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้สามารถเรียกคำไหน ในเล่มใด หน้าใดก็ได้มาปรากฎในจอภาพทันที นับเป็นครั้งแรกของโลกที่มีพระไตรปิฎกภาษาบาลีฉบับคอมพิวเตอร์อันเป็นเกียรติประวัติสูงสุดของประเทศไทย ซึ่งก็ได้สำเร็จลงในสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยเช่นกัน
ต่อมายังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้มหาวิทยาลัยมหิดลดำเนินการเพิ่มข้อความภาษาบาลีในหนังสืออธิบายพระไตรปิฎกเรียกว่า “อรรถกถา” และคำอธิบายอรรถกถาที่เรียกว่า “ฎีกา” รวมเป็นหนังสือทั้งสิ้น ๙๘ เล่ม ให้สามารถเรียกข้อความที่ต้องการมาปรากฎในจอภาพ และพิมพ์ข้อความนั้นเป็นเอกสารได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งงานนี้สำเร็จก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๔ นับเป็นพระราชกรณียกิจที่ส่งเสริมและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างสำคัญยิ่ง เป็นความสำเร็จที่มีคุณค่าสูงต่อการศึกษาค้นคว้าของวงวิชาการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาทั่วโลกทีเดียว มิใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น
ศาสนาอื่น ๆ ในประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันเกื้อหนุนแต่พระพุทธศาสนาเท่านั้น หากแต่ได้พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่ทุกศาสนาในประเทศไทยอย่างทั่วถึง ได้เสด็จพระราชดำเนินร่วมงานของทุกศาสนาตามคำกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จ ทั้งยังได้พระราชทานพระ-ราชทรัพย์ส่วนพระองค์บำรุงศาสนาต่าง ๆ ตามสมควรเมื่อผู้แทนองค์การศาสนาได้เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรเนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปี
มีสิ่งที่ประวัติศาสตร์ควรจารึกเพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในการที่พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นพุทธมามกะ แต่ทรงมีพระราชดำริให้แปลคัมภีร์ของศาสนาอื่น ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้นายต่วน สุวรรณศาสน์ อดีตจุฬาราชมนตรี จัดตั้งกรรมการแปลและพิมพ์พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์สูงสุดของศาสนาอิสลามจากภาษาอาหรับเป็นภาษาไทย เพื่อให้ชาวไทยมุสลิมได้ศึกษาเล่าเรียนศาสนาของตนได้โดยสะดวก ซึ่งก็ได้แปลเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๑๕ แล้วได้แจกจ่ายไปยังมัสยิด ห้องสมุด และผู้สนใจทั่วประเทศ
พระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อการศาสนาทุกศาสนาที่กล่าวมานี้เป็นเเพียงส่วนหนึ่งที่ทรงปฏิบัติจริงทั้งหมด เป็นโชคดีของชาวไทยและผู้มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารทั้งหลายแล้วที่มีโอกาสอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร สมควรที่ทุกคนจะได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและตอบแทนด้วยการเป็นพสกนิกรที่ดีของพระองค์และเป็นพลเมืองดีของชาติตลอดไป
พระร้อยรัดดวงใจไทยทั้งผอง
ยิ่งนับวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระเมตตาโดยทรงมีพระราชประสงค์ให้พสกนิกรได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พสกนิกรชาวไทยเองไม่ว่าจะเชื้อชาติใดก็มีความรัก ความเทิดทูน และผูกพันต่อพระองค์เพิ่มทวีขึ้นอย่างประมาณมิได้เช่นกัน
นายวาเด็ง ปูเตะ ชาวไทยมุสลิม วัยกว่า ๖๐ ปี เจ้าของสวนผลไม้และสวนยางแห่งริมคลอง-ตุเวะ สายบุรี ปัตตานี ได้มีโอกาสเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด โดยไม่ทันรู้ตัวล่วงหน้ามาก่อน ในชุดเครื่องแต่งกายที่ใครก็นึกไม่ถึงคือ มีแต่เครื่องนุ่ง ไม่มีเครื่องห่มคือไม่สวมเสื้อระหว่างเสด็จฯ ทอดพระเนตร พรุแฆแฆและสภาพคลองตุเวะว่าจะมีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับจะผันเข้าสู่คลองส่งน้ำขนาดใหญ่หรือไม่
ซึ่งนายวาเด็ง ปูเต๊ะ ตอนนั้น ยังไม่ค่อยเชื่อว่าพระองค์จะเข้ามาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้ จึงคิดว่าผู้ที่มาบอกโกหก ขนาดมาพบพระองค์แล้ว นายวาเด็ง ปูเต๊ะ ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นในหลวงจริงหรือเปล่า จึงแอบหยิบเงินใบละ ๑๐๐ บาท กับใบละ ๒๐ บาทขึ้นมาดู จึงแน่ใจว่าเป็นพระองค์เสด็จฯ มาจริง ๆ
ซึ่งนายวาเด็งก็ได้กราบบังคมทูลฯ ตอบข้อซักถามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยภาษาพื้นบ้านของตนอย่างฉาดฉาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มิได้ทรงถือพระองค์ นายวาเด็งนั้นปิติล้นเหลือ กราบบังคมทูลฯ ว่า พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาเยี่ยมทั้งทีไม่มีอะไรจะถวายเลย ผลไม้ในสวนก็เพิ่งเก็บไปขาย ได้เงินซื้อเครื่องปั๊มน้ำมา ๑ เครื่อง ทั้งสวนขณะนี้เหลือทุเรียนอยู่ผลเดียว ดิบเสียด้วยหลายคนก็แย้งว่าลุงยังมีเครื่องปั๊มน้ำใหม่อยู่ด้วย นายวาเด็งตอบอย่างเด็ดเดี่ยวอย่างไม่เสียเวลาคิดว่า ถอดเอาขึ้นรถและขนไปเลย ขอถวายพระเจ้าอยู่หัว
การพูดนั้นไม่ได้พูดเล่น แววตาฉายความสุขในการที่จะสละสมบัติชิ้นเดียวที่ได้จากหยาดเหงื่อแรงงานทั้งปีถวายพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวลอย่างมีความสุข (ดารี ข่มอาวุธ เขียนโดยอ้างบันทึกการตามเสด็จของมนูญ มุกข์ประดิษฐ์)
อีก ๑ ปีถัดมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรความก้าวหน้าของโครงการพัฒนาพรุแฆแฆอีกครั้ง นายวาเด็งก็ไปรอรับเสด็จอีก ซึ่งก็ทรงมีพระราชปฏิสันถารอย่างเป็นกันเอง และยังได้โปรดเกล้าฯ ให้ติดตามพระองค์ขณะทรงงานตรวจเยี่ยมอีกด้วย
// วาเด็ง ปูเต๊ะ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระสหาย //
วาเด็ง ปูเต๊ะ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เป็นพระสหาย เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ณ โครงการพัฒนาพรุแฆแฆ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕
ในหลวงคงจะทรงลองใจ จึงตรัสถามขอที่ดิน เพื่อทำโครงการพระราชดำริ ด้วยความปลาบปลื้ม วาเด็ง ปูเต๊ะ จึงขอยกที่ดินถวายให้พระองค์ทันที ในหลวงจึงทรงแย้มพระสรวล และมีพระราชดำรัสว่าให้ วาเด็ง ปูเต๊ะ เป็นพระสหาย ตั้งแต่บัดนั้น ในหลวงตรัสเรื่องนี้ว่า
"วาเด็ง เป็นคนซื่อตรง จึงขอแต่งตั้งให้วาเด็งเป็นเพื่อนของในหลวง"
// ในหลวงตรัสให้วาเด็ง ปูเต๊ะ หยุดทำงานได้แล้ว //
ล่าสุด ในหลวง ตรัสว่าให้วาเด็งหยุดทำงานได้แล้ว เพราะแก่แล้ว อายุมากแล้ว ทรงเป็นห่วงสุขภาพวาเด็ง กลัวว่าทำงานหนักจะไม่สบาย วาเด็ง ปูเต๊ะ ก็นั่งทบทว