ร้องทุกข์เรื่องประกันชีวิต
ดิฉันย้ายครอบครัวจากแปดริ้วมาอยู่ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ต้องการส่งประกันเองกับสำนักงานประกันใกล้บ้าน จึงได้ปรึกษากับตัวแทนที่ต้องมาจอดรถหน้าบ้านดิฉันทุกวัน ตัวแทนบอกว่าสามารถย้ายได้และช่วยทำเรื่องย้ายให้เรียบร้อย รอบต่อไปดิฉันสามารถส่งกับ สนง.ใกล้บ้านได้เลย จากนั้นผ่านมาอีกเกือบ ๒ เดือน จนถึงเวลาที่ต้องชำระค่าประกัน ดิฉันส่งเบี้ยประกัน ๓ ฉบับ ของดิฉันเองเป็นแบบรายเดือนหักจากบัญชีธนาคาร ของสามีจ่ายราย ๖ เดือน ของลูกชายคนเล็กจ่ายราย ๓ เดือน ของลูกชายคนโตจ่ายรายปีแต่ไม่ได้ทำกับบริษัทประกันนี้
ดิฉันจึงได้ทวงถามไปยังตัวแทนว่าไม่เห็นมีเอกสารมาให้ส่งเงินเลยถึงกำหนดที่ต้องชำระแล้ว ตัวแทนได้ขอกรมธรรม์ไปตรวจสอบทั้งที่เคยขอไปแล้วครั้งหนึ่งตอนทำเรื่องให้ สักครู่ตัวแทนก็กลับมาแจ้งว่า “กรมธรรม์ของดิฉันและครอบครัวไม่ทันสมัย” ซึ่งตอนนี้บริษัทฯ มีแพคเกจใหม่ที่ทันสมัยมากกว่าเดิม และคุ้มครองได้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะของสามีที่ดิฉันทำเพียงเบี้ยประกันชีวิตไว้ไม่ได้ซื้อสุขภาพก็จำเป็นที่จะต้องทำเพิ่ม รวมทั้งของลูกชายคนโตที่ทำกับบริษัทอื่นก็ไม่ทันสมัยด้วยของใหม่ดีกว่า บอกตามตรงว่าดิฉันไม่เข้าใจคำว่าไม่ทันสมัยนั้นมีอะไรบ้าง รู้แต่ว่ามันคงดีกว่าจริงๆ แต่ติดตรงที่ว่าจำนวนเงินที่ต้องทำใหม่นั้นมากถึง ๖ หมื่นกว่าบาท ซึ่งเงินที่มีอยู่เป็นเงินที่ต้องใช้ในการปรับปรุงร้านค้าไม่สามารถนำมาใช้ได้ จึงได้แจ้งไปที่ตัวแทนว่าดิฉันคงไม่พร้อม เพราะเงินมันมาก และหากดิฉันต้องส่งทั้งฉบับเก่า ๔ ฉบับและฉบับใหม่ด้วยคงจะไม่ไหว
ตัวแทนแจ้งว่าดิฉันไม่ต้องเสียเงินอะไรเลยเพราะกรมธรรม์ชุดเก่าของดิฉันเกิดมูลค่าแล้ว สามารถนำเงินในนั้นมาซื้อชุดใหม่ได้เลย แล้วพอชุดใหม่ผ่านการอนุมัติก็ค่อยทำเรื่องขยายเวลากรมธรรม์ชุดเก่าออกไป ไม่ต้องส่งกรมธรรม์ชุดเก่าอีก ซึ่งยอดเงินที่ตัวแทนไปเชคมาให้นั้น สำหรับของดิฉัน สามี และลูกชายคนเล็ก มีมูลค่าคงเหลือ ประมาณ ๘ หมื่นกว่า และของลูกชายคนโตที่เป็นบริษัทประกันอื่นนั้นมียอดเหลือ ๗ หมื่นกว่าบาท ซึ่งตัวแทนจะทำเรื่องเบิกเงินเหล่านั้นมาให้ และสำหรับกรมธรรม์ฉบับใหม่ที่ต้องการซื้อนั้นยอดรวม ๖ หมื่นกว่า แต่ตัวแทนลดค่านายหน้าให้ดิฉันจึงจ่ายเพียงแค่ประมาณ ๕๓,๐๐๐ บาทเท่านั้น
ดิฉันและสามีได้ปรึกษากันแล้วว่าแค่เงินคงเหลือของกรมธรรม์บริษัทนี้ก็ ๘ หมื่นกว่าแล้ว จ่ายไป ๕๓,๐๐๐ แล้วยังเหลือเงินอีก ๓ หมื่นกว่าบาท งั้นก็ไม่ต้องเบิกของลูกชายคนโตมาให้เงินคงค้างอยู่อย่างนั้น เราจะเบิกแค่ของบริษัทนี้เพียงแห่งเดียว และเงินที่เหลืออีก ๓ หมื่นกว่าเราก็จะเอามาซื้อประกันให้พ่อกับแม่เพิ่ม ซึ่งตัวแทนได้นำมาเสนอคร่าวๆ ๒ คนรวมกัน ๓ หมื่นกว่าบาท เหลือยอดส่วนต่างที่เราต้องจ่ายนิดหน่อย และสำหรับลูกชายคนโตที่ทำประกันไว้กับอีกบริษัทหนึ่งนั้นเราจะไม่ไปยุ่งกับเงินตรงนั้นเพราะเป็นเงินออมของลูก
พอดิฉันตกลงทำประกันซึ่งตัวแทนได้นำเอกสารมาให้เซ็นที่บ้านอย่างรวดเร็วมากซึ่งดิฉันรู้สึกดีที่เขาให้ความใส่ใจเรามากขนาดนี้ เงินก็ไม่ต้องเสียเพราะตัวแทนสำรองจ่ายไปก่อนทั้งหมดเสร็จสิ้นทุกอย่างในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตัวแทนบอกว่าให้ไปเซ็นรับเงินคืนเพื่อเอาเงินมาให้เขา เพราะเขาได้จ่ายสำรองไปแล้ว ดิฉันไปเซ็นรับเงินที่ สนง.ชุมแพ ปรากฏว่ายอดเงินที่คิดว่าจะได้ ๘ หมื่นกว่ากลับเหลือแค่ ๓๖,๐๐๐ บาท ดิฉันคิดว่ามันคงต้องมีเรื่องผิดพลาดจึงได้เชิญตัวแทนมาตรงเคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่พร้อมสอบถามว่าทำไมยอดเงินจาก ๘ หมื่นกว่าจึงเหลือแค่ ๓ หมื่นกว่า และที่สำคัญเอกสารการเบิกงานก็กลายเป็นสัญญาการกู้เงินด้วย ตัวแทนบอกว่าสงสัยสมุห์บัญชีจะเชคผิดให้เซ็นรับเงินไปก่อนเดี๋ยวไปคุยกันที่บ้าน
ตัวแทนมาชี้แจงว่า สมุห์บัญชีของสำนักงานเชคตัวเงินมาให้ผิดเขาเองก็ลำบากเพราะก็จ่ายเงินไปแล้ว ดิฉันต้องไปกดเงินส่วนต่างมาให้เพราะเข้าใจว่าเขาคงไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ทั้งที่รู้สึกไม่ดีมากๆ ในขณะที่คุยกับดิฉันก็บ่นไปด้วยว่า สมุห์บัญชีเป็นคนควบคุมเงินของ สนง.ไม่น่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ต้องให้เงินเขาไปเพราะตัวแทนออกเงินไปให้ก่อนแล้ว
มาถึงเครสของพ่อแม่ เดิมทีตัวแทนแจ้งว่า ๒ คนรวมกันยอดอยู่ประมาณ ๓ หมื่นกว่า เมื่อดิฉันไม่มีเงิน พ่อแม่ก็เลยเอาเงินท่านมาให้ เพราะไม่อยากให้เราลำบากมากไปกว่านี้ แต่พอจะทำจริงกลับกลายเป็นว่าการซื้อสุขภาพของพ่อและแม่ไม่ควบคุมตามที่ควรจะเป็น เพราะค่ารักษาพยาบาลน้อยเกินไปกว่าที่ต้องจ่ายจริงสำหรับโรงพยาบาลที่ดีในจังหวัดขอนแก่น ค่าห้องไม่พอ อุบัติเหตุไม่มี ทำให้ต้องซื้อเพิ่ม สรุปของพ่อเกือบ ๓ หมื่นบาท ของแม่ประมาณ ๒ หมื่นหก รวมกันประมาณ ๕ หมื่นห้า ซึ่งดิฉันมีเงินเพียง ๓ หมื่นจึงไม่พอ ดิฉันจึงคิดเป็นตัวแทนเองเพื่อจะได้ค่าคอมมิชชั่น จึงแจ้งทางตัวแทนไปว่าต้องการเป็นตัวแทนเอง ซึ่งเท่ากับว่าดิฉันเป็นตัวแทนฝึกหัดเพื่อซื้อประกันของพ่อและแม่ แต่ต้องจ่ายยอดเต็มไปก่อนทางบริษัทจึงจะหักค่าคอมฯ ออกมาให้ ตรงนี้ดิฉันรับทราบดี
รวมแล้วดิฉันต้องจ่ายค่าประกันทั้งหมด ๑๑๖,๐๐๐ บาท สำหรับการประกันชีวิตทั้งครอบครัว ๖ คน ทั้งที่จุดประสงค์ที่ต้องการคือ แค่ย้ายมาส่งเงินที่สาขาชุมแพ ดิฉันเป็นหนี้เงินกู้ของประกันประมาณ ๓๖,๐๐๐ บาท กดเงินสดของตนเองและของพ่อแม่มาจ่ายเพิ่มประมาณ ๘ หมื่นบาท ทั้งที่รู้ว่าตัวแทนเล่นแง่และเข้าข่ายหลอกลวงเราเพื่อให้ซื้อประกัน แต่ก็ยังคิดในแง่ดีค่ะว่า มันเป็นความจำเป็นที่ทุกคนในครอบครัวต้องมีประกันชีวิต และดิฉันเองก็ทำประกันกับบริษัทนี้มากว่า ๘ ปีแล้ว เรื่องยังไม่จบแค่นั้นค่ะ
เมื่อดิฉันมาฉุกคิดตรงที่ตัวแทนแจ้งว่ากรมธรรม์ชุดใหม่จะมีผลนับจาก ๖ เดือนต่อจากนี้ ดิฉันจึงถามตัวแทนไปว่า แล้วที่พี่ให้หยุดส่งกรมธรรม์ฉบับเก่าแล้วหากหนูและคนในครอบครัวเจ็บป่วยขึ้นมาในเวลานี้จะทำยังไง ตัวแทนก็แนะนำว่า งั้นก็จ่ายฉบับเก่าไป ๖ เดือนก่อน พอกรมธรรม์ฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ค่อยหยุดส่งฉบับเก่า แล้วเขาจะทำเรื่องขยายเวลาให้ ดิฉันจึงได้ปรึกษาต่อว่าเงินกู้ที่เอามา ๓๖,๐๐๐ บาท บวกกับเงินที่ต้องส่งประกันปีต่อไปอีก ๑๑๖,๐๐๐ บาท ถ้าดิฉันไม่มีเงินส่งในปีหน้าจะทำยังไง และจะยังเงินที่ต้องส่งประกันฉบับเก่าอีก ๖ เดือน ไหนจะยังดอกเบี้ยเงินกู้อีก ดิฉันคิดว่าตัวเองคงจะไม่ไหว
ตัวแทนได้ให้คำแนะนำว่า ถ้าครบกำหนดชำระหนี้แล้วเราไม่มีเงินไปชำระก็ไม่เป็นไรเพราะประกันเขาจะหักยอดเงินที่คงเหลือในกรมธรรม์ไปเอง กรมธรรม์ฉบับเก่าก็จะถูกปิดไปโดยปริยาย ดิฉันยิ่งฟังก็ยิ่งงง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวดิฉัน
ประมาณกลางเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ตัวแทนได้นำกรมธรรม์ของดิฉัน สามี แม่สามี และลูกทั้งสองคนมาส่งให้ โดยมาฝากไว้กับสามีและก็ไป ไม่ได้มาอธิบายเนื้อหาของกรมธรรม์ให้ฟังแต่อย่างใด ซึ่งตัวดิฉันเองก็ไม่อยากฟัง เพราะไม่อยากเจอหน้าตัวแทนอีก มันรู้สึกไม่สนิทใจที่ต้องไหว้ต้องทักทาย เพราะรู้ทั้งรู้ว่าเขาหลอกหาประโยชน์กับเรา หลอกคนที่คิดทำประกันเพราะเข้าใจถึงความจำเป็น หลอกลูกค้าที่เคยรู้สึกดีๆ กับบริษัทนี้มาตลอด ๘ ปีเต็ม กรมธรรม์ถูกวางไว้ข้างโต๊ะทำงานตั้งแต่วันนั้นโดยไม่มีใครไปแตะไปเปิดดู เพราะเสียความรู้สึกกันไปทั้งบ้าน
เครสของพ่อยังไม่ผ่านเพราะตรวจสุขภาพแล้วพบว่ามีไขมันในเส้นเลือดสูง สามีรู้สึกไม่สบายใจจึงโทรไปปรึกษาญาติๆ ที่เป็นตัวแทนอยู่ที่อำเภอภูเวียง เช้าวันรุ่งขึ้นญาติมาเชคให้ก็สรุปให้เราสบายใจว่าเป็นการตรวจพบความเสี่ยงของการเป็นโรคเฉยๆ เพราะบริษัทต้องประเมินว่าจะสามารถรับทำประกันได้หรือไม่ แต่พี่เขาไปตรวจสอบให้แล้วคงมีการเรียกเก็บค่าเบี้ยประกันเพิ่ม หรืออาจไม่คุ้มครองในโรคที่มีความเสี่ยงนั้นๆ ดิฉันจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่ตัวแทนท่านนี้ฟัง พี่เขาเลยขอดูกรมธรรม์ทั้งฉบับเก่าและฉบับใหม่ที่เพิ่งทำมา เพราะคำว่า “กรมธรรม์ไม่ทันสมัย” พี่เขาไม่เคยได้ยิน และถ้าลูกค้ามีกรมธรรม์ฉบับเดิมอยู่แล้วนั้นตัวแทนควรแนะนำให้ซื้อสุขภาพเพิ่มเติม แต่หากไม่มีก็สามารถซื้อฉบับใหม่ได้ และการแนะนำให้ลูกค้าใช้เงินในกรมธรรม์ชุดเก่ามาซื้อชุดใหม่โดยไม่คำนึงถึงรายได้ของลูกค้าว่าจะสามารถชำระได้หรือไม่ก็ไม่ควร เพราะดิฉันกำลังต่อเติมร้านยังไม่ได้เปิดดำเนินกิจการเลย
เมื่อตรวจสอบกรมธรรม์ก็เป็นจริงตามที่สงสัยไว้ เพราะกรมธรรม์ฉบับเก่าของดิฉันและลูกๆ นั้น ครอบคลุมการรักษาพยาบาลไว้ครบแล้ว แค่ไม่มีค่าห้องที่จะชดเชยรายวันเท่านั้น และของตัวดิฉันเองกรมธรรม์ฉบับเก่าวงเงินเอาประกัน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ไม่จำเป็นต้องมาทำฉบับใหม่ที่มีวงเงินเพียง ๑๐๐,๐๐๐ บาท คุ้มครองน้อยลง ส่วนสามีควรทำเพราะยังไม่มีประกันสุขภาพ ของแม่สามีและพ่อสามีก็ควรทำเพราะยังไม่ประกันสุขภาพเช่นเดียวกัน
พี่ตัวแทนของภูเวียงได้สอบถามว่า ตัวแทนที่นำกรมธรรม์มาส่งได้ชี้แจงข้อมูลในกรมธรรม์ให้เราฟังหรือไม่ เพราะเรายังไม่ได้ลงชื่อรับกรมธรรม์ทั้ง ๕ ฉบับเลย ดิฉันก็แจ้งตามความเป็นจริงว่า ตัวแทนแค่เอาใส่กระเป๋ามาส่งแล้วก็ไป ซึ่งดิฉันก็ไม่ได้อยากคุยกับตัวแทนสักเท่าไหร่เพราะเสียความรู้สึกไปมากมาย เงินก็หมด เป็นหนี้อีก ก่อนหน้านี้ดิฉันได้โทรไปปรึกษาตัวแทนคนเก่าที่แปดริ้วก็ได้คำแนะนำว่าหากเราไม่สะดวกจะทำก็สามารถยกเลิกได้ ก็เลยถามพี่เขาว่ายกเลิกได้มั้ย แต่ต้องขอให้พี่เขาช่วยเพราะเราไม่รู้จะทำยังไง พี่ตัวแทนของภูเวียงช่วยเดินเรื่องยกเลิกกรมธรรม์ทั้งหมดโดยแจ้งให้ทราบว่าหากยกเลิกไปแล้ว และต้องการทำใหม่ในฐานะที่เราเป็นตัวแทนเองเราจะได้ค่าคอมฯ แค่ ๕๐% นะ ดิฉันตอบตกลงเพราะไม่อยากทำงานร่วมกับคนแบบนั้นอีกแล้ว ดิฉันเขียนสาเหตุของการขอยกเลิกกรมธรรม์ไปว่า ดิฉันมีความจำเป็นต้องใช้เงินจึงขอยกเลิกกรมธรรม์ฉบับดังกล่าว เพราะไม่อยากให้กระทบกระเทือนถึงใคร
ร้องทุกข์เรื่องประกันชีวิต เครสแบบนี้ หากดิฉันฟ้องร้องจะชนะหรือไม่
ดิฉันย้ายครอบครัวจากแปดริ้วมาอยู่ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ต้องการส่งประกันเองกับสำนักงานประกันใกล้บ้าน จึงได้ปรึกษากับตัวแทนที่ต้องมาจอดรถหน้าบ้านดิฉันทุกวัน ตัวแทนบอกว่าสามารถย้ายได้และช่วยทำเรื่องย้ายให้เรียบร้อย รอบต่อไปดิฉันสามารถส่งกับ สนง.ใกล้บ้านได้เลย จากนั้นผ่านมาอีกเกือบ ๒ เดือน จนถึงเวลาที่ต้องชำระค่าประกัน ดิฉันส่งเบี้ยประกัน ๓ ฉบับ ของดิฉันเองเป็นแบบรายเดือนหักจากบัญชีธนาคาร ของสามีจ่ายราย ๖ เดือน ของลูกชายคนเล็กจ่ายราย ๓ เดือน ของลูกชายคนโตจ่ายรายปีแต่ไม่ได้ทำกับบริษัทประกันนี้
ดิฉันจึงได้ทวงถามไปยังตัวแทนว่าไม่เห็นมีเอกสารมาให้ส่งเงินเลยถึงกำหนดที่ต้องชำระแล้ว ตัวแทนได้ขอกรมธรรม์ไปตรวจสอบทั้งที่เคยขอไปแล้วครั้งหนึ่งตอนทำเรื่องให้ สักครู่ตัวแทนก็กลับมาแจ้งว่า “กรมธรรม์ของดิฉันและครอบครัวไม่ทันสมัย” ซึ่งตอนนี้บริษัทฯ มีแพคเกจใหม่ที่ทันสมัยมากกว่าเดิม และคุ้มครองได้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะของสามีที่ดิฉันทำเพียงเบี้ยประกันชีวิตไว้ไม่ได้ซื้อสุขภาพก็จำเป็นที่จะต้องทำเพิ่ม รวมทั้งของลูกชายคนโตที่ทำกับบริษัทอื่นก็ไม่ทันสมัยด้วยของใหม่ดีกว่า บอกตามตรงว่าดิฉันไม่เข้าใจคำว่าไม่ทันสมัยนั้นมีอะไรบ้าง รู้แต่ว่ามันคงดีกว่าจริงๆ แต่ติดตรงที่ว่าจำนวนเงินที่ต้องทำใหม่นั้นมากถึง ๖ หมื่นกว่าบาท ซึ่งเงินที่มีอยู่เป็นเงินที่ต้องใช้ในการปรับปรุงร้านค้าไม่สามารถนำมาใช้ได้ จึงได้แจ้งไปที่ตัวแทนว่าดิฉันคงไม่พร้อม เพราะเงินมันมาก และหากดิฉันต้องส่งทั้งฉบับเก่า ๔ ฉบับและฉบับใหม่ด้วยคงจะไม่ไหว
ตัวแทนแจ้งว่าดิฉันไม่ต้องเสียเงินอะไรเลยเพราะกรมธรรม์ชุดเก่าของดิฉันเกิดมูลค่าแล้ว สามารถนำเงินในนั้นมาซื้อชุดใหม่ได้เลย แล้วพอชุดใหม่ผ่านการอนุมัติก็ค่อยทำเรื่องขยายเวลากรมธรรม์ชุดเก่าออกไป ไม่ต้องส่งกรมธรรม์ชุดเก่าอีก ซึ่งยอดเงินที่ตัวแทนไปเชคมาให้นั้น สำหรับของดิฉัน สามี และลูกชายคนเล็ก มีมูลค่าคงเหลือ ประมาณ ๘ หมื่นกว่า และของลูกชายคนโตที่เป็นบริษัทประกันอื่นนั้นมียอดเหลือ ๗ หมื่นกว่าบาท ซึ่งตัวแทนจะทำเรื่องเบิกเงินเหล่านั้นมาให้ และสำหรับกรมธรรม์ฉบับใหม่ที่ต้องการซื้อนั้นยอดรวม ๖ หมื่นกว่า แต่ตัวแทนลดค่านายหน้าให้ดิฉันจึงจ่ายเพียงแค่ประมาณ ๕๓,๐๐๐ บาทเท่านั้น
ดิฉันและสามีได้ปรึกษากันแล้วว่าแค่เงินคงเหลือของกรมธรรม์บริษัทนี้ก็ ๘ หมื่นกว่าแล้ว จ่ายไป ๕๓,๐๐๐ แล้วยังเหลือเงินอีก ๓ หมื่นกว่าบาท งั้นก็ไม่ต้องเบิกของลูกชายคนโตมาให้เงินคงค้างอยู่อย่างนั้น เราจะเบิกแค่ของบริษัทนี้เพียงแห่งเดียว และเงินที่เหลืออีก ๓ หมื่นกว่าเราก็จะเอามาซื้อประกันให้พ่อกับแม่เพิ่ม ซึ่งตัวแทนได้นำมาเสนอคร่าวๆ ๒ คนรวมกัน ๓ หมื่นกว่าบาท เหลือยอดส่วนต่างที่เราต้องจ่ายนิดหน่อย และสำหรับลูกชายคนโตที่ทำประกันไว้กับอีกบริษัทหนึ่งนั้นเราจะไม่ไปยุ่งกับเงินตรงนั้นเพราะเป็นเงินออมของลูก
พอดิฉันตกลงทำประกันซึ่งตัวแทนได้นำเอกสารมาให้เซ็นที่บ้านอย่างรวดเร็วมากซึ่งดิฉันรู้สึกดีที่เขาให้ความใส่ใจเรามากขนาดนี้ เงินก็ไม่ต้องเสียเพราะตัวแทนสำรองจ่ายไปก่อนทั้งหมดเสร็จสิ้นทุกอย่างในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตัวแทนบอกว่าให้ไปเซ็นรับเงินคืนเพื่อเอาเงินมาให้เขา เพราะเขาได้จ่ายสำรองไปแล้ว ดิฉันไปเซ็นรับเงินที่ สนง.ชุมแพ ปรากฏว่ายอดเงินที่คิดว่าจะได้ ๘ หมื่นกว่ากลับเหลือแค่ ๓๖,๐๐๐ บาท ดิฉันคิดว่ามันคงต้องมีเรื่องผิดพลาดจึงได้เชิญตัวแทนมาตรงเคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่พร้อมสอบถามว่าทำไมยอดเงินจาก ๘ หมื่นกว่าจึงเหลือแค่ ๓ หมื่นกว่า และที่สำคัญเอกสารการเบิกงานก็กลายเป็นสัญญาการกู้เงินด้วย ตัวแทนบอกว่าสงสัยสมุห์บัญชีจะเชคผิดให้เซ็นรับเงินไปก่อนเดี๋ยวไปคุยกันที่บ้าน
ตัวแทนมาชี้แจงว่า สมุห์บัญชีของสำนักงานเชคตัวเงินมาให้ผิดเขาเองก็ลำบากเพราะก็จ่ายเงินไปแล้ว ดิฉันต้องไปกดเงินส่วนต่างมาให้เพราะเข้าใจว่าเขาคงไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ทั้งที่รู้สึกไม่ดีมากๆ ในขณะที่คุยกับดิฉันก็บ่นไปด้วยว่า สมุห์บัญชีเป็นคนควบคุมเงินของ สนง.ไม่น่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ต้องให้เงินเขาไปเพราะตัวแทนออกเงินไปให้ก่อนแล้ว
มาถึงเครสของพ่อแม่ เดิมทีตัวแทนแจ้งว่า ๒ คนรวมกันยอดอยู่ประมาณ ๓ หมื่นกว่า เมื่อดิฉันไม่มีเงิน พ่อแม่ก็เลยเอาเงินท่านมาให้ เพราะไม่อยากให้เราลำบากมากไปกว่านี้ แต่พอจะทำจริงกลับกลายเป็นว่าการซื้อสุขภาพของพ่อและแม่ไม่ควบคุมตามที่ควรจะเป็น เพราะค่ารักษาพยาบาลน้อยเกินไปกว่าที่ต้องจ่ายจริงสำหรับโรงพยาบาลที่ดีในจังหวัดขอนแก่น ค่าห้องไม่พอ อุบัติเหตุไม่มี ทำให้ต้องซื้อเพิ่ม สรุปของพ่อเกือบ ๓ หมื่นบาท ของแม่ประมาณ ๒ หมื่นหก รวมกันประมาณ ๕ หมื่นห้า ซึ่งดิฉันมีเงินเพียง ๓ หมื่นจึงไม่พอ ดิฉันจึงคิดเป็นตัวแทนเองเพื่อจะได้ค่าคอมมิชชั่น จึงแจ้งทางตัวแทนไปว่าต้องการเป็นตัวแทนเอง ซึ่งเท่ากับว่าดิฉันเป็นตัวแทนฝึกหัดเพื่อซื้อประกันของพ่อและแม่ แต่ต้องจ่ายยอดเต็มไปก่อนทางบริษัทจึงจะหักค่าคอมฯ ออกมาให้ ตรงนี้ดิฉันรับทราบดี
รวมแล้วดิฉันต้องจ่ายค่าประกันทั้งหมด ๑๑๖,๐๐๐ บาท สำหรับการประกันชีวิตทั้งครอบครัว ๖ คน ทั้งที่จุดประสงค์ที่ต้องการคือ แค่ย้ายมาส่งเงินที่สาขาชุมแพ ดิฉันเป็นหนี้เงินกู้ของประกันประมาณ ๓๖,๐๐๐ บาท กดเงินสดของตนเองและของพ่อแม่มาจ่ายเพิ่มประมาณ ๘ หมื่นบาท ทั้งที่รู้ว่าตัวแทนเล่นแง่และเข้าข่ายหลอกลวงเราเพื่อให้ซื้อประกัน แต่ก็ยังคิดในแง่ดีค่ะว่า มันเป็นความจำเป็นที่ทุกคนในครอบครัวต้องมีประกันชีวิต และดิฉันเองก็ทำประกันกับบริษัทนี้มากว่า ๘ ปีแล้ว เรื่องยังไม่จบแค่นั้นค่ะ
เมื่อดิฉันมาฉุกคิดตรงที่ตัวแทนแจ้งว่ากรมธรรม์ชุดใหม่จะมีผลนับจาก ๖ เดือนต่อจากนี้ ดิฉันจึงถามตัวแทนไปว่า แล้วที่พี่ให้หยุดส่งกรมธรรม์ฉบับเก่าแล้วหากหนูและคนในครอบครัวเจ็บป่วยขึ้นมาในเวลานี้จะทำยังไง ตัวแทนก็แนะนำว่า งั้นก็จ่ายฉบับเก่าไป ๖ เดือนก่อน พอกรมธรรม์ฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ค่อยหยุดส่งฉบับเก่า แล้วเขาจะทำเรื่องขยายเวลาให้ ดิฉันจึงได้ปรึกษาต่อว่าเงินกู้ที่เอามา ๓๖,๐๐๐ บาท บวกกับเงินที่ต้องส่งประกันปีต่อไปอีก ๑๑๖,๐๐๐ บาท ถ้าดิฉันไม่มีเงินส่งในปีหน้าจะทำยังไง และจะยังเงินที่ต้องส่งประกันฉบับเก่าอีก ๖ เดือน ไหนจะยังดอกเบี้ยเงินกู้อีก ดิฉันคิดว่าตัวเองคงจะไม่ไหว
ตัวแทนได้ให้คำแนะนำว่า ถ้าครบกำหนดชำระหนี้แล้วเราไม่มีเงินไปชำระก็ไม่เป็นไรเพราะประกันเขาจะหักยอดเงินที่คงเหลือในกรมธรรม์ไปเอง กรมธรรม์ฉบับเก่าก็จะถูกปิดไปโดยปริยาย ดิฉันยิ่งฟังก็ยิ่งงง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวดิฉัน
ประมาณกลางเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ตัวแทนได้นำกรมธรรม์ของดิฉัน สามี แม่สามี และลูกทั้งสองคนมาส่งให้ โดยมาฝากไว้กับสามีและก็ไป ไม่ได้มาอธิบายเนื้อหาของกรมธรรม์ให้ฟังแต่อย่างใด ซึ่งตัวดิฉันเองก็ไม่อยากฟัง เพราะไม่อยากเจอหน้าตัวแทนอีก มันรู้สึกไม่สนิทใจที่ต้องไหว้ต้องทักทาย เพราะรู้ทั้งรู้ว่าเขาหลอกหาประโยชน์กับเรา หลอกคนที่คิดทำประกันเพราะเข้าใจถึงความจำเป็น หลอกลูกค้าที่เคยรู้สึกดีๆ กับบริษัทนี้มาตลอด ๘ ปีเต็ม กรมธรรม์ถูกวางไว้ข้างโต๊ะทำงานตั้งแต่วันนั้นโดยไม่มีใครไปแตะไปเปิดดู เพราะเสียความรู้สึกกันไปทั้งบ้าน
เครสของพ่อยังไม่ผ่านเพราะตรวจสุขภาพแล้วพบว่ามีไขมันในเส้นเลือดสูง สามีรู้สึกไม่สบายใจจึงโทรไปปรึกษาญาติๆ ที่เป็นตัวแทนอยู่ที่อำเภอภูเวียง เช้าวันรุ่งขึ้นญาติมาเชคให้ก็สรุปให้เราสบายใจว่าเป็นการตรวจพบความเสี่ยงของการเป็นโรคเฉยๆ เพราะบริษัทต้องประเมินว่าจะสามารถรับทำประกันได้หรือไม่ แต่พี่เขาไปตรวจสอบให้แล้วคงมีการเรียกเก็บค่าเบี้ยประกันเพิ่ม หรืออาจไม่คุ้มครองในโรคที่มีความเสี่ยงนั้นๆ ดิฉันจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่ตัวแทนท่านนี้ฟัง พี่เขาเลยขอดูกรมธรรม์ทั้งฉบับเก่าและฉบับใหม่ที่เพิ่งทำมา เพราะคำว่า “กรมธรรม์ไม่ทันสมัย” พี่เขาไม่เคยได้ยิน และถ้าลูกค้ามีกรมธรรม์ฉบับเดิมอยู่แล้วนั้นตัวแทนควรแนะนำให้ซื้อสุขภาพเพิ่มเติม แต่หากไม่มีก็สามารถซื้อฉบับใหม่ได้ และการแนะนำให้ลูกค้าใช้เงินในกรมธรรม์ชุดเก่ามาซื้อชุดใหม่โดยไม่คำนึงถึงรายได้ของลูกค้าว่าจะสามารถชำระได้หรือไม่ก็ไม่ควร เพราะดิฉันกำลังต่อเติมร้านยังไม่ได้เปิดดำเนินกิจการเลย
เมื่อตรวจสอบกรมธรรม์ก็เป็นจริงตามที่สงสัยไว้ เพราะกรมธรรม์ฉบับเก่าของดิฉันและลูกๆ นั้น ครอบคลุมการรักษาพยาบาลไว้ครบแล้ว แค่ไม่มีค่าห้องที่จะชดเชยรายวันเท่านั้น และของตัวดิฉันเองกรมธรรม์ฉบับเก่าวงเงินเอาประกัน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ไม่จำเป็นต้องมาทำฉบับใหม่ที่มีวงเงินเพียง ๑๐๐,๐๐๐ บาท คุ้มครองน้อยลง ส่วนสามีควรทำเพราะยังไม่มีประกันสุขภาพ ของแม่สามีและพ่อสามีก็ควรทำเพราะยังไม่ประกันสุขภาพเช่นเดียวกัน
พี่ตัวแทนของภูเวียงได้สอบถามว่า ตัวแทนที่นำกรมธรรม์มาส่งได้ชี้แจงข้อมูลในกรมธรรม์ให้เราฟังหรือไม่ เพราะเรายังไม่ได้ลงชื่อรับกรมธรรม์ทั้ง ๕ ฉบับเลย ดิฉันก็แจ้งตามความเป็นจริงว่า ตัวแทนแค่เอาใส่กระเป๋ามาส่งแล้วก็ไป ซึ่งดิฉันก็ไม่ได้อยากคุยกับตัวแทนสักเท่าไหร่เพราะเสียความรู้สึกไปมากมาย เงินก็หมด เป็นหนี้อีก ก่อนหน้านี้ดิฉันได้โทรไปปรึกษาตัวแทนคนเก่าที่แปดริ้วก็ได้คำแนะนำว่าหากเราไม่สะดวกจะทำก็สามารถยกเลิกได้ ก็เลยถามพี่เขาว่ายกเลิกได้มั้ย แต่ต้องขอให้พี่เขาช่วยเพราะเราไม่รู้จะทำยังไง พี่ตัวแทนของภูเวียงช่วยเดินเรื่องยกเลิกกรมธรรม์ทั้งหมดโดยแจ้งให้ทราบว่าหากยกเลิกไปแล้ว และต้องการทำใหม่ในฐานะที่เราเป็นตัวแทนเองเราจะได้ค่าคอมฯ แค่ ๕๐% นะ ดิฉันตอบตกลงเพราะไม่อยากทำงานร่วมกับคนแบบนั้นอีกแล้ว ดิฉันเขียนสาเหตุของการขอยกเลิกกรมธรรม์ไปว่า ดิฉันมีความจำเป็นต้องใช้เงินจึงขอยกเลิกกรมธรรม์ฉบับดังกล่าว เพราะไม่อยากให้กระทบกระเทือนถึงใคร