แต่งไว้ เมื่อนานแล้ว แค่สงสัย ว่าควรจะพยายามกับสิ่งที่รักต่อไปไหม

กระทู้คำถาม
……….Without You……….


                                                                                         
   เพราะรัก รักเธอ เป็นจุดเริ่ม
เพราะเติมเพิ่ม จุดอิ่มใจ ให้คล้อยฝัน

เพราะมีเธอ มีรัก มีผูกพัน

แม้ไม่อาจ ได้เคียงกัน เพราะรัก…ปราศจากเธอ…


……………………ณ ร้านข้าวเล็กๆแห่งหนึ่ง วันที่ 10/02/2547
“น้าแมว กระเพาหมูไข่ดาวครับ” เสียงเดิมๆ ที่ไม่ว่ายังก็มักจะมานั่งกินข้าวที่ร้านแม่ฉันอยู่เป็นประจำ
“น้ำค่ะ”ฉันเดินมาส่งน้ำให้กับผู้ชายคนนั้นเช่นเคยในทุกวัน
“มาส่งน้ำเฉยๆก็ได้ ไม่ต้องมาทำตาเหล่ใส่หรอก”สำเนียงเสียงพูดแบบเดิมๆที่ยังคงดีกรีความกวนไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
“ไอ้บ้าจิม เดี๋ยวเถอะ!!!”
“ข้าวเสร็จแล้ว ไผ่หวาน มาส่งสิลูก” เสียงเรียกของผู้เป็นแม่ทำให้สงครามย่อมๆของฉันกับพี่จิม ต้องหยุดลง…
จริงๆแล้วฉันไม่ได้ตาเหล่อย่างที่อีตานี่แซวนะ
เรื่องจริงคือ … ฉันแอบชอบพี่จิมที่อายุมากกว่าฉัน 1 ปี มานานแล้ว(>///<) เพราะด้วยความที่อีตานี่มักจะชอบยั่วกวนประสาทฉันอยู่เป็นประจำ ฉันก็เลยตามเลย เล่นไปร้อนตัวไป แต่ในใจฉันดีใจมากเลยนะ ที่อย่างน้อยได้เล่นได้ทะเลาะกับพี่จิมแทบทุกวัน  และ เพราะความเขินอายแต่ก็ต้องวางฟอร์มโดยการแอบมองแบบคนที่ไม่สนใจ อีตานี่มันดันทะลึ่งมามองเห็นแววตานั้นอีก ตั้งแต่นั้นมาอีตานี่ก็เลยเรียกฉันว่าน้องตาเหล่…มาตลอด
“ไผ่ ๆ เหล่ไปไหนเนี่ยตา น้องเหล่เอ๋อ”
“อะไรเล่า กวนประสาทจริง” วางฟอร์มสุดฤทธิ์ ในใจนี่จะระเบิดแล้วนะ (>///<)
“เท่าไหร่จ๊ะ น้องเหล่”
“ไม่จบ อยากเล่นน้ำสงกรานต์หรือไงเนี่ย เดี๋ยวก็สงเคราะห์ซะหรอก” ไม่พูดเปล่า ฉันรีบคว้าแก้วน้ำเปล่าที่อยู่บนโต๊ะ ยกสาดซะเต็มที่ แต่…
“เล่นอะไรเป็นเด็กๆ มานี่เลย” คว้ามือฉันทันโดยที่แก้วยังไม่มีน้ำสักหยดพลาดไปโดน แต่มือพี่จิม กลับไม่ยอมปล่อยแก้ว กลับคว้าตัวฉันมาล็อคคอกลับตั้งใจจะสาดคืนซะเต็มที่
“ไม่เล่นแล้ว ปล่อยนะ ไผ่เป็นผู้หญิงนะ อ้ายๆๆๆ>[ ]<”ฉันร้องโวยวายดังลั่น ขณะที่อีตาบ้าจิม กลับสนุกกับการแกล้งล็อคคอฉัน …สนุกก็สนุกนะ เขินก็เขิน  ดีใจก็ดีใจ แต่เสียใจตรงไอ้บ้านี่มันดันเล่นซะเหมือนเราเป็นเด็กผู้ชายนี่แหละ T^T
“เฮ้ออ…” ฉันถอนหายใจกับอาการเหนื่อยที่เกิดจากการเล่นเมื่อกี้นี้ แต่มีความสุขจัง (^^)
“ไผ่ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไปลูก ตัวเปียกหมดแล้ว” เสียงผู้เป็นแม่เดินมาบอกฉันหลังจากที่เข้ามาส่งเสียงห้ามรบ ให้สงครามของฉันสงบลง
“ค่ะ (^o^)”
“แม่ว่าเราก็ ม.6 แล้ว นะ ส่วนเจ้าจิมก็อยู่มหาวิทยาลัยแล้ว หนูควรเลิกเล่นแบบนี้ได้แล้ว ใครจะมองไม่ดี บ้านเราก็แค่ร้านอาหารเล็กๆ ไปสนิทกับลูกนักธุรกิจอย่างนั้นไม่ดีหรอก เข้าใจที่แม่พูดนะ”
“ค่ะแม่…”
ฉันทำเสียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจก็เสียใจอยู่ลึกๆ เพราะฉันก็รู้เรื่องฐานะที่ต่างกันมาตลอด โรงเรียนที่ฉันเรียนก็เป็นแค่โรงเรียนมัธยมธรรมดา  แต่พี่จิมกลับเรียนโรงเรียนนานาชาติพอจบมัธยมก็ต่อมหาลัยเอกชนภาคอินเตอร์อีก ทำไมฉันจะไม่รู้เรื่องความต่างตรงนี้ล่ะ ฉันก็รู้มาตลอด แต่ฉันก็แค่ขอแอบรักพี่จิมข้างเดียว แอบรักอย่างนี้ต่อไปได้ไหม…
ฉันได้แต่หวังแค่แอบรัก…ได้รักพี่จิมต่อไป…แค่นั้นก็พอ…

ถามใจ ใยเจอ แต่เรื่องเศร้า
รักจากเรา ไม่มีวัน ได้ดั่งฝัน
รักจากฉัน ไกลห่าง แสนต่างกัน
ที่ ซึ่ง อัน จะเป็นได้  แค่รักเธอ…


เย็นของอีกวันหนึ่ง 13/2/47

“ไผ่จ๋า!!!”
“…” ฉันหันไปมองตามเสียงที่เรียกฉัน ซึ่งเจ้าของเสียงนั้นก็คือคนที่ฉันกำลังจะต้องตัดใจ
“ขึ้นมาสิ กลับพร้อมกัน (^__^)”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่จิมไปเถอะ”
“อ้าว ก็มันทางเดียวกันพอดี มาสิ ปกติก็กลับด้วยกันออกบ่อยนี่”
“ไม่ค่ะ เดี๋ยวไผ่ต้อง ….อ้าว พี่แพท จะมาทำอะไรแถวนี้เนี่ย”
ฉันรีบทำเป็นชวนคุยกับพี่แพทที่ขับรถมอเตอร์ไซด์มาจอดแถวนี้พอดี
“มาทำธุระนิดหน่อยนะ เดี๋ยวกลับด้วยกันสิ แต่ขอพี่แวะไปเอาของห้องเพื่อนก่อนนะ”
“ค่ะ” ฉันทำเป็นคุยกับพี่แพท เหมือนไม่สนใจพี่จิมที่ชะลอรถอยู่ข้างๆ จนขับรถเบนซ์คันงามออกไปจนลับตาฉัน ด้วยสายตาที่ฉันคอยแอบชำเลืองมองตลอด แค่รถของพี่จิมขับออกไปใจฉันเองก็แทบจะวิ่งตามพี่เค้าไป แต่เพราะฉันสัญญากับแม่ไว้แล้วว่าฉันจะรักษาระยะห่างให้เหมาะสม ใจที่ลอยเคว้งเหมือนไม่รับรู้อะไร ปล่อยให้ร่างกายขึ้นมอเตอร์ไซด์ของพี่แพทนำทางต่อไป….

“เข้ามาก่อนสิไผ่”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่แพทจัดการธุระเลย ไผ่จะรอข้างหน้า” ฉันยืนถือกระเป๋าเรียนหน้าห้องพักของเพื่อนพี่แพท เพราะมองเข้าไปภายในห้องนั้น บรรยากาศภายในไม่ชวนให้อยากย่างกรายเข้าไปเลย ทั้งกลิ่นเหม็นฉุนที่ส่งออกมาอีก
“พี่บอกให้เข้ามาก่อน!!!”
“แต่…”
“เข้ามา!!!”น้ำเสียงที่ทั้งดังและกราดเกรี้ยวในคราวเดียว ทำให้ฉันต้องยอมเข้าไปในห้องนั้นแต่โดยดี
กึก!!!
“พี่แพทล็อดประตูทำไมค่ะ”เสียงที่สั่นของฉันบอกออกไป ทั้งๆที่ตอนนี้ใจฉันหวาดกลัวคนตรงหน้าอย่างถึงที่สุด
“ไผ่!!! ไม่ต้องกลัวนะ!!!”ทันทีที่เสียงเรียกนั้นจบลง ร่างทั้งร่างของฉันถูกฟาดเหวี่ยงลงยังพื้นล่างในทันที ร่างทั้งร่างของพี่แพทเข้ากดทับฉันอย่างที่ตัวฉันเองไม่ทันได้ต่อต้าน แรงกดทับเกินกว่าที่ฉันจะปัดป้องมันได้
“พี่แพทอย่าค่ะ ไผ่กลัว ฮือๆๆ!!!”
“…”ไม่มีเสียงตอบใดๆ นอกจากแรงกดจากร่างนั้น และมือที่พันพาดจับไปทั่วร่างของฉัน ที่ฉันทำได้เพียงแค่ส่งเสียงร้องและดิ้นหนีไปมา
“พี่จิม!!! ช่วย!!!”เพียงแค่เสียงร้องของฉันออกมาเพียงแค่นั้น ทุกอย่างเกินกว่ากำลังฉันจะต้านไหว เมื่อกำปั้นนั้นตราตรึงลงที่ช่วงท้องของฉัน
ฮือ ฮือ อือ!!!         
ความเจ็บปวดเข้ากระหน่ำไปทั่วทั้งใจและร่างกาย ฉันได้ส่งเสียงร้องอย่างแผ่วเบา ในขณะที่ร่างที่กดทับลงมานั้น ทั้งย่ำยีร่างกายและจิตใจฉันอย่างคราใคร่  ใครจะรู้ว่าแค่ฉันขึ้นรถไปกับพี่แพท มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ฉันสูญเสียทุกอย่างที่รักและถนอมมาตลอด ทั้งที่ฉันคิดว่าสิ่งนี้ฉันจะให้กับคนที่ฉันรักและจะแต่งงานด้วยเท่านั้น แต่วันนี้มันไม่มีค่าแล้ว ฉันสูญเสียไปหมดทุกอย่าง…

ฉันรีบจัดแจงตัวเอง ก่อนที่จะหนีออกมาจากห้องพัก เมื่อเจ้าตัวได้สมใคร่ในทุกอย่าง เค้าได้พรากทุกสิ่งไปจากฉันและย่ำยีในทุกอย่างที่ต้องการไปหมด เวลานี้ความเสียใจเข้าถาโถมมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่อาจให้น้ำตาที่มีไหลออกมาได้ ความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างที่บอบช้ำ ทั้งเสียใจ ทั้งกลัว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบกลับบ้าน เพราะตอนนี้เลยเวลากลับบ้านมากแล้ว ฉันไม่อยากให้แม่เป็นห่วง…

เมื่อมาถึงบ้าน ฉันต้องตีหน้านิ่ง แล้วรีบเดินเข้าห้องให้เร็วที่สุด
“ไผ่ไปไหนมาลูก วันนี้กลับช้าจัง”
“แวะดูหนังสือมานิดหน่อยค่ะแม่ วันนี้ไผ่ปวดหัวมากเลยขอพักก่อนนะค่ะแม่” รีบเดินเข้าห้องน้ำ และเปิดเสียงน้ำให้ดังเพื่อกลบเสียงร้องไห้ที่ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป…

...ในหลายวันต่อมา…

“ไผ่ ไหวไหมลูก หนูไม่ไปโรงเรียนหลายวันแล้วนะ เปิดประตูมาคุยกับแม่ก่อนสิ” เสียงเรียกของแม่ที่ดังเพียงพักนึงตอนนี้ได้เงียบลงแล้ว  ฉันเองก็เข้าใจเรื่องที่แม่เป็นห่วง แต่ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมออกไปไหนจริงๆ 2 วันที่ผ่านมาฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนอนจมน้ำตาตัวเอง คิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนาๆ ไม่สามารถหยุดตัวเองให้เลิกคิกถึงวันแห่งฝันร้ายนั้นได้เลย

“ไผ่ เปิดประตูหน่อยสิ เพื่อนเราฝากรายงานมาให้นะ”เสียงเรียกของคนตรงหน้ายิ่งทำให้ฉันเสียใจมากขึ้น เพราะฉันไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว
ไม่มีค่า…ที่จะรักพี่จิมได้อีกแล้ว…

“ไผ่ …. เปิด ประ ตู พี่ มี เรื่อง จะ คุย ด้วย”เสียงพูดที่ช้าและน้ำเสียงที่ชัดเจนของพี่จิมคราวนี้ไม่สามารถทำให้ฉันปฏิเสธได้อีก จึงลุกจากเตียงรีบเช็ดหน้าเช็ดตาให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปเปิดประตูแล้วกลับมานั่งคลุมโปงที่เตียวเหมือนเดิม
……….

“ไผ่…มีอะไรจะบอกพี่ไหม” หลังจากที่เดินเข้ามาและลงนั่งพิงข้างเตียงฉัน ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราอยู่ครู่นึง และประโยคแรกของพี่จิมก็เริ่มขึ้น
“...”ฉันไม่ได้ตอบอะไรออกไป นอกจากความเงียบ
“พี่รู้เรื่องหมดแล้วนะ ว่าเราเจออะไรมา” แค่เพียงประโยคนี้ ฉันรีบโผล่หน้าขึ้นมาจากผ้าห่มในทันที
“พี่จิมไปรู้อะไรมา…”ฉันรีบถามกลับไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งปนสั่น
“พี่รู้มาจากไอ้แพทเอง พอดีมันคุยกับเพื่อนมันอยู่ แล้วพี่ไปบังเอิญได้ยิน”
“พี่จิม…รู้...แล้ว…ฮือๆ...”

“ไม่เป็นไรนะ พี่จะพาเราไปหาหมอก่อน แล้วเรื่องนี้มันจะเป็นความลับของเราสองคนตลอดไป” ประโยคที่อบอุ่นกับสองมือที่เข้ามาโอบประคองกอดฉันไว้ช่างอบอุ่นจนฉันอยากให้ อยู่กับฉันนานๆได้ไหม

            พี่จิมให้ฉันแต่งตัวแล้วพาไปข้างนอกในทันที โดยบอกกับแม่ฉันให้ว่าจะพาไปหาหมอ ตลอดเวลาที่เดินทางมาด้วยกันไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างเรา มีเพียงความเงียบ แต่ในความเงียบนั้น มือของพี่จิมยังคงจับมือฉันไว้อย่างไม่มีวันหลุดหายไปไหน  จนถึงโรงพยาบาลและการตรวจเสร็จสิ้น เหลือแค่ตามเช็คผลเท่านั้น

“ที่เหลือก็มาเช็คผลนะ”ฉันแปลกใจเล็กน้อยกับคำพูดพี่จิม ราวกับว่าเค้าจะไม่มาฟังผลกับฉัน

…ความเงียบเกิดขึ้นกับเรามายาวนาน ตลอดเส้นทาง

“ขอบคุณมากนะค่ะพี่จิม”
“…”ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา
“สัญญากับพี่ว่าต่อไปนี้จะระวัง และดูแลตัวเองให้มาก”
“ทำไม…”
“บอกว่าให้สัญญาไง”ไม่ทันให้ฉันได้ถามอะไร แต่ราวกับว่าต้องการแค่ให้ฉันตอบรับ
“สัญญาค่ะ”
“ดีมาก ลงได้แล้วถึงบ้านแล้ว  อย่าลืมที่สัญญานะ(^____^)”

พูดจบก็รีบขับรถออกไปไม่รอให้ฉันพูดอะไรเลย มีแต่รอยยิ้มอบอุ่นอย่างสุดท้ายก่อนที่จะขับรถจากไป … แต่ใครจะรู้ว่านั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายของฉันที่จะได้เจอพี่จิม หลังจากวันนั้นพี่จิมก็ไม่ได้มาทานข้าวที่บ้านอีกเลย ได้รู้อีกทีคือ พี่จิมไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ พี่จิมคงรังเกียจผู้หญิงอย่างฉันแล้ว ฉันคงไม่มีค่าแล้ว พี่จิมถึงได้จากไปโดยไม่บอกลากันเลยแบบนี้ แม้จะเสียใจมากที่ไม่โอกาสได้พูดอะไรเลย ถ้ารู้ว่าวันนั้นจะเป็นวันสุดท้าย ฉันคงพูดอะไรมากกว่า…
คำว่า …สัญญา …

5 ปีหลังจากนั้น 11/11/52

ฉันยังคงเฝ้ารอคอยพี่จิมต่อไป แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะยังคงเป็นบาดแผลที่ฝังลึกของฉันมากก็ตาม  แต่ฉันเองแม้เวลาจะผ่านมาจนถึงวันนี้วันที่ฉันเรียนจบและรับปริญญา ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหน

แต่สัญญา…ไผ่ยังรักษามันไว้อย่างดีค่ะพี่จิม

“ไผ่…”หลังจากกลับมาถึงบ้าน แม่เรียกฉันพร้อมกับยื่นกล่องใบหนึ่งมาให้ ฉันรับมาด้วยใบหน้ายิ้มปนสงสัย

“จิมฝากมาให้” ทันทีที่รู้ว่าเจ้าของกล่องเป็นใคร รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้า ฉันรีบวิ่งเข้าห้องเพื่อไปเปิดกล่องนั้น อย่างใจที่ชื่นบาน

            หลังจากเปิดมาปุบ กระดาษใบบนที่ฉันเห็น

สัญญาก่อนว่าอ่านจบแล้วจะเผาทิ้งทั้งหมด

ฉันไม่ได้สนใจ ใจความเลยจน…แผ่นที่สอง

สัญญาเดี๋ยวนี้ น้องเหล่

ฉันได้แต่อมยิ้มกับมุกดั้งเดิมของเจ้าตัว ก่อนจะตอบในใจ

สัญญาค่ะ สัญญา (^___^)


กระดาษแผ่นแรก 13/2/47
ฉันยังคงจดจำวันนี้ได้ดี วันที่เรื่องทุกอย่างเปลี่ยนชีวิตฉัน

เขียนว่า … พี่มีเรื่องอะไรจะบอกไผ่แหละ อยากบอกว่า…จริงๆแล้วพี่รู้มาตลอดนะว่าไผ่รู้สึกยังไงกับพี่ (กรี๊ดๆ รู้ได้ไงเนี่ย >/ / /<) พี่ก็อยากจะบอกไผ่นะว่าพี่ก็คิดกับไผ่แบบนั้นเหมือนกัน ไม่งั้นนะใครจะบ้าไปกินข้าวข้างนอกทุกวันๆ ทั้งที่มีกับข้าวที่บ้านอยู่แล้วละ  อยากบอกว่าบางวันพี่อิ่มแทบตาย แต่ต้องทำเป็นหิวเพื่อมากินข้าวแม่เราต่อ ก็ทะเลาะกับเรามันสนุกดีนี่ เวลากลับบ้านก็เหมือนกัน ไผ่รู้ไหมว่ามันไม่ง่ายเลยนะที่ต้องพยายามกะเวลาให้พอดีกับเราออกจากโรงเรียนเนี่ย วนรถตั้งหลายรอบนะ แล้วไหนจะอยู่คนละฝั่งโลกกับมหาลัยพี่อีก รู้ไหม ว่ามันเหนื่อยเอาการเลยนะ  แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อ มาเจอเรา พี่นี่ก็บ้าใช้ได้ เล่าไปก็เขินไป ตอนที่เราเห็นหน้าพี่พอได้อ่านจดหมายนี้คงจะเขินจนตาเหล่อีกแน่ แล้วอย่าคิดนะว่าพี่ไม่รู้ว่าเราแอบมองพี่เป็นประจำ ดีแต่แอบมองแถมยังทำเป็นนิ่งอีก ใครมันจะทนไหวละเลยเรียก น้องตาเหล่ซะเลย ข้อหาหมั่นไส้ ความจริงวันนี้เป็นวันที่พี่ตั้งใจจะขอ...

เท่านี้ก่อนนะ ^^
อยากรู้กันต่อไหมเนี่ยยย ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่