อยากลาออก ขับรถตู้รับส่งนักเรียน มันเสี่ยงมากไหมคะ

ไม่เคยเข้าห้องนี้มาก่อนค่ะ  มีเรื่องรบกวนอยากขอความรู้ ความคิดเห็นจากทุกท่าน  คือตอนนี้เราทำงานอยู่เป็นซัพคอนแทค ณ บริษัทแห่งหนึ่ง ในต่างจังหวัด  งานไม่มีความมั่นคง ไม่มีอนาคต หักค่าน้ำมันและค่าอยู่เย็น (เวลาไปรับลูกที่โรงเรียนช้า) เหลือเงินเดือนประมาณ 6 พันกว่าบาท แต่ที่ยังทนทำอยู่เพราะหยุดเสาร์ - อาทิตย์ และเพื่อนร่วมงานดี ใกล้บ้าน งานก็ไม่หนักเท่าไร  ทำแล้วสบายใจ  

     แต่จุดเปลี่ยนอยู่ตรงที่ เมื่อคุณครูที่รับส่งลูกเรา เขาจะเลิกวิ่งแล้ว และลูกเราต้องไปนั่งรถตู้โรงเรียน ซึ่งเคยมีเด็กนั่งแล้วไม่โอเค คือเด็กค่อนข้างเป็นคนช่างพูด  คนขับรถแกเลยเอาสก็อตเทปใสปิดปากเด็ก  บางครั้งผู้ปกครองท่านอื่นก็บอกว่าได้กลิ่นแอลกอฮอลล์  และอีกอย่างคือรถมารับค่อนข้างเช้ามากก  ซึ่งสาเหตุที่ทำให้คุณครูท่านนี้เลิกวิ่งก็เพราะว่า หน้าที่การงานที่เจริญขี้น  ทำให้ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ แล้วลูกชายคุณครูก็เริ่มโตที่จะดูแลตัวเองแล้ว
     เรากับสามีเลยตัดสินใจ จะขับเอง ด้วยเหตุผล ที่ว่า
     1. เป็นห่วงลูก มีเวลาดูแลลูก (ลูกคนเล็กก็จะเข้า ป. 1 เทอมหน้า)
     2. รายได้ที่ดีกว่า
     3. เวลาที่เหลือ เราสามารถไปหารายได้พิเศษ ขายของ ขายกาแฟ หรือดูแลบ้าน
     4. ถึงแม้จะเป็นงานที่ไม่มั่นคง  แต่งานที่เราทำอยู่ก็ไม่ได้มีความมั่นคงเหมือนกัน สู้ออกมาดูแลลูกดีกว่าไหม

     พูดถึงเรื่องรายได้ ตอนนี้เราเช็คมีเด็กที่ตกลงจะขึ้นรถนักเรียนเหมือนเดิม ทั้งหมด 8 คน (ไม่รวมลูกเรา) หัวละ 1,650 บาม/เดือนมีบางราย 1,700 รายได้ทั้งหมด 13,000 หักค่าใช้จ่ายกับค่างวดรถแล้ว เราแทบไม่เหลืออะไรเลย  แต่ในเทอมหน้าคาดว่าจะมีเด็กเพิ่ม 2-3 คน จากที่ได้คุยกับผู้ปกครองท่านหนึ่งที่สนใจ ซึ่งเราก็เคยคุยเรื่องนี้กับคุณครู  เขาบอกว่าอันที่จริงมีคนติดต่ออยากขึ้นรถหลายรายมาก  แต่ความที่คุณครูต้องรีบเข้าทำงานเลยไม่อยากรับเด็กเพิ่ม
    

     แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าพอเราจะทำขึ้นมาจริง ๆ พ่อแม่ที่ตอนแรกก็ไม่คัดค้านอะไร แต่ตอนหลังไม่อยากให้ทำ บอกเสี่ยงต้องรับผิดชอบเยอะ ถ้าเราเกิดอุบัติเหตุขึ้นมากจะทำยังไง  พ่อแม่เขาไม่ฟ้องเราแย่เลยเหรอ โดนคดีขึ้นมารับผิดชอบไม่ไหวหมดอนาคตเลยนะ

     เจ้านายที่ทำงานด้วย (ไม่ใช่นายที่จ่ายเงินเดือน  คือต้นสังกัดส่งเราไปช่วยงาน ประสานงานกับหน่วยงานราชการกับบริษัทของเรา) เราจึงมีนาย 2 คน  เขาบอกไม่เห็นด้วย  ออกจะตลกเราด้วยซ้ำ ว่าคิดยังไงไปขับรถตู้  เธอรับผิดชอบชีวิตคนอื่นได้เหรอ  อย่างเธอเหมาะกับงาน admin ดีแล้ว  หรือถ้าจะออกไปค้าขายจะเหมาะกว่า  ถ้างานรถตู้ไปไม่รอดจะทำไง  ถ้าเธอทำได้จริงเดี๋ยวฉันจะเช่ารถตู้เธอเลย เธอต้องขายบ้านไปซื้ออาคารพาณิชย์ ต้องทำอย่างงั้นอย่างงี้ บลาๆ (โถ ถ้าหนูมีเงินคงทำแบบนั้นไปนานแล้ว)

     เราคิดนะคะว่างานขับรถมันไม่แนนอน คิดเหมือนกันว่าอยากทำค้าขาย ก็อยากเก็บเงินสักพักนึงก่อน ตอนนี้ก็เริ่มเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วค่อยหาทางขยับขยายอีกที  ส่วนเรื่องความเสี่ยงเราก็ไม่ค่อยรู้อะไรมาก  เราก็ต้องใจไปทำใบขับขี่ใหม่ สำหรับขับรถสาธารณะโดยเฉพาะน่ะ เขาเีรียกอะไรไม่แน่ใจ  แล้วก็ตั้งใจจะทำประกันที่แบบคุ้มครองครอบคลุม  เรื่องประสบการณ์การขับรถเราว่าเราก็โอเค เราขับรถมา 10 กว่าปีแล้ว ขนาดคุณครูขับเป็นแค่ปีเดียว  แล้วก็มาขับรถตู้เลย เขายังทำได้แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้

     ตามความคิดเราถ้ามัวกลัวโดนฟ้อง  กลัวอุบัตเหตุ ก็คงไม่มีใครขับรถกันล่ะ  มันขนาดนั้นเลยเหรอ อุบัติเหตุเป็นเรื่องไม่คาดคิด  แต่ถ้าเราขับด้วยความไม่ประมาท  ถ้าเราเซฟทุกอย่างแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองเขายังจะมาฟ้องเราอีกเหรอ  แล้วอุบัติเหตุที่มันเกิดกับรถสาธารณะทุกวัน ๆ เขาโดนฟ้องกันหมดเลยเหรอ    ทั้ง ๆ ที่คุณครูที่ขับรถตู้คนเก่า เขาก็ไม่ได้เอาไปจดทะเบียนอะไร  คือวิ่งเฉย ๆ เขาก็ยังขับมาได้ตั้งหลายปี  แต่เราตั้งใจจะทำทุกอย่างให้มันถูกต้องแล้ว  มันเป็นอาชีพที่น่ากลัวอย่างที่เขาว่ากันขนาดนั้นเลยเหรอ

ขอความคิดเห็นจากทุก ๆ ท่านที่มีประสบการณ์ด้วยค่ะ  เรากำลังคิดหนักเลย เพราะไม่รู้ว่ามาถูกทางหรือเปล่า  แต่ความตั้งใจก็คือเราแค่อยากดูแลลูก ๆ เรา อยากมีเวลาให้ลูก  แต่จะเป็นแม่บ้านเฉย ๆ รับส่งลูกอย่างเดียว เราก็ไม่ไหว อยากมีรายได้ช่วยเหลือครอบครัวบ้าง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่