เหย้าบาหยัน >>บทที่ ๖ >> ศพสะอื้น

กระทู้สนทนา
เปิดกล่องย้อนอดีค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

คู่มือการอ่าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บทที่ ๖
ศพสะอื้น




             วามเคลือบแคลงที่คลุมเครือคาใจ  ทำให้แก้วยังคงกำที่จับประตูไว้แน่นไม่กล้าออกนอกรถ  และมองดูวิญญาณหนุ่มด้วยความกังวลระคนกลัว  เริ่มลังเลหวาดหวั่นที่จะตัดสินใจว่าจะเชื่ออะไรดี ระหว่างหลักฐานในมือ หรือคำให้การของวิญญาณแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันได้ไม่กี่ครั้ง   เพราะรูปภาพของขุนขจรบรรพบุรุษของท่านไมค์ มันไม่ตรงกันกับรูปร่างหน้าตาของขุนขจรที่ยืนรออยู่นอกรถตอนนี้เลยสักนิด  

             ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น  ก็มีแสงไฟสองดวงใหญ่จากรถอีกคันสาดเข้ามาทางด้านหลัง  ทิศทางที่รถกำลังแล่นเข้ามา เหมือนจะพุ่งตรงมาหาเธอด้วยความเร็ว   แก้วเลยตัดสินใจรีบออกมาจากรถแท็กซี่ทันที ก่อนที่จะโดนรถปริศนามาปะทะชนให้รถที่นั่งอยู่ไถลลื่นตกลงน้ำไป  

             “ ไปกันเถิดแม่แก้ว เวลาจวนหมดแล้ว  ตามฉันมาให้เร็วเข้า ”  
             ขุนขจรรีบกวักมือเรียกหญิงสาวให้ตามตนไปในอีกทิศทางหนึ่ง  ซึ่งแก้วก็ไม่รอช้าที่จะรีบเดินตามไปโดยไร้ความกังวล  ตอนนี้เธอกลัวรถปริศนามากกว่า  เพราะมันอาจเป็นรถผีที่อำแดงดวงแฝงมาอีกครั้ง  อนึ่งถ้ารถดังกล่าวเป็นรถคนทั่วไป เธอก็ไม่อยากตอบคำถามหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ทำให้โชเฟอร์แท็กซี่สลบและจอดรถคาขอบแม่น้ำแบบนั้น

              ‘ ปี๊นปิ๊น!  ปิ๊นปิ๊น!  ปิ๊นปิ๊น! ปิ๊นปิ๊น!’  เสียงบีบแตรรถดังถี่ติดต่อกันและประชิดเข้ามาเรื่อยๆ  

              วิญญาณหนุ่มและหญิงสาวรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินหลบหนีไปในมุมมืดทางเดินด้านข้างอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ทันที่จะหลุดรอดแสงไฟจากรถปริศนาสาดแสงส่องหาจนเจอ  

              “ แก้ว! แก้ว!  แก้ว! แก้วแกจะไปไหน! หยุดก่อน  ” คนขับรถปริศนาตะโกนลั่นเรียกชื่อหญิงสาว  น้ำเสียงอันคุ้นเคยกับคำสรรพนามที่ใช้เรียกกันแบบสนิท ทำให้หยุดวิ่งและหันหลังกลับไปดู

              รถชะลอแล่นช้าลง และค่อยๆไปเทียบจอดริมฟุตบาทใกล้ๆกับบริเวณที่แก้วยืนอยู่  คนขับรีบออกมาจากรถทันที  พอเดินก้าวเข้ามาในวงแสงไฟหน้ารถ  จึงทำให้เห็นชัดขึ้นว่าชายคนนั้นคือมนตรี

              “ แก้ว! แกจะไปไหน! ”

              “ มนตรี! ”
              หญิงสาวเรียกชื่อเพื่อนสั้นๆคำเดียวแต่เต็มไปด้วยเสียงสั่นเครือระคนความดีใจที่ได้เจอเพื่อน

              เมื่อเห็นแก้วทำท่ากำลังจะร้องไห้  มนตรีจึงเข้ามากอดพร้อมเอามือลูบหัวเพื่อเป็นการปลอบใจ
              “ แกไม่เป็นอะไรใช่ไหม  ฉันเป็นห่วงแกมากรู้ไหม ”

              “ ฉันโอเค ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ”  
              หญิงสาวผละตัวเองออกจากอ้อมกอดของมนตรี  เพราะรู้สึกไม่คุ้นชินกับการปลอบโยนแบบนี้จากเพื่อนหนุ่ม    “ มนตรี แล้วแกตามฉันมาได้ยังไงเนี่ย ”

             “ ก็ฉันคลาดกับแกนิดเดียวตอนที่แกขึ้นรถแท็กซี่ไปน่ะสิ  ถ้าไม่ติดไฟแดงคงตามทันติดๆแล้วล่ะ ”

             “ แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าฉันตกอยู่ในอันตราย ”

             “ ตอนขับตามไป ฉันเห็นทะเบียนรถของแท็กซี่น่ะสิ ทางตำรวจท้องที่กำลังประกาศจับ เพราะว่าเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว คนขับเมากัญชาแล้ววิ่งไปชนคนทั่วถนน แกก็ซวยจริง ดันไปเจอไอ้แท็กซี่ขี้ยาเข้า ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าออกไปไหนวันนี้ ”

              “ เออฉันผิดเองแหละ ขอบใจนะที่ตามมาช่วยฉัน ”

              “ แล้วแกจะเรียกรถแท็กซี่ไปไหนดึกๆดื่นๆแบบนี้ ”

              “ คือฉันจะเรียกไป..ไป....เอ่อ...”  หญิงสาวอีกอักไม่กล้าบอก พลางมองขจรที่ยังคงยืนรออยู่ที่ข้างทาง  

              “ แกไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วล่ะ  อันนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกแก ”

              “ เรื่องอะไร  แล้วแท็กซี่นั่นจะทำยังไง ” หญิงสาวมองไปที่ทางที่เธอวิ่งจากมา ซึ่งยังคงเห็นแท็กซี่จอดค้างอยู่ริมขอบแม่น้ำ

              “ แท็กซี่นั่นเดี๋ยวฉันให้คนของฉันจัดการเอง แต่ตอนนี้เรื่องแกสำคัญกว่า... เอ่อคือว่า... ”

              “ คืออะไร  มีอะไรมนตรี ทำไมต้องอีกๆอักๆด้วย ”

              “ พ่อแกโทรหาฉัน เพราะติดต่อแกไม่ได้ แกไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดมาด้วยใช่ไหม ”

              “ ใช่ โทรศัพท์ฉันแบทหมด ก็เลยชาร์จไว้ที่โรงแรม แล้วตกลงมีอะไร พ่อฉันโทรหาแกทำไม ”

              “ คือว่า….....เฮ้อ ” มนตรีถอนหายใจหนึ่งครั้ง มองหน้าแก้วด้วยสีหน้าเศร้าสลด และจับมือเพื่อนไว้แน่น ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป  “ คือว่าพ่อแกโทรมาบอกว่า….ย่าแกเสียแล้วนะ ”

               หญิงสาวตกใจจนพูดไม่ออกได้แต่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ปากสั่นหายใจถี่ ตั้งคำถามหรือนึกคำพูดอะไรต่อไม่ถูก เธอหายใจเข้าหนึ่งครั้งและตั้งสติ   “ ฉันไม่เชื่อ แกอย่ามาตลกนะมนตรี ฉันเพิ่งคุยโทรศัพท์กับย่าเมื่อประมาณสองชั่วโมงที่แล้วเอง ท่านจะเสียไปได้ยังไง แกเล่นมุขนี้ฉันไม่ขำนะมนตรี ”

               “ ฉันพูดจริงๆ ฉันรีบมาตามหาแก ก็เพื่อบอกเรื่องนี้เนี่ยแหละ ฉันเสียใจด้วยนะแก้ว ”

              หญิงสาวเกิดอาการทรงตัวไม่อยู่ และเข่าทรุดลงไปแบบไม่ตั้งตัว  ฝ่ายเพื่อนจึงรีบมาประคองไว้ไม่ให้ล้ม  เมื่อยืนได้ปกติ แก้วจึงถามย้ำอีกทีด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ ย่าฉันเสียแล้วจริงๆเหรอมนตรี ”

               ฝ่ายเพื่อนไม่พูดอะไร ได้แต่พยักหน้าตอบกลับไปแทน และคอยลูบมือประคองสติปลอบใจให้แก้ว

              “ มันจะเป็นไปได้ไง ฉันเพิ่งคุยโทรศัพท์กับท่านเอง  ” หญิงสาวเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น

              “ ใช่แกเพิ่งคุยกับท่าน  พอคุยเสร็จ คุณย่าท่านก็เสีย ”

              “ ท่านเสียได้ยังไง ฉันไม่เชื่อ คุณย่าฉันไม่ได้เป็นโรคหัวใจเฉียบพลันอะไรสักหน่อย  ”

              “ คุณย่าตกบันได หัวฟาดพื้นเสียชีวิต ”

              “ ไม่จริง ย่าฉันจะตกบันไดได้ยังไง ย่าฉันเป็นอัมพาตเดินได้ที่ไหน แกเอาอะไรมาพูดมนตรี ”

              “ ใจเย็นๆก่อนนะ รายละเอียดฉันรู้แค่นี้ มีอะไรแกโทรไปคุยกับพ่อแกเอง แต่ตอนนี้พ่อแกกำลังยุ่งเรื่องศพและติดต่อวัดอยู่  ฉันว่าตอนนี้แกรีบกลับโรงแรมไปเก็บของก่อน  เดี๋ยวฉันจะจองตั๋วเครื่องบินด่วนให้เร็วสุดก็พรุ่งนี้เช้าเลย ”  

              แก้วไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ร้องไห้ฟูมฟายแบบขาดสติ  และรีบขึ้นรถไปทันที  เมื่อหันไปมองกระจกข้างของรถ เธอไม่นึกว่าร่างของขุนขจรจะสามารถเป็นเงาสะท้อนในกระจกให้เห็นได้  วิญญาณหนุ่มยังคงยืนรออยู่ริมข้างทาง   เธอจึงเลยรีบเปิดกระจกรถเพื่อที่จะโผล่หัวออกไปบอกกล่าว

              “ เปิดกระจกทำไมน่ะแก้ว ” ฝ่ายเพื่อนถามแทรกขึ้นมาทันที

             “ ฉันเอ่อ..”  

             “ ถ้าร้อนก็เปิดไปเถอะ ”

             “ ใช่ฉันร้อน  และฉันไม่อยากร้องไห้ให้มากกว่านี้แล้วน่ะ  แกมองทางเถอะ ฉันขอมองอะไรต่ออะไรให้ทำใจได้สักพักนะ  ”

             หญิงสาวพยายามเอียงตัวไปด้านข้างเพื่อให้เห็นขุนขจรจากเงากระจกข้างรถได้ถนัด เพราะต้องการจะบอกลาอะไรสักอย่างก่อนไป ก็เลยพูดในใจแทน โดยหวังว่าจะสื่อไปถึงขุนขจรได้

              “ คุณขจรคะ คุณน่าจะได้ยินแล้วว่าย่าแก้วเสีย   ตอนนี้แก้วช่วยหรือพาคุณกลับไทยด้วยไม่ได้จริงๆ  ขอโทษจริงๆนะคะ แล้วแก้วจะกลับมา แก้วสัญญาค่ะ ”

              วิญญาณหนุ่มมองแก้วอย่างละห้อยเศร้าสร้อยผ่านเงาสะท้อนจากกระจกข้างรถ  และพยักหน้าตอบรับเพื่อสื่อสารว่าได้ยินในทุกคำพูดในใจ  

ถึงแม้รถจะเริ่มเคลื่อนตัวไปไกลจนแทบจะมองไม่เห็นร่างวิญญาณหนุ่ม  แต่แก้วก็ได้ยินเสียงลอยลมที่คลอกลิ่นการเวกเข้ามาอยู่ในภวังค์  “  สัญญานะแม่แก้วว่าหล่อนจะกลับมารับฉัน ”

               หญิงสาวหลับตา กำสร้อยไว้แน่นประหนึ่งแทนคำมั่นสัญญา และพูดในใจอย่างหนักแน่น“ แล้วแก้วจะกลับมาค่ะคุณขจร แก้วสัญญา ”

               “ แล้วฉันจะรอหล่อนที่เดิมที่เมืองใต้ดินนะ ”  

               วิญญาณหนุ่มโบกมือลาอย่างช้าๆ  แล้วร่างก็ค่อยๆเลือนลางหายไปตามระยะทางที่รถแล่นห่างออกมา  มีเพียงสายลมอันอ่อนโยนลอยตามมาสัมผัสกระทบที่แก้มแก้วเบาๆ ประหนึ่งกับมือนุ่มๆของใครสักคนที่มาช่วยเช็ดคราบน้ำตาให้แห้งหาย  โดยมีกลิ่นการเวกเบาบางมาช่วยบรรเทาความเศร้าโศกให้เจือจางลงทีละน้อย

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่