คือ เอาแก่นไปเป็นเปลือกแล้วไม่สนใจ แล้ว เอาเปลือกไปเป็นแก่นบูชาไว้ท่วมหัว
ขอเริ่มจาก พุทธก่อนละกัน เอาเรื่องการยึดติดชาติหน้า มาเป็นแก่น แล้วเอาเรื่อง การปล่อยวาง ทีนี้เดวนี้ ไปเป็นเปลือก
อธิบายง่ายๆ คือ เอาเรื่อง ชาติหน้ามาเป็นใจความสำคัญ ประกาศไปทั่วว่าไม่อยากเกิดชาติหน้าอีกแล้ว แต่ใครไปบอกไม่มี โกรธไม่พอใจ
ทำให้การปฎิบัติทุกอย่างมันผิดเพี้ยน จาก
- ศีล (สงบ) มีไว้ให้สงบเดวนี้ กลายเป็น ศีล ( ข้อห้าม ) มีไว้สะสมแต้มบุญบารมี
- สมาธิ ( การพิจารณาตามจริง ) กลายเป็น สมาธิ ( การเพ่งการภาวนา ) มีไว้ยกระดับพลังจิต สะสมบุญบารมี
- ปัญญา ( ความเข้าใจ ในทุกข์ เข้าใจการดับทุกข์ทีนี้เดวนี้ ) กลายเป็น ปัญญา ( เอาไว้เป็นจุดหมายไกลๆ ) จะมีได้ต่อเมื่อ สะสมบุญบารมีถึง
จากแนวทางสำคัญของพุทธ คือ การปล่อยวาง ให้เกิด ความสงบ ( ศีล ) เกิดการพิจารณาตามจริง ( สมาธิ ) เกิดความเข้าใจในทุกข์ และเห็นหนทางดับทุกข์ ( ปัญญา ) แล้ว หนทางที่ว่าก็คือ การปล่อยวาง ทำให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ ทำให้เข้าใจไม่ปลงใจเชื่อ
แต่ด้วยความที่เอาเปลือกมาเป็นแก่น จากสิ่งสำคัญ การปล่อยวาง กลายมาเป็น การยึดติดในชาตินี้ ยึดติดในชาติหน้า ยึดติดในบุญบารมี ทำให้ ศีล ( กลายเป็นข้อห้ามต้องยึดติดไว้เพื่อสะสมบุญ ) สมาธิ ( เป็นการยกระดับพลังจิต เพื่อสะสมพลังบุญบารมี ) ปัญญา ( เอาไว้ชาติหน้าอีกสิบชาติร้อยชาติ ) ชาตินี้เอาปลงใจเชื่อไปก่อน เรียกให้ดูหรู ว่า ศรัทธา จากตนเป็นที่พึ่งแห่งตน กลายเป็น ตนต้องพึ่ง บุญ
ผมว่าเรื่องพุทธแล้ว ผมอยากรู้ว่าใน ศาสนาอื่นมีแบบนี้ไหม มีการโต้แย้งอะไรในทำนองนี้ไหม ( ถามด้วยความสงสัย ไม่ได้ลบลู่ )เช่น
-ในศาสนาอิสลาม มีการโต้เถียงกันไหม ว่า สันติ คือแก่นของศาสนา เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ไม่ใช่การทำอะไรก็ได้เพื่อ ประจบพระเจ้า
-ในศาสนาคริสต์ มีการโต้เถียงกันไหม ว่า ความรัก คือแก่นของศาสนา เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ไม่ใช่อ้างว่ารักของพระเจ้าแล้วทำอะไรก็ได้
อันนี้ผมถามด้วยความบริสุทธ์ใจ เพราะส่วนตัวเห็นว่า ทุกศาสนา ถ้าเอาแก่นจริงๆ มาคุยกัน ทั้งความรัก สันติ และ การปล่อยวาง มาเป็นเรื่องสำคัญ ปัญหาความขัดแย้งทางศาสนา ไม่น่าจะเกิด แบบที่เห็นทุกวันนี้
ผมว่าคนเรา นับถือศาสนา กลับหัวกลับหางยังไงไม่รู้ ( มีให้เห็นทุกศาสนา )
ขอเริ่มจาก พุทธก่อนละกัน เอาเรื่องการยึดติดชาติหน้า มาเป็นแก่น แล้วเอาเรื่อง การปล่อยวาง ทีนี้เดวนี้ ไปเป็นเปลือก
อธิบายง่ายๆ คือ เอาเรื่อง ชาติหน้ามาเป็นใจความสำคัญ ประกาศไปทั่วว่าไม่อยากเกิดชาติหน้าอีกแล้ว แต่ใครไปบอกไม่มี โกรธไม่พอใจ
ทำให้การปฎิบัติทุกอย่างมันผิดเพี้ยน จาก
- ศีล (สงบ) มีไว้ให้สงบเดวนี้ กลายเป็น ศีล ( ข้อห้าม ) มีไว้สะสมแต้มบุญบารมี
- สมาธิ ( การพิจารณาตามจริง ) กลายเป็น สมาธิ ( การเพ่งการภาวนา ) มีไว้ยกระดับพลังจิต สะสมบุญบารมี
- ปัญญา ( ความเข้าใจ ในทุกข์ เข้าใจการดับทุกข์ทีนี้เดวนี้ ) กลายเป็น ปัญญา ( เอาไว้เป็นจุดหมายไกลๆ ) จะมีได้ต่อเมื่อ สะสมบุญบารมีถึง
จากแนวทางสำคัญของพุทธ คือ การปล่อยวาง ให้เกิด ความสงบ ( ศีล ) เกิดการพิจารณาตามจริง ( สมาธิ ) เกิดความเข้าใจในทุกข์ และเห็นหนทางดับทุกข์ ( ปัญญา ) แล้ว หนทางที่ว่าก็คือ การปล่อยวาง ทำให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ ทำให้เข้าใจไม่ปลงใจเชื่อ
แต่ด้วยความที่เอาเปลือกมาเป็นแก่น จากสิ่งสำคัญ การปล่อยวาง กลายมาเป็น การยึดติดในชาตินี้ ยึดติดในชาติหน้า ยึดติดในบุญบารมี ทำให้ ศีล ( กลายเป็นข้อห้ามต้องยึดติดไว้เพื่อสะสมบุญ ) สมาธิ ( เป็นการยกระดับพลังจิต เพื่อสะสมพลังบุญบารมี ) ปัญญา ( เอาไว้ชาติหน้าอีกสิบชาติร้อยชาติ ) ชาตินี้เอาปลงใจเชื่อไปก่อน เรียกให้ดูหรู ว่า ศรัทธา จากตนเป็นที่พึ่งแห่งตน กลายเป็น ตนต้องพึ่ง บุญ
ผมว่าเรื่องพุทธแล้ว ผมอยากรู้ว่าใน ศาสนาอื่นมีแบบนี้ไหม มีการโต้แย้งอะไรในทำนองนี้ไหม ( ถามด้วยความสงสัย ไม่ได้ลบลู่ )เช่น
-ในศาสนาอิสลาม มีการโต้เถียงกันไหม ว่า สันติ คือแก่นของศาสนา เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ไม่ใช่การทำอะไรก็ได้เพื่อ ประจบพระเจ้า
-ในศาสนาคริสต์ มีการโต้เถียงกันไหม ว่า ความรัก คือแก่นของศาสนา เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ไม่ใช่อ้างว่ารักของพระเจ้าแล้วทำอะไรก็ได้
อันนี้ผมถามด้วยความบริสุทธ์ใจ เพราะส่วนตัวเห็นว่า ทุกศาสนา ถ้าเอาแก่นจริงๆ มาคุยกัน ทั้งความรัก สันติ และ การปล่อยวาง มาเป็นเรื่องสำคัญ ปัญหาความขัดแย้งทางศาสนา ไม่น่าจะเกิด แบบที่เห็นทุกวันนี้