“ผมสารวัตรโฮม”
เขาตอบกลับไปโดยไม่ได้ลุกขึ้นยืนตามมารยาท เพราะสไตน์เองก็บุกเข้ามาในห้องสอบสวนโดยไม่มีมารยาทเช่นกัน นั่นเป็นความเห็นของเขา ซึ่งที่จริงแล้วสไตน์หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู เขายังไม่ได้ก้าวเข้ามา ยังไม่ได้บุกรุก ยังไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม 'และผมเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคุณมาแล้ว' โฮมคิดในใจ
“คุณวสันต์ กลับไปทำงานของคุณได้” โฮมออกคำสั่ง
“แต่ว่า” แล้ววสันต์ก็เห็นสายตาของโฮม “ค่ะ” เธอปล่อยมือจากร่างของสไตน์ เหลือบมองดูโฮมแวบหนึ่งด้วยแววตาเสียใจ ก่อนเดินหายไปจากช่องประตูด้วยความรวดเร็ว
โฮมแปลกใจที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกเอะใจเลยสักนิดเมื่อได้ยินทอยเอ่ยถึงชื่อของ เอฟ เค สไตน์ หรือที่พวกตำรวจเรียกกันลับหลังว่า ตัวประหลาด ในการโทรศัพท์ที่บ้านของคุณนายวิกเซ่นก่อนหน้านี้ มือสังหารที่ทำงานอยู่ในเส้นแบ่งบางๆ ของกฏหมาย ก็คงจำเป็นต้องรู้จักกับทนายความที่ไม่ธรรมดา
โฮมรู้มาว่าสไตน์เคยเป็นอดีตทหารรับจ้างฝีมือดีมาก่อน แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงผันตัวเองมาสู่เส้นทางของกฏหมาย กลายมาเป็นทนายความเช่นนี้ บนร่างกายของเขายังคงหลงเหลือร่องรอยจากสงครามที่ผ่านมา รอยแผลที่ใต้คางนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่มองเห็นได้เท่านั้น
สงครามของสไตน์ ไม่ใช่สงครามแบบที่คนทั่วไปนึกถึง มันไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างประเทศแบบในอดีต ไม่มีกองทหารเป็นพัน เป็นหมื่น แต่ก็ยังคงเป็นสงครามที่สร้างความสูญเสีย และเจ็บปวด ไม่แตกต่างจากสงครามเก่าแก่พวกนั้น
มันเป็นการขัดแย้งทางความคิด ความเชื่อ ผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่มีอิทธิพล มีเงินทุน มันไม่มีสนามรบ เพราะทุกพื้นที่อาจถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสนามรบได้ทุกเมื่อ มันไม่มีกองทหาร เพราะทุกคนที่เดินอยู่บนท้องถนนอาจเป็นทหารตามความหมายของสงครามแบบใหม่นี้
สไตน์เคยทำงานพวกนั้นได้ดี และวันหนึ่งเมื่อเขากลายมาเป็นทนายความ เขาก็ทำมันได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน โฮมนึกไม่ออกเลยว่างานทั้งสองอย่างนี้จะมีอะไรที่เหมือนกัน
“คงต้องขอบคุณลูกความของผมที่ได้เอ่ยถึงชื่อของคุณให้ทราบตั้งแต่แรก ผมจึงสามารถตามมาถูกที่ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เสียเวลามากนัก” สไตน์หยุดยิ้ม
โฮมเผลอขบริมฝีปากตัวเอง “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอแนะนำคุณว่า...”
“สารวัตรโฮมครับ” สไตน์พูดขัดขึ้น “ผมรู้จักคุณ และผมก็คิดว่าคุณเองก็คงเคยได้ยินเกี่ยวกับตัวผมมาบ้างแล้ว” เขายิ้มอีกครั้งแต่แววตานั้นไม่ได้ยิ้มด้วยเลย “อย่าทำให้เราต้องเสียเวลามากไปกว่านี้เลยครับ”
โฮมรู้ว่าเขาไม่สามารถสอบสวนทอย อย่างที่บอกเลี่ยงๆ ไปว่าเป็นเพียงการสอบถามแบบนี้ ไม่มีสิทธิที่จะกักตัวทอยเอาไว้ เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าทอยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นเลย ทั้งหมดมีแค่เพียงความสงสัยส่วนตัวของเขาเท่านั้น
'ที่จริงมันก็ยังไม่แน่ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นด้วยซ้ำ'
“...เอาล่ะคุณทอย คุณกลับไปได้แล้ว ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือกับทางเราเป็นอย่างดีด้วยครับ” โฮมกล่าวเบาๆ พร้อมกับทำท่าจะลุกขึ้นจากโต๊ะ
“ไม่ ผมยังกลับไม่ได้” ทั้งโฮม และสไตน์ต่างหันมามองเขาเกือบจะพร้อมกัน “สารวัตรยังไม่ได้บอกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
โฮมกระแทกนั่งลงอีกครั้ง ทั้งสองจ้องตากันนิ่ง
สไตน์ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับปิดประตูลงเบาๆ แล้วยืนขวางมันเอาไว้ “ผมคิดว่าลูกความของผมมีสิทธิที่จะรู้เรื่องนี้ หลังจากความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น”
โฮมไม่รู้ว่าเรื่องที่ดูเหมือนน่าจะเป็นความคิดที่ดีนี้ เริ่มกลายเป็นความผิดพลาดไปได้อย่างไร
#####
“บอกแล้วว่าเสียเวลาเปล่า” ผู้สวมสูทสีฟ้าในห้องที่อยู่ติดกันเบื้องหลังกระจกเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย
“ใจเย็นก่อนครับ” ลินคอนพยายามหาทางลดความรุนแรงของเหตุการณ์ตรงหน้า
“ไม่ พวกคุณมันไม่ได้เรื่อง” เขาลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ ลินคอนจึงต้องรีบลุกขึ้นเช่นกัน “ผมไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกคุณอาจจะทำอะไรได้บ้าง เชอะ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วอย่างนั้นหรือ” ในตอนท้ายเขาพูดเพียงเบาๆ จนเหมือนเป็นการพึมพำกับตัวเอง “ถ้าอยากให้อะไรสำเร็จ ก็ต้องลงมือทำเองเท่านั้น”
“ใจเย็นๆ ก่อนครับ” ลินคอนยิ้มพร้อมกับเข้ามาขวาง ดูเหมือนเขาจะสามารถยิ้มได้ทุกที่ ทุกเวลา บางทีมันอาจเป็นความสามารถที่สำคัญสำหรับผู้ว่าอย่างเขาก็เป็นได้
“ถอยไป” คนผู้นี้ส่งเสียงตวาดเบาๆ ร่างนั้นคล้ายจะยืดขยายใหญ่โตขึ้นภายใต้แสงไฟสลัวลางอย่างไม่น่าเป็นไปได้ “ข้าคือ แจ็ค ฟรอส” เสียงคำรามอันเก่าแก่ซึ่งขัดกับอายุที่ร่างกายของเขาเป็นอยู่ ดังก้องราวกับเสียงสะท้อนจากภายในหุบเขาลึก มันมีทั้งเสียงของสายลมแรง หมู่เมฆดำทึบที่ลอยต่ำ และความเย็นเยียบที่น่าหวาดหวั่นรวมอยู่ในนั้น
ความเย็นที่เปลวไฟในเตาผิงอันแสนอบอุ่น กับที่อยู่อาศัยซึ่งก่อสร้างอย่างมิดชิดได้ทำให้ผู้คนลืมเลือนความโหดร้ายของมันไป ความหนาวที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ภายในถ้ำ ในบ้านที่สร้างขึ้นจากดิน และไม้ ในค่ำคืนที่ลมหายใจของพวกเขาต้องกลายเป็นไอสีขาว เมื่อร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
ผู้คนเหล่านั้นต่างภาวนาถึงสิ่งเดียวกัน 'ขอให้มีโอกาสได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด'
ชายในชุดสูทสีฟ้าผู้นี้ก็คือ แจ็ค ฟรอส หรือ คุณฟรอส ผู้เป็นเจ้าของอักษรตัวเอฟ เสมียนคนสำคัญแห่งร้านของเล่นซีเอฟนั่นเอง
ลินคอนต้องถอยกายไปอย่างลืมตัว ขนทั้งหมดบนร่างของเขาลุกขึ้นพร้อมกันอย่างไม่อาจควบคุม เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวแห่งฤดูหนาวอันเก่าแก่
'แต่ฉันก็คาดไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้'
ลินคอนรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโคทซึ่งสวมอยู่ เขาไม่ได้ถอดมันเก็บไว้ในตู้อย่างที่เคยทำ และอย่างน้อยมันก็ช่วยเขาได้บ้างเกี่ยวกับอุณหภูมิที่ลดลงอย่างเฉียบพลันนี้ แต่มันยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีก นิ้วมือของเขาสัมผัสเข้ากับหนึ่งในสองสิ่งที่แอบซุกซ่อนเอาไว้ภายใน
หลังจากที่ลินคอนได้สาบานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการมหานคร หลังจากพิธีการอันแสนวุ่นวาย งานเลี้ยงทั้งหลายจบสิ้นลง หลังจากที่เหล่าแขกผู้มีเกียรติ บุคคลสำคัญ ซึ่งพูดราวกับนัดกันไว้ ถึงโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับเขาในอนาคตอันใกล้ได้จากไปหมดแล้ว
ในยามที่เขาได้นั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องทำงานห้าเหลี่ยมเป็นครั้งแรก ได้ผ่อนคลาย ได้รับรู้ถึงความสำเร็จหลังจากที่ต้องสู้ศึกการเลือกตั้งอย่างดุเดือดยาวนานจนราวกับไม่มีวันสิ้นสุด และในขณะเดียวกันก็ได้รับรู้ถึงความรู้สึกเปลี่ยวเหงาอันแปลกประหลาดไปพร้อมๆ กัน
ลินคอนไม่เคยมีโอกาสได้อ่านงานเขียนของโศกาคิดที่ได้บันทึกเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้
'การบรรลุถึงจุดหมาย การประสบความสำเร็จ อาจไม่สามารถให้ประสบการณ์ความพึงพอใจได้ยาวนานอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้ บ่อยครั้งที่ความรู้สึกเคว้างคว้างจะติดตามมาอย่างรวดเร็ว จนกว่าเราจะพบเจอกับเป้าหมายใหม่ที่ต้องไปให้ถึง ที่จะต้องพยายามฝ่าฟันอีกครั้ง
จุดหมาย กับ หนทาง จึงไม่อาจแยกออกจากกัน เพราะทั้งสองสิ่งต่างก็มีความสำคัญอยู่ในตัวของมันเอง และหนทางที่เราเลือกใช้ย่อมต้องส่งผลกระทบถึงคุณค่าแห่งจุดหมายที่เราก้าวไปถึงเสมอ'
แต่ลินคอนได้อ่านสิ่งอื่น ในหนังสือเล่มอื่นที่โผล่มาวางอยู่บนโต๊ะประจำตำแหน่งของเขาในวันนั้นอย่างลึกลับ สมุดเล่มเก่า กระดาษเก่า ปกทำจากหนังสัตว์เป็นสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ เขานั่งจ้องมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเปิดออกอ่านด้วยความสงสัย ในหน้าแรกด้านในปก เขาได้พบกับข้อความที่เขียนด้วยตัวอักษรโบราณที่เขาไม่เข้าใจ แต่มันถูกกำกับไว้ด้วยตัวอักษรในยุคปัจจุบันที่เขียนด้วยลายมือเรียบร้อยสวยงาม
'บันทึกจากผู้นำชนเผ่า สู่ผู้นำชนเผ่า และรับรู้เพียงผู้นำชนเผ่าเท่านั้น'
มันคล้ายกับเป็นการกล่าวคำสาบานของผู้ที่ได้เปิดอ่านสมุดบันทึกเล่มนี้ เขารู้สึกได้ถึงพลัง ถึงน้ำหนักของพวกมันในทุกตัวอักษรที่อ่านผ่านไป พวกมันคอยย้ำเตือนลงในจิตใจของเขาว่า ข้อความที่ได้อ่านไปแล้วนั้นคือความเป็นจริงที่จะต้องทำตามอย่างไม่อาจบิดพริ้ว เขาเรียกมันในภายหลังว่าเป็น 'บันทึกแห่งมหานคร' ซึ่งไม่ค่อยถูกต้องตามความหมายดั้งเดิม แต่ก็คิดว่ามันเหมาะสมดีแล้ว
ช่วงต้นของสมุดบันทึกถูกเขียนด้วยตัวอักษรโบราณซึ่งเขาไม่เข้าใจ และมันไม่มีคำแปลกำกับไว้เหมือนข้อความนั้น เขาจึงเปิดต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบเจอตัวอักษรที่คุ้นเคย และเริ่มอ่านพวกมัน
ความคิดแรกก็คือเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่บันทึกอยู่ภายในนี้จะเป็นเรื่องจริง ส่วนใหญ่แล้วพวกมันฟังคล้ายกับนิทานหลายๆ เรื่องที่เขาเคยได้ยินมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก และรู้ว่าพวกมันถูกเล่าสืบต่อกันมาจากอดีตอันแสนไกล จนไม่มีใครรู้ถึงจุดกำเนิดที่แท้จริงของพวกมันมาก่อน
เขามองดูหน้ากระดาษของสมุดบันทึกที่อยู่ในมือ พร้อมกับคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ถ้าสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้นี้เคยเกิดขึ้นจริงในอดีตเมื่อนานมาแล้ว พวกมันก็อาจถูกเล่าขานต่อๆ กันมา จนกลายเป็นเรื่องราวที่ฟังเหมือนกับนิทานในทุกวันนี้ และนั่นอาจอธิบายเรื่องราวทั้งหมด แต่เขาก็ไม่มีหนทางที่จะพิสูจน์ความคิดของตนในเรื่องนี้ได้
เรื่องที่ถูกบันทึกไว้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เรื่องสุดท้ายนั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญในมหานครที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบห้าสิบปีก่อน และหากสิ่งที่ถูกบันทึกไว้นี้เป็นความจริง ก็ไม่มีทางที่เขาจะเล่าให้ใครฟังอย่างเด็ดขาด
และในบันทึกแห่งมหานครนี้เองที่เขาได้อ่านพบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคนเก่าแก่ผู้หนึ่ง ชื่อที่ผู้คนในยุคปัจจุบันไม่ค่อยจะให้ความสนใจ แต่ในอดีตมันเคยเป็นชื่อที่น่าเกรงขาม เขายังคงพบเห็นร่องรอยแห่งความหวาดกลัวอยู่ในชื่อนั้นในยามที่พวกเขาเขียนบันทึกลงไป
แจ็ค ฟรอส
ทอย (7)
เขาตอบกลับไปโดยไม่ได้ลุกขึ้นยืนตามมารยาท เพราะสไตน์เองก็บุกเข้ามาในห้องสอบสวนโดยไม่มีมารยาทเช่นกัน นั่นเป็นความเห็นของเขา ซึ่งที่จริงแล้วสไตน์หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู เขายังไม่ได้ก้าวเข้ามา ยังไม่ได้บุกรุก ยังไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม 'และผมเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคุณมาแล้ว' โฮมคิดในใจ
“คุณวสันต์ กลับไปทำงานของคุณได้” โฮมออกคำสั่ง
“แต่ว่า” แล้ววสันต์ก็เห็นสายตาของโฮม “ค่ะ” เธอปล่อยมือจากร่างของสไตน์ เหลือบมองดูโฮมแวบหนึ่งด้วยแววตาเสียใจ ก่อนเดินหายไปจากช่องประตูด้วยความรวดเร็ว
โฮมแปลกใจที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกเอะใจเลยสักนิดเมื่อได้ยินทอยเอ่ยถึงชื่อของ เอฟ เค สไตน์ หรือที่พวกตำรวจเรียกกันลับหลังว่า ตัวประหลาด ในการโทรศัพท์ที่บ้านของคุณนายวิกเซ่นก่อนหน้านี้ มือสังหารที่ทำงานอยู่ในเส้นแบ่งบางๆ ของกฏหมาย ก็คงจำเป็นต้องรู้จักกับทนายความที่ไม่ธรรมดา
โฮมรู้มาว่าสไตน์เคยเป็นอดีตทหารรับจ้างฝีมือดีมาก่อน แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงผันตัวเองมาสู่เส้นทางของกฏหมาย กลายมาเป็นทนายความเช่นนี้ บนร่างกายของเขายังคงหลงเหลือร่องรอยจากสงครามที่ผ่านมา รอยแผลที่ใต้คางนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่มองเห็นได้เท่านั้น
สงครามของสไตน์ ไม่ใช่สงครามแบบที่คนทั่วไปนึกถึง มันไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างประเทศแบบในอดีต ไม่มีกองทหารเป็นพัน เป็นหมื่น แต่ก็ยังคงเป็นสงครามที่สร้างความสูญเสีย และเจ็บปวด ไม่แตกต่างจากสงครามเก่าแก่พวกนั้น
มันเป็นการขัดแย้งทางความคิด ความเชื่อ ผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่มีอิทธิพล มีเงินทุน มันไม่มีสนามรบ เพราะทุกพื้นที่อาจถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสนามรบได้ทุกเมื่อ มันไม่มีกองทหาร เพราะทุกคนที่เดินอยู่บนท้องถนนอาจเป็นทหารตามความหมายของสงครามแบบใหม่นี้
สไตน์เคยทำงานพวกนั้นได้ดี และวันหนึ่งเมื่อเขากลายมาเป็นทนายความ เขาก็ทำมันได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน โฮมนึกไม่ออกเลยว่างานทั้งสองอย่างนี้จะมีอะไรที่เหมือนกัน
“คงต้องขอบคุณลูกความของผมที่ได้เอ่ยถึงชื่อของคุณให้ทราบตั้งแต่แรก ผมจึงสามารถตามมาถูกที่ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เสียเวลามากนัก” สไตน์หยุดยิ้ม
โฮมเผลอขบริมฝีปากตัวเอง “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอแนะนำคุณว่า...”
“สารวัตรโฮมครับ” สไตน์พูดขัดขึ้น “ผมรู้จักคุณ และผมก็คิดว่าคุณเองก็คงเคยได้ยินเกี่ยวกับตัวผมมาบ้างแล้ว” เขายิ้มอีกครั้งแต่แววตานั้นไม่ได้ยิ้มด้วยเลย “อย่าทำให้เราต้องเสียเวลามากไปกว่านี้เลยครับ”
โฮมรู้ว่าเขาไม่สามารถสอบสวนทอย อย่างที่บอกเลี่ยงๆ ไปว่าเป็นเพียงการสอบถามแบบนี้ ไม่มีสิทธิที่จะกักตัวทอยเอาไว้ เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าทอยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นเลย ทั้งหมดมีแค่เพียงความสงสัยส่วนตัวของเขาเท่านั้น
'ที่จริงมันก็ยังไม่แน่ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นด้วยซ้ำ'
“...เอาล่ะคุณทอย คุณกลับไปได้แล้ว ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือกับทางเราเป็นอย่างดีด้วยครับ” โฮมกล่าวเบาๆ พร้อมกับทำท่าจะลุกขึ้นจากโต๊ะ
“ไม่ ผมยังกลับไม่ได้” ทั้งโฮม และสไตน์ต่างหันมามองเขาเกือบจะพร้อมกัน “สารวัตรยังไม่ได้บอกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
โฮมกระแทกนั่งลงอีกครั้ง ทั้งสองจ้องตากันนิ่ง
สไตน์ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับปิดประตูลงเบาๆ แล้วยืนขวางมันเอาไว้ “ผมคิดว่าลูกความของผมมีสิทธิที่จะรู้เรื่องนี้ หลังจากความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น”
โฮมไม่รู้ว่าเรื่องที่ดูเหมือนน่าจะเป็นความคิดที่ดีนี้ เริ่มกลายเป็นความผิดพลาดไปได้อย่างไร
#####
“บอกแล้วว่าเสียเวลาเปล่า” ผู้สวมสูทสีฟ้าในห้องที่อยู่ติดกันเบื้องหลังกระจกเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย
“ใจเย็นก่อนครับ” ลินคอนพยายามหาทางลดความรุนแรงของเหตุการณ์ตรงหน้า
“ไม่ พวกคุณมันไม่ได้เรื่อง” เขาลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ ลินคอนจึงต้องรีบลุกขึ้นเช่นกัน “ผมไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกคุณอาจจะทำอะไรได้บ้าง เชอะ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วอย่างนั้นหรือ” ในตอนท้ายเขาพูดเพียงเบาๆ จนเหมือนเป็นการพึมพำกับตัวเอง “ถ้าอยากให้อะไรสำเร็จ ก็ต้องลงมือทำเองเท่านั้น”
“ใจเย็นๆ ก่อนครับ” ลินคอนยิ้มพร้อมกับเข้ามาขวาง ดูเหมือนเขาจะสามารถยิ้มได้ทุกที่ ทุกเวลา บางทีมันอาจเป็นความสามารถที่สำคัญสำหรับผู้ว่าอย่างเขาก็เป็นได้
“ถอยไป” คนผู้นี้ส่งเสียงตวาดเบาๆ ร่างนั้นคล้ายจะยืดขยายใหญ่โตขึ้นภายใต้แสงไฟสลัวลางอย่างไม่น่าเป็นไปได้ “ข้าคือ แจ็ค ฟรอส” เสียงคำรามอันเก่าแก่ซึ่งขัดกับอายุที่ร่างกายของเขาเป็นอยู่ ดังก้องราวกับเสียงสะท้อนจากภายในหุบเขาลึก มันมีทั้งเสียงของสายลมแรง หมู่เมฆดำทึบที่ลอยต่ำ และความเย็นเยียบที่น่าหวาดหวั่นรวมอยู่ในนั้น
ความเย็นที่เปลวไฟในเตาผิงอันแสนอบอุ่น กับที่อยู่อาศัยซึ่งก่อสร้างอย่างมิดชิดได้ทำให้ผู้คนลืมเลือนความโหดร้ายของมันไป ความหนาวที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ภายในถ้ำ ในบ้านที่สร้างขึ้นจากดิน และไม้ ในค่ำคืนที่ลมหายใจของพวกเขาต้องกลายเป็นไอสีขาว เมื่อร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
ผู้คนเหล่านั้นต่างภาวนาถึงสิ่งเดียวกัน 'ขอให้มีโอกาสได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด'
ชายในชุดสูทสีฟ้าผู้นี้ก็คือ แจ็ค ฟรอส หรือ คุณฟรอส ผู้เป็นเจ้าของอักษรตัวเอฟ เสมียนคนสำคัญแห่งร้านของเล่นซีเอฟนั่นเอง
ลินคอนต้องถอยกายไปอย่างลืมตัว ขนทั้งหมดบนร่างของเขาลุกขึ้นพร้อมกันอย่างไม่อาจควบคุม เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวแห่งฤดูหนาวอันเก่าแก่
'แต่ฉันก็คาดไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้'
ลินคอนรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโคทซึ่งสวมอยู่ เขาไม่ได้ถอดมันเก็บไว้ในตู้อย่างที่เคยทำ และอย่างน้อยมันก็ช่วยเขาได้บ้างเกี่ยวกับอุณหภูมิที่ลดลงอย่างเฉียบพลันนี้ แต่มันยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีก นิ้วมือของเขาสัมผัสเข้ากับหนึ่งในสองสิ่งที่แอบซุกซ่อนเอาไว้ภายใน
หลังจากที่ลินคอนได้สาบานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการมหานคร หลังจากพิธีการอันแสนวุ่นวาย งานเลี้ยงทั้งหลายจบสิ้นลง หลังจากที่เหล่าแขกผู้มีเกียรติ บุคคลสำคัญ ซึ่งพูดราวกับนัดกันไว้ ถึงโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับเขาในอนาคตอันใกล้ได้จากไปหมดแล้ว
ในยามที่เขาได้นั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องทำงานห้าเหลี่ยมเป็นครั้งแรก ได้ผ่อนคลาย ได้รับรู้ถึงความสำเร็จหลังจากที่ต้องสู้ศึกการเลือกตั้งอย่างดุเดือดยาวนานจนราวกับไม่มีวันสิ้นสุด และในขณะเดียวกันก็ได้รับรู้ถึงความรู้สึกเปลี่ยวเหงาอันแปลกประหลาดไปพร้อมๆ กัน
ลินคอนไม่เคยมีโอกาสได้อ่านงานเขียนของโศกาคิดที่ได้บันทึกเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้
'การบรรลุถึงจุดหมาย การประสบความสำเร็จ อาจไม่สามารถให้ประสบการณ์ความพึงพอใจได้ยาวนานอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้ บ่อยครั้งที่ความรู้สึกเคว้างคว้างจะติดตามมาอย่างรวดเร็ว จนกว่าเราจะพบเจอกับเป้าหมายใหม่ที่ต้องไปให้ถึง ที่จะต้องพยายามฝ่าฟันอีกครั้ง
จุดหมาย กับ หนทาง จึงไม่อาจแยกออกจากกัน เพราะทั้งสองสิ่งต่างก็มีความสำคัญอยู่ในตัวของมันเอง และหนทางที่เราเลือกใช้ย่อมต้องส่งผลกระทบถึงคุณค่าแห่งจุดหมายที่เราก้าวไปถึงเสมอ'
แต่ลินคอนได้อ่านสิ่งอื่น ในหนังสือเล่มอื่นที่โผล่มาวางอยู่บนโต๊ะประจำตำแหน่งของเขาในวันนั้นอย่างลึกลับ สมุดเล่มเก่า กระดาษเก่า ปกทำจากหนังสัตว์เป็นสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ เขานั่งจ้องมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเปิดออกอ่านด้วยความสงสัย ในหน้าแรกด้านในปก เขาได้พบกับข้อความที่เขียนด้วยตัวอักษรโบราณที่เขาไม่เข้าใจ แต่มันถูกกำกับไว้ด้วยตัวอักษรในยุคปัจจุบันที่เขียนด้วยลายมือเรียบร้อยสวยงาม
'บันทึกจากผู้นำชนเผ่า สู่ผู้นำชนเผ่า และรับรู้เพียงผู้นำชนเผ่าเท่านั้น'
มันคล้ายกับเป็นการกล่าวคำสาบานของผู้ที่ได้เปิดอ่านสมุดบันทึกเล่มนี้ เขารู้สึกได้ถึงพลัง ถึงน้ำหนักของพวกมันในทุกตัวอักษรที่อ่านผ่านไป พวกมันคอยย้ำเตือนลงในจิตใจของเขาว่า ข้อความที่ได้อ่านไปแล้วนั้นคือความเป็นจริงที่จะต้องทำตามอย่างไม่อาจบิดพริ้ว เขาเรียกมันในภายหลังว่าเป็น 'บันทึกแห่งมหานคร' ซึ่งไม่ค่อยถูกต้องตามความหมายดั้งเดิม แต่ก็คิดว่ามันเหมาะสมดีแล้ว
ช่วงต้นของสมุดบันทึกถูกเขียนด้วยตัวอักษรโบราณซึ่งเขาไม่เข้าใจ และมันไม่มีคำแปลกำกับไว้เหมือนข้อความนั้น เขาจึงเปิดต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบเจอตัวอักษรที่คุ้นเคย และเริ่มอ่านพวกมัน
ความคิดแรกก็คือเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่บันทึกอยู่ภายในนี้จะเป็นเรื่องจริง ส่วนใหญ่แล้วพวกมันฟังคล้ายกับนิทานหลายๆ เรื่องที่เขาเคยได้ยินมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก และรู้ว่าพวกมันถูกเล่าสืบต่อกันมาจากอดีตอันแสนไกล จนไม่มีใครรู้ถึงจุดกำเนิดที่แท้จริงของพวกมันมาก่อน
เขามองดูหน้ากระดาษของสมุดบันทึกที่อยู่ในมือ พร้อมกับคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ถ้าสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้นี้เคยเกิดขึ้นจริงในอดีตเมื่อนานมาแล้ว พวกมันก็อาจถูกเล่าขานต่อๆ กันมา จนกลายเป็นเรื่องราวที่ฟังเหมือนกับนิทานในทุกวันนี้ และนั่นอาจอธิบายเรื่องราวทั้งหมด แต่เขาก็ไม่มีหนทางที่จะพิสูจน์ความคิดของตนในเรื่องนี้ได้
เรื่องที่ถูกบันทึกไว้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เรื่องสุดท้ายนั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญในมหานครที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบห้าสิบปีก่อน และหากสิ่งที่ถูกบันทึกไว้นี้เป็นความจริง ก็ไม่มีทางที่เขาจะเล่าให้ใครฟังอย่างเด็ดขาด
และในบันทึกแห่งมหานครนี้เองที่เขาได้อ่านพบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคนเก่าแก่ผู้หนึ่ง ชื่อที่ผู้คนในยุคปัจจุบันไม่ค่อยจะให้ความสนใจ แต่ในอดีตมันเคยเป็นชื่อที่น่าเกรงขาม เขายังคงพบเห็นร่องรอยแห่งความหวาดกลัวอยู่ในชื่อนั้นในยามที่พวกเขาเขียนบันทึกลงไป
แจ็ค ฟรอส