เมื่อได้เห็น "คนเสียสติ" เข้ามาร่ำร้อง "ฟูมฟาย" อย่าง "บ้าคลั่ง" อยู่ใน กระทู้ ท่านพระสารีบุตร เอาปัจจัยต่างๆ มาจากไหน
ก็ได้แต่นึกสมเพชเวทนา ในความอาภัพทางภูมิปัญญา ของสัตว์โลกผู้นั้น !
ที่จริงแล้ว ข้อความของผมในกระทู้ดังกล่าว ก็เพียงแต่เป็นการเสนอ "แย้ง" การแสดงกระบวนการคิด ที่ไม่ถูกต้อง
และ ไม่สมเหตุผล ของ นายคันโตนาซี จากกระทู้ สมมุติว่าอภิธรรมไม่ใช่คำสอนโดยตรงฯ .......... เท่านั้นเอง
ดังนั้น ถ้าหาก คันโตนาซี ยังเชื่อมั่นว่า แนวทางการพิจารณา หรือ วิธีคิด หรือ ตรรกะ ของตน มีความถูกต้อง
ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะ อภิปราย "โต้แย้ง" หรือ นำเสนอ "หลักฐาน" สนับสนุนแนวคิดของตน ให้มากไปกว่า
การเข้ามา "ฟูมฟาย" ร่ำร้อง "เค้นคอ" ทวงถามผู้คนไปทั่วว่า ........ "ท่านพระสารีบุตรเอาปัจจัยต่างๆ ในปฏิสัมภิทามรรคมาจากไหน ?"
ที่น่าขำปนสมเพช ก็คือ พอไม่มีใครสนใจจะตอบคำถาม(แก้เกี้ยว)ของมัน จะด้วยความเสียจริต หรือ อาการทางประสาทกำเริบ ก็มิทราบได้
ไอ้หมอนี่ กลับพยายามจะกล่าวสรุปเอาเองดื้อๆ ในทำนองว่า
การที่ผู้อื่นไม่สามารถตอบคำถามโง่ๆ ของมันได้ ก็เท่ากับ เป็นความผิดของผู้อื่น !
เข้าใจว่า ................ มันคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
*******************************************************************************************************
หากท่านทั้งหลาย พิจารณา ข้อความ ของ นายคันโตนาซี อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ จะพบว่า
(๑) การที่ คันโตนาซี ตั้งคำถามว่า "ท่านพระสารีบุตร เอาปัจจัยต่างๆ มาจากไหน" แท้ที่จริงแล้ว นี่มิใช่คำถาม
แต่มันเป็นการตั้งสมมุติฐานของคันโตนาซีว่า ท่านพระสารีบุตร เอาปัจจัยต่างๆ มาจาก พระอภิธรรมปิฎก(แน่ๆ)
(๒) คันโตนาซี ยังตั้งสมมุติฐาน ต่อไปอีกว่า ในเมื่อท่านพระสารีบุตร เอาปัจจัยต่างๆ มาจาก พระอภิธรรมปิฎก
นั่นย่อมหมายความว่า อภิธรรมปิฎก เป็นพุทธพจน์โดยตรง เพราะถ้าหากไม่ใช่ ก็จะกลายเป็นว่า ท่านพระสารีบุตร บัญญัติธรรมใหม่ขึ้นเอง !
ในอันที่จริงแล้ว คันโตนาซี มีความเชื่อใน "อัตตโนมัติ" ของมันเองว่า ข้อความข้างต้นทั้ง ๒ ข้อ เป็น "ข้อเท็จจริง" นะครับ
แต่ถ้าหาก ท่านทั้งหลาย พิจารณาข้อความทั้ง ๒ นั้นแล้ว จะเห็นได้ว่า
นั่นมิใช่ "ข้อเท็จจริง" แต่กลับเป็นเพียงแค่ "สมมุติฐาน" บ้องตื้น เท่านั้น
กรณีที่ ๑
การที่คันโตนาซีอ้างว่า ท่านพระสารีบุตร เอาปัจจัยต่างๆ มาจาก พระอภิธรรมปิฎก นั่นเป็นเพียงแค่ การคิดไปเอง(รึเปล่า?)
เพราะการที่พบว่า ข้อความ หรือ คำศัพท์ จาก ปฏิสัมภิทามรรค กับ อภิธรรมปิฎก ตรงกัน มันย่อมมีความเป็นไปได้ ๒ กรณี คือ
(๑) ปฏิสัมภิทามรรค นำ ข้อความ หรือ คำศัพท์ ดังกล่าวมาจาก อภิธรรมปิฎก หรือ
(๒) อภิธรรมปิฎก นำ ข้อความ หรือ คำศัพท์ ดังกล่าวมาจาก ปฏิสัมภิทามรรค
คำถาม ก็คือ คันโตนาซี มี "หลักฐาน" หรือ "ข้อมูล" อะไร จึงได้ข้อสรุปในแบบที่ ๑ โดยปฏิเสธความเป็นไปได้ในข้อที่ ๒
เพราะถ้า คันโตนาซี ไม่สามารถอธิบายข้อสงสัยนี้ได้ นั่นย่อมหมายความว่า สมมุติฐานของคันโตนาซี ใช้การไม่ได้ นะครับ
กรณีที่ ๒
การที่ คันโตนาซี ตั้งสมมุติฐานโง่ๆ ขึ้นมาว่า ถ้าไม่ยอมรับว่า อภิธรรมปิฎก เป็นพุทธพจน์โดยตรง
ก็จะกลายเป็นว่า ท่านพระสารีบุตร บัญญัติธรรมใหม่ขึ้นเอง ก็ถือว่า ไร้เหตุผล และ ไร้สาระมากๆ
ทั้งนี้ ก็เพราะ จากหลักฐานที่ คันโตนาซี ยกขึ้นมาแสดงนั้น หาใช่ "การบัญญัติธรรม" ขึ้นมาใหม่
แต่กรณีนี้ เรียกว่า "การบัญญัติศัพท์" ขึ้นมาใหม่ ต่างหาก
ส่วนการบัญญัติธรรมขึ้นมาใหม่ นั้นต้องหมายถึง การบัญญัติ "คำสอน" ที่ แตกต่าง หรือ คัดค้าน กับแนวคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า
เช่น พระพุทธเจ้าสอน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ใครบางคนกลับกล่าวสอน
เรื่อง นิจจัง สุขขัง อัตตา กรณีอย่างนี้ เรียกว่า การบัญญัติธรรมใหม่
หรืออย่างเช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปฏิจจสมุปบาทของพระองค์ ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไปเวียนเกิดเวียนตาย อยู่ในนั้น
แต่ใครบางคน ดันทะลึ่งไปเผยแพร่คำสอนว่า มี สัตว์ บุคคล ฯลฯ เวียนว่ายตายเกิด ข้ามภพข้ามชาติ อยู่ในปฏิจจสมุปบาท
กรณีอย่างนี้ ย่อมสามารถเรียกว่า การบัญญัติธรรมใหม่ ได้อย่างมิต้องสงสัย !
ส่วนกรณี ปัจจัย ๒๔ ของท่านพระสารีบุตร นั้นเป็นเพียงแค่ การบัญญัติ คำศัพท์ใหม่ ขึ้นมา เพื่อใช้อธิบายพระธรรมคำสอน เท่านั้นเอง
ก็เหมือนกับ พระเถระในชั้นหลัง เช่นอรรถกถาจารย์ ที่มีความนิยมในการ บัญญัติคำศัพท์ใหม่ๆ ขึ้นใช้กันอย่าง ดกดื่น ตัวอย่างเช่น
จากคำอธิบายของ ท่านปยุตโต ย่อมมีความชัดเจนอย่างมากว่า "กัมมัสสกตาทิฐิ" เป็นคำศัพท์ที่พึ่งมีในชั้นอรรถกถา
ไม่ได้อยู่ในรูปพุทธพจน์ ในพระสูตร และ พระวินัย ไม่เคยมีคำๆ นี้ โดยท่านปยุตโต ระบุว่า มีแต่เพียงคำว่า "กัมมัสสกตา" เท่านั้น
ส่วนใน ขุททกนิกาย และ อภิธรรม ก็มีคำว่า "กัมมัสสกตาญาณ" ดังนั้น ในกรณี ขุททกนิกาย และ อภิธรรม ยกไว้
แต่ขอให้พิจารณาเฉพาะ กรณี ที่อรรถกถาจารย์บัญญัติคำว่า "กัมมัสสกตาทิฐิ" ขึ้นมาใช้ ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้ามิได้เคยตรัสคำๆ นี้
เอาไว้ ณ ที่ใดเลย สมควรกล่าวว่า อรรถกถาจารย์ บัญญัติธรรมใหม่ ขึ้นมาหรือไม่ ?
ถ้าบรรดาสาวกเม็ดมะขาม ตอบว่า ไม่ใช่ เช่นนั้นแล้ว กรณีท่านพระสารีบุตร กับ ปัจจัย ๒๔ ก็ต้องไม่ใช่ เช่นกัน
แต่ถ้าบรรดาสาวกเม็ดมะขาม ตอบว่า ใช่
คำถาม ก็คือ เช่นนั้นแล้ว การที่พวกแก พยายามปกป้อง คัมภีร์อรรถกถา ด้วยการ ตำหนิ ติเตียน ด่าทอ ทั้งคนทั้งพระ
ที่วิพากษ์วิจารณ์คัมภีร์เล่มนี้(ตามหลักวิชา) ก็เท่ากับ พวกแก กำลังทำการปกป้อง อัญเดียรถีย์ ผู้บัญญัติธรรมใหม่ น่ะสิ
หรือมิใช่ ?
ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลาย เข้าใจตามความเป็นจริงด้วยว่า นี่เป็นเพียงแค่ การนำเสนอ ตัวอย่าง เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น นะครับ
กล่าวโดยสรุป ก็คือ การตั้งสมมุติฐานของ คันโตนาซี โดยที่เจ้าตัวเข้าใจ(ผิด)ว่า สมมุติฐาน หรือ ข้อสันนิษฐาน
เป็น "ข้อเท็จจริง" นั้น แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นเพียงแค่ "อัตตโนมัติ" โง่ๆ ของมัน เท่านั้นเอง !
ขออนุญาต อธิบายซ้ำอีกครั้งว่า ความผิดพลาดของ คันโตนาซี ก็คือ การนำ "ข้อสันนิษฐาน" หรือ "สมมุติฐาน" มาอ้างใช้เป็น "ข้อเท็จจริง"
และเมื่อ ตรรกะ เหตุผล มิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ "ข้อเท็จจริง" ผลลัพท์ที่ได้ ก็ย่อมมิอาจเป็น "ความจริง" ไปได้เลยเช่นกัน
ดังนั้น เหตุผลที่ คันโตนาซี คิดว่า ดีเลิศ มันจึงเป็นแค่เพียง เหตุผลโง่ๆ ของคนที่ขลาดเขลาเบาปัญญา
ตรรกะ ที่พยายาม อวดโอ้ จึงเป็นได้แค่เพียง ตรรกะเทียม(เท็จ) หรือ ตรรกะ(บือ) ที่มิได้มีราคาค่างวดอะไรเลย แม้แต่น้อย
หวังว่า ท่านทั้งหลาย จะเข้าใจอย่างชัดแจ้งดีแล้ว นะครับ
อรรถกถาจารย์ กล่าวว่า สุตตะ หมายถึง ............... ?
ก็ได้แต่นึกสมเพชเวทนา ในความอาภัพทางภูมิปัญญา ของสัตว์โลกผู้นั้น !
ที่จริงแล้ว ข้อความของผมในกระทู้ดังกล่าว ก็เพียงแต่เป็นการเสนอ "แย้ง" การแสดงกระบวนการคิด ที่ไม่ถูกต้อง
และ ไม่สมเหตุผล ของ นายคันโตนาซี จากกระทู้ สมมุติว่าอภิธรรมไม่ใช่คำสอนโดยตรงฯ .......... เท่านั้นเอง
ดังนั้น ถ้าหาก คันโตนาซี ยังเชื่อมั่นว่า แนวทางการพิจารณา หรือ วิธีคิด หรือ ตรรกะ ของตน มีความถูกต้อง
ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะ อภิปราย "โต้แย้ง" หรือ นำเสนอ "หลักฐาน" สนับสนุนแนวคิดของตน ให้มากไปกว่า
การเข้ามา "ฟูมฟาย" ร่ำร้อง "เค้นคอ" ทวงถามผู้คนไปทั่วว่า ........ "ท่านพระสารีบุตรเอาปัจจัยต่างๆ ในปฏิสัมภิทามรรคมาจากไหน ?"
ที่น่าขำปนสมเพช ก็คือ พอไม่มีใครสนใจจะตอบคำถาม(แก้เกี้ยว)ของมัน จะด้วยความเสียจริต หรือ อาการทางประสาทกำเริบ ก็มิทราบได้
ไอ้หมอนี่ กลับพยายามจะกล่าวสรุปเอาเองดื้อๆ ในทำนองว่า
การที่ผู้อื่นไม่สามารถตอบคำถามโง่ๆ ของมันได้ ก็เท่ากับ เป็นความผิดของผู้อื่น !
เข้าใจว่า ................ มันคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
*******************************************************************************************************
หากท่านทั้งหลาย พิจารณา ข้อความ ของ นายคันโตนาซี อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ จะพบว่า
(๑) การที่ คันโตนาซี ตั้งคำถามว่า "ท่านพระสารีบุตร เอาปัจจัยต่างๆ มาจากไหน" แท้ที่จริงแล้ว นี่มิใช่คำถาม
แต่มันเป็นการตั้งสมมุติฐานของคันโตนาซีว่า ท่านพระสารีบุตร เอาปัจจัยต่างๆ มาจาก พระอภิธรรมปิฎก(แน่ๆ)
(๒) คันโตนาซี ยังตั้งสมมุติฐาน ต่อไปอีกว่า ในเมื่อท่านพระสารีบุตร เอาปัจจัยต่างๆ มาจาก พระอภิธรรมปิฎก
นั่นย่อมหมายความว่า อภิธรรมปิฎก เป็นพุทธพจน์โดยตรง เพราะถ้าหากไม่ใช่ ก็จะกลายเป็นว่า ท่านพระสารีบุตร บัญญัติธรรมใหม่ขึ้นเอง !
ในอันที่จริงแล้ว คันโตนาซี มีความเชื่อใน "อัตตโนมัติ" ของมันเองว่า ข้อความข้างต้นทั้ง ๒ ข้อ เป็น "ข้อเท็จจริง" นะครับ
แต่ถ้าหาก ท่านทั้งหลาย พิจารณาข้อความทั้ง ๒ นั้นแล้ว จะเห็นได้ว่า
นั่นมิใช่ "ข้อเท็จจริง" แต่กลับเป็นเพียงแค่ "สมมุติฐาน" บ้องตื้น เท่านั้น
กรณีที่ ๑
การที่คันโตนาซีอ้างว่า ท่านพระสารีบุตร เอาปัจจัยต่างๆ มาจาก พระอภิธรรมปิฎก นั่นเป็นเพียงแค่ การคิดไปเอง(รึเปล่า?)
เพราะการที่พบว่า ข้อความ หรือ คำศัพท์ จาก ปฏิสัมภิทามรรค กับ อภิธรรมปิฎก ตรงกัน มันย่อมมีความเป็นไปได้ ๒ กรณี คือ
(๑) ปฏิสัมภิทามรรค นำ ข้อความ หรือ คำศัพท์ ดังกล่าวมาจาก อภิธรรมปิฎก หรือ
(๒) อภิธรรมปิฎก นำ ข้อความ หรือ คำศัพท์ ดังกล่าวมาจาก ปฏิสัมภิทามรรค
คำถาม ก็คือ คันโตนาซี มี "หลักฐาน" หรือ "ข้อมูล" อะไร จึงได้ข้อสรุปในแบบที่ ๑ โดยปฏิเสธความเป็นไปได้ในข้อที่ ๒
เพราะถ้า คันโตนาซี ไม่สามารถอธิบายข้อสงสัยนี้ได้ นั่นย่อมหมายความว่า สมมุติฐานของคันโตนาซี ใช้การไม่ได้ นะครับ
กรณีที่ ๒
การที่ คันโตนาซี ตั้งสมมุติฐานโง่ๆ ขึ้นมาว่า ถ้าไม่ยอมรับว่า อภิธรรมปิฎก เป็นพุทธพจน์โดยตรง
ก็จะกลายเป็นว่า ท่านพระสารีบุตร บัญญัติธรรมใหม่ขึ้นเอง ก็ถือว่า ไร้เหตุผล และ ไร้สาระมากๆ
ทั้งนี้ ก็เพราะ จากหลักฐานที่ คันโตนาซี ยกขึ้นมาแสดงนั้น หาใช่ "การบัญญัติธรรม" ขึ้นมาใหม่
แต่กรณีนี้ เรียกว่า "การบัญญัติศัพท์" ขึ้นมาใหม่ ต่างหาก
ส่วนการบัญญัติธรรมขึ้นมาใหม่ นั้นต้องหมายถึง การบัญญัติ "คำสอน" ที่ แตกต่าง หรือ คัดค้าน กับแนวคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า
เช่น พระพุทธเจ้าสอน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ใครบางคนกลับกล่าวสอน
เรื่อง นิจจัง สุขขัง อัตตา กรณีอย่างนี้ เรียกว่า การบัญญัติธรรมใหม่
หรืออย่างเช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปฏิจจสมุปบาทของพระองค์ ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไปเวียนเกิดเวียนตาย อยู่ในนั้น
แต่ใครบางคน ดันทะลึ่งไปเผยแพร่คำสอนว่า มี สัตว์ บุคคล ฯลฯ เวียนว่ายตายเกิด ข้ามภพข้ามชาติ อยู่ในปฏิจจสมุปบาท
กรณีอย่างนี้ ย่อมสามารถเรียกว่า การบัญญัติธรรมใหม่ ได้อย่างมิต้องสงสัย !
ส่วนกรณี ปัจจัย ๒๔ ของท่านพระสารีบุตร นั้นเป็นเพียงแค่ การบัญญัติ คำศัพท์ใหม่ ขึ้นมา เพื่อใช้อธิบายพระธรรมคำสอน เท่านั้นเอง
ก็เหมือนกับ พระเถระในชั้นหลัง เช่นอรรถกถาจารย์ ที่มีความนิยมในการ บัญญัติคำศัพท์ใหม่ๆ ขึ้นใช้กันอย่าง ดกดื่น ตัวอย่างเช่น
จากคำอธิบายของ ท่านปยุตโต ย่อมมีความชัดเจนอย่างมากว่า "กัมมัสสกตาทิฐิ" เป็นคำศัพท์ที่พึ่งมีในชั้นอรรถกถา
ไม่ได้อยู่ในรูปพุทธพจน์ ในพระสูตร และ พระวินัย ไม่เคยมีคำๆ นี้ โดยท่านปยุตโต ระบุว่า มีแต่เพียงคำว่า "กัมมัสสกตา" เท่านั้น
ส่วนใน ขุททกนิกาย และ อภิธรรม ก็มีคำว่า "กัมมัสสกตาญาณ" ดังนั้น ในกรณี ขุททกนิกาย และ อภิธรรม ยกไว้
แต่ขอให้พิจารณาเฉพาะ กรณี ที่อรรถกถาจารย์บัญญัติคำว่า "กัมมัสสกตาทิฐิ" ขึ้นมาใช้ ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้ามิได้เคยตรัสคำๆ นี้
เอาไว้ ณ ที่ใดเลย สมควรกล่าวว่า อรรถกถาจารย์ บัญญัติธรรมใหม่ ขึ้นมาหรือไม่ ?
ถ้าบรรดาสาวกเม็ดมะขาม ตอบว่า ไม่ใช่ เช่นนั้นแล้ว กรณีท่านพระสารีบุตร กับ ปัจจัย ๒๔ ก็ต้องไม่ใช่ เช่นกัน
แต่ถ้าบรรดาสาวกเม็ดมะขาม ตอบว่า ใช่
คำถาม ก็คือ เช่นนั้นแล้ว การที่พวกแก พยายามปกป้อง คัมภีร์อรรถกถา ด้วยการ ตำหนิ ติเตียน ด่าทอ ทั้งคนทั้งพระ
ที่วิพากษ์วิจารณ์คัมภีร์เล่มนี้(ตามหลักวิชา) ก็เท่ากับ พวกแก กำลังทำการปกป้อง อัญเดียรถีย์ ผู้บัญญัติธรรมใหม่ น่ะสิ
หรือมิใช่ ?
ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลาย เข้าใจตามความเป็นจริงด้วยว่า นี่เป็นเพียงแค่ การนำเสนอ ตัวอย่าง เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น นะครับ
กล่าวโดยสรุป ก็คือ การตั้งสมมุติฐานของ คันโตนาซี โดยที่เจ้าตัวเข้าใจ(ผิด)ว่า สมมุติฐาน หรือ ข้อสันนิษฐาน
เป็น "ข้อเท็จจริง" นั้น แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นเพียงแค่ "อัตตโนมัติ" โง่ๆ ของมัน เท่านั้นเอง !
ขออนุญาต อธิบายซ้ำอีกครั้งว่า ความผิดพลาดของ คันโตนาซี ก็คือ การนำ "ข้อสันนิษฐาน" หรือ "สมมุติฐาน" มาอ้างใช้เป็น "ข้อเท็จจริง"
และเมื่อ ตรรกะ เหตุผล มิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ "ข้อเท็จจริง" ผลลัพท์ที่ได้ ก็ย่อมมิอาจเป็น "ความจริง" ไปได้เลยเช่นกัน
ดังนั้น เหตุผลที่ คันโตนาซี คิดว่า ดีเลิศ มันจึงเป็นแค่เพียง เหตุผลโง่ๆ ของคนที่ขลาดเขลาเบาปัญญา
ตรรกะ ที่พยายาม อวดโอ้ จึงเป็นได้แค่เพียง ตรรกะเทียม(เท็จ) หรือ ตรรกะ(บือ) ที่มิได้มีราคาค่างวดอะไรเลย แม้แต่น้อย
หวังว่า ท่านทั้งหลาย จะเข้าใจอย่างชัดแจ้งดีแล้ว นะครับ