โฮมขับรถคันเก่าของตนไปเพียงลำพังบนท้องถนนที่ในช่วงเวลาหัวค่ำเช่นนี้ควรจะมีการจราจรหนาแน่น แต่คืนนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น รถจำนวนมากที่เคยทำให้ผู้คนในเมืองใหญ่อย่างมหานครต้องหงุดหงิดกับการเดินทางทุกวันไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ใด บางทีอาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่ไม่ค่อยดี หรืออาจเป็นเพราะเทศกาลวันหยุดที่กำลังจะมาถึง
ตามปกติแล้วเขามักชอบที่จะนั่งใช้ความคิดไปในขณะเดินทาง โดยปล่อยให้การขับขี่เป็นหน้าที่ของผู้อื่น แต่ครั้งนี้ต้องนับเป็นข้อยกเว้น และถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงอดคิดทบทวนถึงรายงานของวสันต์ไม่ได้อยู่ดี
เขาเคยเตือนเกี่ยวกับวิธีการเขียนรายงานของเธอมาแล้วหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ยอมเปลี่ยน จนสุดท้ายเขาจึงเป็นฝ่ายที่ต้องเงียบไปเอง ภายใต้แว่นตา กับท่าทางเรียบๆ ร้อยๆ ไม่ค่อยพูดจาของเธอนั้น ดูเหมือนจะเก็บซ่อนตัวตนที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับผู้ใดเอาไว้
'14.49 น. ได้รับแจ้งเหตุทางโทรศัพท์จากสำนักงานร้านขายของเล่นซีเอฟ เลขที่ เจ็ด เจ็ด เจ็ด ถนนซัมเมอร์ โดย นางสาว สโนว ไวท์ อายุยี่สิบเจ็ดปี ตำแหน่งเลขานุการณ์ โดยคำสั่งจาก แจ็ค ฟรอส อายุไม่ทราบแน่ชัด ตำแหน่งเสมียน ถึงเรื่องการหายตัวไปอย่างลึกลับของ คุณ ซานต้า ครอส อายุไม่ทราบแน่ชัด ตำแหน่งเจ้าของร้าน จากข้อความที่บันทึกไว้แสดงว่าผู้แจ้งได้มีการเรียบเรียงข้อความก่อนที่จะติดต่อเข้ามา ซึ่งอาจหมายถึงมีการประเมินสถานการณ์ว่าสมควรทำการแจ้งความหรือไม่ หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น'
'15.05 น. เจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ แต่ประสบปัญหากับการหาทางเข้าไปในสำนักงานดังกล่าว ภายหลังจากการเจรจากับคุณฟรอสผ่านคุณสโนวทางโทรศัพท์ สารวัตรโฮม ผู้ช่วยวสันต์ และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานอีกหนึ่งนายจึงสามารถเข้าไปสำรวจสถานที่เกิดเหตุได้'
มีคำบรรยาย และภาพร่างเกี่ยวกับสภาพทั่วไปภายในห้องส่วนที่สโนวนั่งทำงานอยู่ ซึ่งตรวจไม่พบร่องรอยความผิดปกติใดๆ ส่วนภายในห้องทำงานส่วนตัวของคุณครอสนั้นมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปพร้อมกับฟรอส และไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เช่นกัน
เขายังคงจดจำบรรยากาศแปลกๆ ภายในห้องนั้นได้เป็นอย่างดี มันคล้ายกับว่ากำลังเดินอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ หรือวิหารโบราณมากกว่า เขารู้สึกได้ถึงความเก่าแก่ลี้ลับที่แทรกตัวอยู่ในทุกซอกมุม แม้แต่ในอากาศที่หายใจเข้าไป จนมันทำให้เขาแทบจะไม่กล้าแตะต้องสิ่งใดในห้องนั้นเลย
'คุณสโนวให้การว่า พบเห็นคุณครอสเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ภายในห้องทำงาน เมื่อเธอนำน้ำชา และของว่างเข้าไปให้ตามปกติ “คุณครอสกำลังนั่งฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะ ลมหายใจผ่อนช้า รวมถึงมีเสียงกรนดังเบาๆ ฉันจึงกลับออกมาเงียบๆ และก่อนจะปิดประตู ยังเห็นคุณครอสขยับตัวเปลี่ยนท่าเพื่อให้นอนสบายขึ้นอีกด้วย” แต่เธอยอมรับว่าการนอนหลับในช่วงเวลาบ่ายเช่นนี้เป็นสิ่งที่คุณครอสไม่เคยทำมาก่อน'
โฮมไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้จะสามารถบ่งชี้ถึงความผิดปกติใดๆ ได้หรือไม่ คุณครอสอาจแค่เหน็ดเหนื่อยมากเกินไป ความแก่ชราอาจส่งผลกับร่างกายนั้น 'ถึงแม้จะไม่มีใครรู้ว่าคุณครอสมีอายุเท่าไรแล้วก็ตาม' คุณครอสอาจไม่ได้แค่นอนหลับแต่เป็นการถูกวางยา หรือไม่คำให้การของสโนวก็อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาอย่างแนบเนียนเท่านั้นก็เป็นได้
'จนเมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. คุณฟรอสที่มาพร้อมกับเอกสารด่วนจึงพบว่าคุณครอสได้หายตัวไปแล้ว ในตอนแรกคุณสโนวยังไม่แน่ใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น เพราะคุณครอสอาจเพียงแค่ ไม่อยู่ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็เป็นได้ แต่คุณฟรอสกลับไม่คิดเช่นนั้น “เขาแตกตื่นอย่างที่ไม่เคยเป็น และเอาแต่พูดย้ำว่าคุณครอสหายตัวไป จนฉันเองก็รู้สึกกลัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน” เธอให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ทุกครั้งที่คุณครอสไม่อยู่ภายในห้องทำงานอย่างที่ควรจะเป็น “คุณฟรอสจะต้องทราบ และรู้ว่าคุณครอสจะกลับมาเมื่อไร” ซึ่งแตกต่างจากครั้งนี้'
'ในขณะที่คุณฟรอสยังไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป คุณสโนวจึงเสนอให้ทำการแจ้งความ “คุณฟรอสไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นความคิดที่ดี แต่ฉันย้ำให้เขาเห็นว่าการมีกำลังตำรวจออกช่วยติดตามเป็นจำนวนมากย่อมดีกว่าการออกไปตามหาด้วยตัวเองอย่างไร้จุดหมาย และมันยังเป็นสิ่งที่ควรทำสำหรับยุคสมัยนี้ด้วย” สุดท้ายเขาจึงยินยอม และนำมาสู่การโทรศัพท์แจ้งความในที่สุด'
ข้อมูลนี้อาจอธิบายถึงข้อสงสัยที่วสันต์ตั้งเอาไว้เกี่ยวกับบันทึกการรับแจ้งความซึ่งดูเหมือนมีการเรียบเรียงคำพูดไว้ล่วงหน้าที่กล่าวไว้ในตอนต้นได้
“ไม่เจอกันนานเลยนะโฮม”
เสียงหญิงสูงวัยใจดี และอ่อนโยนดังขึ้นที่ข้างหู โฮมหันมองออกไปนอกหน้าต่างข้างรถ ไกลออกไปในความมืดคือสายน้ำสีดำเบื้องล่าง และเขากำลังแล่นอยู่เหนือมัน 'ต้องทำเป็นไม่ได้ยิน' เขาพึ่งรู้ตัวว่าได้ขับรถขึ้นมาบนสะพานลอนดอนแล้ว
“แกล้งทำตัวเป็นเด็กไม่น่ารักอีกแล้ว” เสียงนั้นหยอกเย้าฟังดูสนิทสนม
เสียงของโทรลที่เขาได้ยินจะเป็นแบบนี้เสมอ เขาไม่เคยถาม แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าวสันต์ได้ยินเสียงของมันเป็นอย่างไร 'อีกนิดเดียวก็จะข้ามพ้นแล้ว' เขาอดไม่ได้ที่จะเหยียบคันเร่งให้มากขึ้นกว่าเดิม
“ยุ่งอยู่เสมอเลยนะ เธอน่ะ” เสียงนั้นฟังดูจริงจังขึ้น “แถมครั้งนี้ยังเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย ร้ายแรงมากกว่าที่เธอคิดมาก อย่าได้ประมาทเชียว...”
เสียงนั้นขาดหายไปทันทีเมื่อรถข้ามมาถึงอีกฝั่งหนึ่ง เขาเกือบจะหลุดปากถามออกไปแล้วว่ามันรู้เรื่องอะไรบ้าง 'ฉันจะกลับรถข้างหน้าดีไหม' นั่นเป็นความคิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน และเขาไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเกิดขึ้น 'มันก็แค่ต้องการหลอกล่อฉันเท่านั้น'
เขาตัดใจขับรถตรงไปข้างหน้าต่อ พยายามลืมเรื่องที่โทรลพูดเมื่อครู่ไป
วสันต์ยังได้สอบถามถึงเหตุการณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นในระหว่างวันจากสโนว ซึ่งเปิดเผยถึงข้อมูลที่ทำให้โฮมรู้สึกตื่นเต้นในครั้งแรกที่ได้รับรู้ การเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องของมือสังหารที่มีชื่อว่า ทอย ริปเปอร์ จากครอบครัวมือสังหารที่เก่าแก่ 'อ้อ ต้องเป็นอดีตมือสังหารสินะ' ซึ่งอาจทำให้ทุกอย่างกลายเป็นคดีร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึง แต่ภายหลังจากการนำตัวมาสอบสวน อย่างไม่เป็นทางการ แล้ว เขาก็ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย
'แต่ฉันก็ยังรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับตัวเขาอยู่ดี'
มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกไม่ดีที่เขามีต่อมือสังหารเท่านั้น เขาไม่เคยชอบคนพวกนี้ ไม่ควรมีกฎหมายที่รับรองการฆ่าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดทั้งสิ้น 'ก็แล้วโทษประหารชีวิตล่ะ' เขารีบปัดความสงสัยเก่าแก่ของตนทิ้งไปอย่างรวดเร็ว มีคนที่ไม่มีคุณค่าพอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปจริงหรือ และที่สำคัญกว่านั้น ใครกันที่สามารถตัดสินได้ ถึงแม้เขาจะเชื่อว่ากฎหมายคือสิ่งที่เที่ยงตรงอย่างไรก็ตาม แต่สุดท้ายมันก็ยังอยู่ภายใต้การตัดสินของผู้ที่เป็นมนุษย์อยู่ดี 'ฉันต้องเชื่อมั่นในระบบ' เขาย้ำกับตนเองเหมือนที่ผ่านมา
เหล่ามือสังหารยังคงมีตัวตนอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ แต่ตัวเขาเองยังไม่เคยพบเจอกับคดีที่เกี่ยวข้องกับมือสังหารเลยสักครั้ง มันมีเพียงกรณีศึกษาในบทเรียน บันทึกคดีเก่า ในบางหน้าที่ถูกซุกซ่อนของประวัติศาสตร์ หรือตามตำนานเรื่องเล่าต่างๆ เท่านั้น งานของพวกเขาไม่ค่อยถูกพูดถึงอีกแล้ว
'บางทีพวกเขาเองก็อาจจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงบ้างก็เป็นได้' เหมือนกับประวัติของทอยที่เขาอ่านด้วยความแปลกใจ เขานับเป็นมือสังหารในแบบของเขาเองจริงๆ
ภายในห้องที่ปิดตาย 'ซึ่งที่จริงแล้ว มันก็ไม่ใช่ห้องปิดตายอย่างแท้จริง แต่จนถึงตอนนี้อาจพอสรุปได้ว่า ถ้าหากคุณครอส หรือฟรอส คนใดคนหนึ่งไม่ได้ให้ความยินยอมแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถเข้าออกห้องทำงานส่วนตัวนั้นได้' ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวจึงมีบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องเพียงสามคนเท่านั้น
คุณครอสซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเข้าใจว่าหายตัวไปอย่างลึกลับ ฟรอสซึ่งถูกผู้ว่าลินคอนจับขังเอาไว้ในห้องลับหลังกระจกด้วยเหตุผลบางอย่าง และสโนวที่ดูเหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เลย คนที่น่าสงสัยที่สุดย่อมหนีไม่พ้นฟรอส เพราะเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้อย่างอิสระ มีแรงจูงใจทั้งในเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ กับเรื่องขนาดของตัวอักษรซีกับเอฟที่ใครๆ ก็รู้
'เพียงแต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น'
เขาไม่มีเหตุผลใด มีแค่เพียงความรู้สึกของตนเอง และความรู้สึกนั้นยังบอกอีกว่ากำลังมีเหตุร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเขาคิดว่าผู้ว่าลินคอนอาจจะพอรู้อะไรบ้าง แต่ไม่ยอมพูดออกมา ดังนั้นเขาจึงคิดจะค้นหาคำตอบจากอีกผู้หนึ่งแทน
โฮมมายังสถานที่แห่งนี้ตามลำพังเพื่อเสาะหากุญแจที่จะใช้ไขความลับดังกล่าว
เขาค่อยๆ ลดความเร็วลง พร้อมกับตรวจสอบแผนที่ในกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่วสันต์ให้มาอีกครั้ง เธอบอกรายละเอียดทุกสิ่ง และมันถูกต้องทุกอย่าง นอกจากชื่อของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเขาพอจะเข้าใจเหตุผลของเธอ เพราะถ้าเขารู้ก่อน เธอคงจำเป็นต้องตอบคำถามมากมายจากเขา
อาคารคล้ายโกดังขนาดเล็กสองหลังตั้งอยู่คู่กันในพื้นที่โล่งที่มีรั้วล้อมมิดชิด พื้นที่นี้อยู่โดดเดี่ยวห่างไกลจากสิ่งก่อสร้างโดยรอบอย่างน่าสงสัย ข้างประตูรั้วมีป้าย 'ห้องทดลองของเอดิสัน' เป็นตัวอักษรสีดำบนพื้นสีเหลืองติดอยู่ พร้อมกับเครื่องหมายเตือนภัยอีกหลายประเภททั้งรูป สายฟ้า ไฟ ระเบิด และอีกหลายอย่างที่เขาไม่รู้จัก และไม่อยากจะรู้จัก ติดเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ
'ฉันแค่ถามหาช่างกุญแจจากเธอเท่านั้นเองนะ' แต่ถึงมันจะดูแปลกอย่างไร โฮมก็เชื่อถือในคำตอบที่ได้จากผู้ช่วยคนนี้ เขาถอนหายใจยาวก่อนก้าวลงจากรถ ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินตรงไปที่ประตูรั้วข้างหน้า 'อาจจะมีกริ่ง หรืออะไรสักอย่าง'
“สสวัสดีครับ”
เสียงดังทักทายออกมาจากความมืดเบื้องหลังซุ้มข้างรั้วทำให้เขาตกใจ มือของเขาขยับไปที่ปืนซึ่งซ่อนอยู่ในเสื้อโคทอย่างรวดเร็ว แต่ก็บังคับตัวเองไม่ให้ดึงมันออกมาได้ทันท่วงที
ชายรูปร่างเล็กในชุดสีขาวมองดูการกระทำของเขาอย่างสนใจ และตัวเขาเองก็มีรูปร่างหน้าตาที่น่าสนใจเช่นกัน หลังของเขาโค้งงอ ถึงแม้ไม่มาก แต่ก็เห็นได้ในทันที ผมที่ตัดสั้นนั้นมีรอยแหว่งอยู่หลายที่เหมือนกับว่าจะตัดด้วยตัวเอง ชุดขาวที่เขาสวมอยู่เป็นเสื้อคลุมสำหรับใส่ในห้องทดลอง ที่บริเวณคอปก กับแขนเสื้อมีรอยเปื้อนที่โฮมพยายามคิดว่าไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เขาสงสัย แต่สีแดงจางๆ ของพวกมัน กับท่าทางของชายผู้นี้ ทำให้จินตนการของเขาเตลิดไปสู่อีกทางหนึ่งได้โดยไม่ยากเย็น
“เอ่อ ผม สารวัตรโฮม” เขาหยิบบัตรประจำตัวออกมาแสดง “ผมไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้า แต่ไม่ทราบว่าจะขอพบคุณเอดิสันได้ไหมครับ”
“สสักครู่นะครับ” ชายคนนั้นตอบพร้อมกับรอยยิ้มซึ่งยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะหันไปหยิบอะไรบางอย่างที่มีรูปร่างเหมือนกับหูโทรศัพท์ขึ้นมา กดปุ่มสองสามปุ่มบนกล่องที่อยู่ใกล้ๆ รอจนมีเสียงดังขึ้น
“...มี...อะ...ไร...เปลี่ยน” เสียงคนพร้อมกับเสียงคลื่นแทรกดังลอดออกมาให้โฮมได้ยินด้วย
“มมี ตำรวจ ชื่อ โฮม มา ขอ พบ ครับ อ้อ เปลี่ยน” เขาพูดช้าๆ ทีละคำ พลันมีแสงสว่างวาบขึ้นจากโกดังซึ่งทำให้โฮมต้องหันไปมอง ก่อนที่เสียงระเบิดทึบๆ จะดังออกมาทั้งจากในหูโทรศัพท์ และจากทิศทางที่เกิดแสงดังกล่าว เสียงเดียวกันแต่ดังมาจากคนละทิศ และไม่พร้อมกันทำให้เกิดเป็นความรู้สึกประหลาดขึ้น
มีเสียงไอสองสามครั้ง เสียงบ่นพึมพำ ก่อนคำตอบจากปลายสาย “...ให้...เข้า...มา” พร้อมกับเสียง คลิ๊ก แล้วทุกอย่างก็เงียบไป จากหน้าต่างของโกดังที่เกิดระเบิดมีกลุ่มควันสีเทาหนาทึบลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ
ทอย (12)
ตามปกติแล้วเขามักชอบที่จะนั่งใช้ความคิดไปในขณะเดินทาง โดยปล่อยให้การขับขี่เป็นหน้าที่ของผู้อื่น แต่ครั้งนี้ต้องนับเป็นข้อยกเว้น และถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงอดคิดทบทวนถึงรายงานของวสันต์ไม่ได้อยู่ดี
เขาเคยเตือนเกี่ยวกับวิธีการเขียนรายงานของเธอมาแล้วหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ยอมเปลี่ยน จนสุดท้ายเขาจึงเป็นฝ่ายที่ต้องเงียบไปเอง ภายใต้แว่นตา กับท่าทางเรียบๆ ร้อยๆ ไม่ค่อยพูดจาของเธอนั้น ดูเหมือนจะเก็บซ่อนตัวตนที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับผู้ใดเอาไว้
'14.49 น. ได้รับแจ้งเหตุทางโทรศัพท์จากสำนักงานร้านขายของเล่นซีเอฟ เลขที่ เจ็ด เจ็ด เจ็ด ถนนซัมเมอร์ โดย นางสาว สโนว ไวท์ อายุยี่สิบเจ็ดปี ตำแหน่งเลขานุการณ์ โดยคำสั่งจาก แจ็ค ฟรอส อายุไม่ทราบแน่ชัด ตำแหน่งเสมียน ถึงเรื่องการหายตัวไปอย่างลึกลับของ คุณ ซานต้า ครอส อายุไม่ทราบแน่ชัด ตำแหน่งเจ้าของร้าน จากข้อความที่บันทึกไว้แสดงว่าผู้แจ้งได้มีการเรียบเรียงข้อความก่อนที่จะติดต่อเข้ามา ซึ่งอาจหมายถึงมีการประเมินสถานการณ์ว่าสมควรทำการแจ้งความหรือไม่ หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น'
'15.05 น. เจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ แต่ประสบปัญหากับการหาทางเข้าไปในสำนักงานดังกล่าว ภายหลังจากการเจรจากับคุณฟรอสผ่านคุณสโนวทางโทรศัพท์ สารวัตรโฮม ผู้ช่วยวสันต์ และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานอีกหนึ่งนายจึงสามารถเข้าไปสำรวจสถานที่เกิดเหตุได้'
มีคำบรรยาย และภาพร่างเกี่ยวกับสภาพทั่วไปภายในห้องส่วนที่สโนวนั่งทำงานอยู่ ซึ่งตรวจไม่พบร่องรอยความผิดปกติใดๆ ส่วนภายในห้องทำงานส่วนตัวของคุณครอสนั้นมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปพร้อมกับฟรอส และไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เช่นกัน
เขายังคงจดจำบรรยากาศแปลกๆ ภายในห้องนั้นได้เป็นอย่างดี มันคล้ายกับว่ากำลังเดินอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ หรือวิหารโบราณมากกว่า เขารู้สึกได้ถึงความเก่าแก่ลี้ลับที่แทรกตัวอยู่ในทุกซอกมุม แม้แต่ในอากาศที่หายใจเข้าไป จนมันทำให้เขาแทบจะไม่กล้าแตะต้องสิ่งใดในห้องนั้นเลย
'คุณสโนวให้การว่า พบเห็นคุณครอสเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ภายในห้องทำงาน เมื่อเธอนำน้ำชา และของว่างเข้าไปให้ตามปกติ “คุณครอสกำลังนั่งฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะ ลมหายใจผ่อนช้า รวมถึงมีเสียงกรนดังเบาๆ ฉันจึงกลับออกมาเงียบๆ และก่อนจะปิดประตู ยังเห็นคุณครอสขยับตัวเปลี่ยนท่าเพื่อให้นอนสบายขึ้นอีกด้วย” แต่เธอยอมรับว่าการนอนหลับในช่วงเวลาบ่ายเช่นนี้เป็นสิ่งที่คุณครอสไม่เคยทำมาก่อน'
โฮมไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้จะสามารถบ่งชี้ถึงความผิดปกติใดๆ ได้หรือไม่ คุณครอสอาจแค่เหน็ดเหนื่อยมากเกินไป ความแก่ชราอาจส่งผลกับร่างกายนั้น 'ถึงแม้จะไม่มีใครรู้ว่าคุณครอสมีอายุเท่าไรแล้วก็ตาม' คุณครอสอาจไม่ได้แค่นอนหลับแต่เป็นการถูกวางยา หรือไม่คำให้การของสโนวก็อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาอย่างแนบเนียนเท่านั้นก็เป็นได้
'จนเมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. คุณฟรอสที่มาพร้อมกับเอกสารด่วนจึงพบว่าคุณครอสได้หายตัวไปแล้ว ในตอนแรกคุณสโนวยังไม่แน่ใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น เพราะคุณครอสอาจเพียงแค่ ไม่อยู่ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็เป็นได้ แต่คุณฟรอสกลับไม่คิดเช่นนั้น “เขาแตกตื่นอย่างที่ไม่เคยเป็น และเอาแต่พูดย้ำว่าคุณครอสหายตัวไป จนฉันเองก็รู้สึกกลัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน” เธอให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ทุกครั้งที่คุณครอสไม่อยู่ภายในห้องทำงานอย่างที่ควรจะเป็น “คุณฟรอสจะต้องทราบ และรู้ว่าคุณครอสจะกลับมาเมื่อไร” ซึ่งแตกต่างจากครั้งนี้'
'ในขณะที่คุณฟรอสยังไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป คุณสโนวจึงเสนอให้ทำการแจ้งความ “คุณฟรอสไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นความคิดที่ดี แต่ฉันย้ำให้เขาเห็นว่าการมีกำลังตำรวจออกช่วยติดตามเป็นจำนวนมากย่อมดีกว่าการออกไปตามหาด้วยตัวเองอย่างไร้จุดหมาย และมันยังเป็นสิ่งที่ควรทำสำหรับยุคสมัยนี้ด้วย” สุดท้ายเขาจึงยินยอม และนำมาสู่การโทรศัพท์แจ้งความในที่สุด'
ข้อมูลนี้อาจอธิบายถึงข้อสงสัยที่วสันต์ตั้งเอาไว้เกี่ยวกับบันทึกการรับแจ้งความซึ่งดูเหมือนมีการเรียบเรียงคำพูดไว้ล่วงหน้าที่กล่าวไว้ในตอนต้นได้
“ไม่เจอกันนานเลยนะโฮม”
เสียงหญิงสูงวัยใจดี และอ่อนโยนดังขึ้นที่ข้างหู โฮมหันมองออกไปนอกหน้าต่างข้างรถ ไกลออกไปในความมืดคือสายน้ำสีดำเบื้องล่าง และเขากำลังแล่นอยู่เหนือมัน 'ต้องทำเป็นไม่ได้ยิน' เขาพึ่งรู้ตัวว่าได้ขับรถขึ้นมาบนสะพานลอนดอนแล้ว
“แกล้งทำตัวเป็นเด็กไม่น่ารักอีกแล้ว” เสียงนั้นหยอกเย้าฟังดูสนิทสนม
เสียงของโทรลที่เขาได้ยินจะเป็นแบบนี้เสมอ เขาไม่เคยถาม แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าวสันต์ได้ยินเสียงของมันเป็นอย่างไร 'อีกนิดเดียวก็จะข้ามพ้นแล้ว' เขาอดไม่ได้ที่จะเหยียบคันเร่งให้มากขึ้นกว่าเดิม
“ยุ่งอยู่เสมอเลยนะ เธอน่ะ” เสียงนั้นฟังดูจริงจังขึ้น “แถมครั้งนี้ยังเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย ร้ายแรงมากกว่าที่เธอคิดมาก อย่าได้ประมาทเชียว...”
เสียงนั้นขาดหายไปทันทีเมื่อรถข้ามมาถึงอีกฝั่งหนึ่ง เขาเกือบจะหลุดปากถามออกไปแล้วว่ามันรู้เรื่องอะไรบ้าง 'ฉันจะกลับรถข้างหน้าดีไหม' นั่นเป็นความคิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน และเขาไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเกิดขึ้น 'มันก็แค่ต้องการหลอกล่อฉันเท่านั้น'
เขาตัดใจขับรถตรงไปข้างหน้าต่อ พยายามลืมเรื่องที่โทรลพูดเมื่อครู่ไป
วสันต์ยังได้สอบถามถึงเหตุการณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นในระหว่างวันจากสโนว ซึ่งเปิดเผยถึงข้อมูลที่ทำให้โฮมรู้สึกตื่นเต้นในครั้งแรกที่ได้รับรู้ การเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องของมือสังหารที่มีชื่อว่า ทอย ริปเปอร์ จากครอบครัวมือสังหารที่เก่าแก่ 'อ้อ ต้องเป็นอดีตมือสังหารสินะ' ซึ่งอาจทำให้ทุกอย่างกลายเป็นคดีร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึง แต่ภายหลังจากการนำตัวมาสอบสวน อย่างไม่เป็นทางการ แล้ว เขาก็ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย
'แต่ฉันก็ยังรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับตัวเขาอยู่ดี'
มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกไม่ดีที่เขามีต่อมือสังหารเท่านั้น เขาไม่เคยชอบคนพวกนี้ ไม่ควรมีกฎหมายที่รับรองการฆ่าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดทั้งสิ้น 'ก็แล้วโทษประหารชีวิตล่ะ' เขารีบปัดความสงสัยเก่าแก่ของตนทิ้งไปอย่างรวดเร็ว มีคนที่ไม่มีคุณค่าพอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปจริงหรือ และที่สำคัญกว่านั้น ใครกันที่สามารถตัดสินได้ ถึงแม้เขาจะเชื่อว่ากฎหมายคือสิ่งที่เที่ยงตรงอย่างไรก็ตาม แต่สุดท้ายมันก็ยังอยู่ภายใต้การตัดสินของผู้ที่เป็นมนุษย์อยู่ดี 'ฉันต้องเชื่อมั่นในระบบ' เขาย้ำกับตนเองเหมือนที่ผ่านมา
เหล่ามือสังหารยังคงมีตัวตนอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ แต่ตัวเขาเองยังไม่เคยพบเจอกับคดีที่เกี่ยวข้องกับมือสังหารเลยสักครั้ง มันมีเพียงกรณีศึกษาในบทเรียน บันทึกคดีเก่า ในบางหน้าที่ถูกซุกซ่อนของประวัติศาสตร์ หรือตามตำนานเรื่องเล่าต่างๆ เท่านั้น งานของพวกเขาไม่ค่อยถูกพูดถึงอีกแล้ว
'บางทีพวกเขาเองก็อาจจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงบ้างก็เป็นได้' เหมือนกับประวัติของทอยที่เขาอ่านด้วยความแปลกใจ เขานับเป็นมือสังหารในแบบของเขาเองจริงๆ
ภายในห้องที่ปิดตาย 'ซึ่งที่จริงแล้ว มันก็ไม่ใช่ห้องปิดตายอย่างแท้จริง แต่จนถึงตอนนี้อาจพอสรุปได้ว่า ถ้าหากคุณครอส หรือฟรอส คนใดคนหนึ่งไม่ได้ให้ความยินยอมแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถเข้าออกห้องทำงานส่วนตัวนั้นได้' ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวจึงมีบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องเพียงสามคนเท่านั้น
คุณครอสซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเข้าใจว่าหายตัวไปอย่างลึกลับ ฟรอสซึ่งถูกผู้ว่าลินคอนจับขังเอาไว้ในห้องลับหลังกระจกด้วยเหตุผลบางอย่าง และสโนวที่ดูเหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เลย คนที่น่าสงสัยที่สุดย่อมหนีไม่พ้นฟรอส เพราะเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้อย่างอิสระ มีแรงจูงใจทั้งในเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ กับเรื่องขนาดของตัวอักษรซีกับเอฟที่ใครๆ ก็รู้
'เพียงแต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น'
เขาไม่มีเหตุผลใด มีแค่เพียงความรู้สึกของตนเอง และความรู้สึกนั้นยังบอกอีกว่ากำลังมีเหตุร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเขาคิดว่าผู้ว่าลินคอนอาจจะพอรู้อะไรบ้าง แต่ไม่ยอมพูดออกมา ดังนั้นเขาจึงคิดจะค้นหาคำตอบจากอีกผู้หนึ่งแทน
โฮมมายังสถานที่แห่งนี้ตามลำพังเพื่อเสาะหากุญแจที่จะใช้ไขความลับดังกล่าว
เขาค่อยๆ ลดความเร็วลง พร้อมกับตรวจสอบแผนที่ในกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่วสันต์ให้มาอีกครั้ง เธอบอกรายละเอียดทุกสิ่ง และมันถูกต้องทุกอย่าง นอกจากชื่อของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเขาพอจะเข้าใจเหตุผลของเธอ เพราะถ้าเขารู้ก่อน เธอคงจำเป็นต้องตอบคำถามมากมายจากเขา
อาคารคล้ายโกดังขนาดเล็กสองหลังตั้งอยู่คู่กันในพื้นที่โล่งที่มีรั้วล้อมมิดชิด พื้นที่นี้อยู่โดดเดี่ยวห่างไกลจากสิ่งก่อสร้างโดยรอบอย่างน่าสงสัย ข้างประตูรั้วมีป้าย 'ห้องทดลองของเอดิสัน' เป็นตัวอักษรสีดำบนพื้นสีเหลืองติดอยู่ พร้อมกับเครื่องหมายเตือนภัยอีกหลายประเภททั้งรูป สายฟ้า ไฟ ระเบิด และอีกหลายอย่างที่เขาไม่รู้จัก และไม่อยากจะรู้จัก ติดเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ
'ฉันแค่ถามหาช่างกุญแจจากเธอเท่านั้นเองนะ' แต่ถึงมันจะดูแปลกอย่างไร โฮมก็เชื่อถือในคำตอบที่ได้จากผู้ช่วยคนนี้ เขาถอนหายใจยาวก่อนก้าวลงจากรถ ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินตรงไปที่ประตูรั้วข้างหน้า 'อาจจะมีกริ่ง หรืออะไรสักอย่าง'
“สสวัสดีครับ”
เสียงดังทักทายออกมาจากความมืดเบื้องหลังซุ้มข้างรั้วทำให้เขาตกใจ มือของเขาขยับไปที่ปืนซึ่งซ่อนอยู่ในเสื้อโคทอย่างรวดเร็ว แต่ก็บังคับตัวเองไม่ให้ดึงมันออกมาได้ทันท่วงที
ชายรูปร่างเล็กในชุดสีขาวมองดูการกระทำของเขาอย่างสนใจ และตัวเขาเองก็มีรูปร่างหน้าตาที่น่าสนใจเช่นกัน หลังของเขาโค้งงอ ถึงแม้ไม่มาก แต่ก็เห็นได้ในทันที ผมที่ตัดสั้นนั้นมีรอยแหว่งอยู่หลายที่เหมือนกับว่าจะตัดด้วยตัวเอง ชุดขาวที่เขาสวมอยู่เป็นเสื้อคลุมสำหรับใส่ในห้องทดลอง ที่บริเวณคอปก กับแขนเสื้อมีรอยเปื้อนที่โฮมพยายามคิดว่าไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เขาสงสัย แต่สีแดงจางๆ ของพวกมัน กับท่าทางของชายผู้นี้ ทำให้จินตนการของเขาเตลิดไปสู่อีกทางหนึ่งได้โดยไม่ยากเย็น
“เอ่อ ผม สารวัตรโฮม” เขาหยิบบัตรประจำตัวออกมาแสดง “ผมไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้า แต่ไม่ทราบว่าจะขอพบคุณเอดิสันได้ไหมครับ”
“สสักครู่นะครับ” ชายคนนั้นตอบพร้อมกับรอยยิ้มซึ่งยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะหันไปหยิบอะไรบางอย่างที่มีรูปร่างเหมือนกับหูโทรศัพท์ขึ้นมา กดปุ่มสองสามปุ่มบนกล่องที่อยู่ใกล้ๆ รอจนมีเสียงดังขึ้น
“...มี...อะ...ไร...เปลี่ยน” เสียงคนพร้อมกับเสียงคลื่นแทรกดังลอดออกมาให้โฮมได้ยินด้วย
“มมี ตำรวจ ชื่อ โฮม มา ขอ พบ ครับ อ้อ เปลี่ยน” เขาพูดช้าๆ ทีละคำ พลันมีแสงสว่างวาบขึ้นจากโกดังซึ่งทำให้โฮมต้องหันไปมอง ก่อนที่เสียงระเบิดทึบๆ จะดังออกมาทั้งจากในหูโทรศัพท์ และจากทิศทางที่เกิดแสงดังกล่าว เสียงเดียวกันแต่ดังมาจากคนละทิศ และไม่พร้อมกันทำให้เกิดเป็นความรู้สึกประหลาดขึ้น
มีเสียงไอสองสามครั้ง เสียงบ่นพึมพำ ก่อนคำตอบจากปลายสาย “...ให้...เข้า...มา” พร้อมกับเสียง คลิ๊ก แล้วทุกอย่างก็เงียบไป จากหน้าต่างของโกดังที่เกิดระเบิดมีกลุ่มควันสีเทาหนาทึบลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ