เปิดกล่องย้อนอดีค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30381628บทนำ
http://ppantip.com/topic/30445012บทที่๑ เมืองใต้ดินกับกลิ่นการเวก
http://ppantip.com/topic/30456186บทที่๒ หลอกหลอน
http://ppantip.com/topic/30600473บทที่๓ ภูตผีปีศาจ
http://ppantip.com/topic/30913308บทที่๔ ลางสังหาร
http://ppantip.com/topic/30930331บทที่ ๕ สาปสาง
คู่มือการอ่าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โปรดใช้วิจารณาญาณในการอ่าน เพราะข้อความในเนื้อหาอาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสม หรือกล่าวเกินจริง
เด็กอายุต่ำกว่า16ปีควรมีผู้ใหญ่อ่านให้ฟังและให้คำแนะนำ หรือกลับไปอ่านอีสปจะดีกว่า ขอบคุณค่ะ อิอิ
บทที่ ๖
ศพสะอื้น
ความเคลือบแคลงที่คลุมเครือคาใจ ทำให้แก้วยังคงกำที่จับประตูไว้แน่นไม่กล้าออกนอกรถ และมองดูวิญญาณหนุ่มด้วยความกังวลระคนกลัว เริ่มลังเลหวาดหวั่นที่จะตัดสินใจว่าจะเชื่ออะไรดี ระหว่างหลักฐานในมือ หรือคำให้การของวิญญาณแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันได้ไม่กี่ครั้ง เพราะรูปภาพของขุนขจรบรรพบุรุษของท่านไมค์ มันไม่ตรงกันกับรูปร่างหน้าตาของขุนขจรที่ยืนรออยู่นอกรถตอนนี้เลยสักนิด
ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีแสงไฟสองดวงใหญ่จากรถอีกคันสาดเข้ามาทางด้านหลัง ทิศทางที่รถกำลังแล่นเข้ามา เหมือนจะพุ่งตรงมาหาเธอด้วยความเร็ว แก้วเลยตัดสินใจรีบออกมาจากรถแท็กซี่ทันที ก่อนที่จะโดนรถปริศนามาปะทะชนให้รถที่นั่งอยู่ไถลลื่นตกลงน้ำไป
“ ไปกันเถิดแม่แก้ว เวลาจวนหมดแล้ว ตามฉันมาให้เร็วเข้า ”
ขุนขจรรีบกวักมือเรียกหญิงสาวให้ตามตนไปในอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งแก้วก็ไม่รอช้าที่จะรีบเดินตามไปโดยไร้ความกังวล ตอนนี้เธอกลัวรถปริศนามากกว่า เพราะมันอาจเป็นรถผีที่อำแดงดวงแฝงมาอีกครั้ง อนึ่งถ้ารถดังกล่าวเป็นรถคนทั่วไป เธอก็ไม่อยากตอบคำถามหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ทำให้โชเฟอร์แท็กซี่สลบและจอดรถคาขอบแม่น้ำแบบนั้น
‘ ปี๊นปิ๊น! ปิ๊นปิ๊น! ปิ๊นปิ๊น! ปิ๊นปิ๊น!’ เสียงบีบแตรรถดังถี่ติดต่อกันและประชิดเข้ามาเรื่อยๆ
วิญญาณหนุ่มและหญิงสาวรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินหลบหนีไปในมุมมืดทางเดินด้านข้างอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ทันที่จะหลุดรอดแสงไฟจากรถปริศนาสาดแสงส่องหาจนเจอ
“ แก้ว! แก้ว! แก้ว! แก้วแกจะไปไหน! หยุดก่อน ” คนขับรถปริศนาตะโกนลั่นเรียกชื่อหญิงสาว น้ำเสียงอันคุ้นเคยกับคำสรรพนามที่ใช้เรียกกันแบบสนิท ทำให้หยุดวิ่งและหันหลังกลับไปดู
รถชะลอแล่นช้าลง และค่อยๆไปเทียบจอดริมฟุตบาทใกล้ๆกับบริเวณที่แก้วยืนอยู่ คนขับรีบออกมาจากรถทันที พอเดินก้าวเข้ามาในวงแสงไฟหน้ารถ จึงทำให้เห็นชัดขึ้นว่าชายคนนั้นคือมนตรี
“ แก้ว! แกจะไปไหน! ”
“ มนตรี! ”
หญิงสาวเรียกชื่อเพื่อนสั้นๆคำเดียวแต่เต็มไปด้วยเสียงสั่นเครือระคนความดีใจที่ได้เจอเพื่อน
เมื่อเห็นแก้วทำท่ากำลังจะร้องไห้ มนตรีจึงเข้ามากอดพร้อมเอามือลูบหัวเพื่อเป็นการปลอบใจ
“ แกไม่เป็นอะไรใช่ไหม ฉันเป็นห่วงแกมากรู้ไหม ”
“ ฉันโอเค ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ”
หญิงสาวผละตัวเองออกจากอ้อมกอดของมนตรี เพราะรู้สึกไม่คุ้นชินกับการปลอบโยนแบบนี้จากเพื่อนหนุ่ม “ มนตรี แล้วแกตามฉันมาได้ยังไงเนี่ย ”
“ ก็ฉันคลาดกับแกนิดเดียวตอนที่แกขึ้นรถแท็กซี่ไปน่ะสิ ถ้าไม่ติดไฟแดงคงตามทันติดๆแล้วล่ะ ”
“ แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าฉันตกอยู่ในอันตราย ”
“ ตอนขับตามไป ฉันเห็นทะเบียนรถของแท็กซี่น่ะสิ ทางตำรวจท้องที่กำลังประกาศจับ เพราะว่าเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว คนขับเมากัญชาแล้ววิ่งไปชนคนทั่วถนน แกก็ซวยจริง ดันไปเจอไอ้แท็กซี่ขี้ยาเข้า ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าออกไปไหนวันนี้ ”
“ เออฉันผิดเองแหละ ขอบใจนะที่ตามมาช่วยฉัน ”
“ แล้วแกจะเรียกรถแท็กซี่ไปไหนดึกๆดื่นๆแบบนี้ ”
“ คือฉันจะเรียกไป..ไป....เอ่อ...” หญิงสาวอีกอักไม่กล้าบอก พลางมองขจรที่ยังคงยืนรออยู่ที่ข้างทาง
“ แกไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วล่ะ อันนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกแก ”
“ เรื่องอะไร แล้วแท็กซี่นั่นจะทำยังไง ” หญิงสาวมองไปที่ทางที่เธอวิ่งจากมา ซึ่งยังคงเห็นแท็กซี่จอดค้างอยู่ริมขอบแม่น้ำ
“ แท็กซี่นั่นเดี๋ยวฉันให้คนของฉันจัดการเอง แต่ตอนนี้เรื่องแกสำคัญกว่า... เอ่อคือว่า... ”
“ คืออะไร มีอะไรมนตรี ทำไมต้องอีกๆอักๆด้วย ”
“ พ่อแกโทรหาฉัน เพราะติดต่อแกไม่ได้ แกไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดมาด้วยใช่ไหม ”
“ ใช่ โทรศัพท์ฉันแบทหมด ก็เลยชาร์จไว้ที่โรงแรม แล้วตกลงมีอะไร พ่อฉันโทรหาแกทำไม ”
“ คือว่า….....เฮ้อ ” มนตรีถอนหายใจหนึ่งครั้ง มองหน้าแก้วด้วยสีหน้าเศร้าสลด และจับมือเพื่อนไว้แน่น ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “ คือว่าพ่อแกโทรมาบอกว่า….ย่าแกเสียแล้วนะ ”
หญิงสาวตกใจจนพูดไม่ออกได้แต่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ปากสั่นหายใจถี่ ตั้งคำถามหรือนึกคำพูดอะไรต่อไม่ถูก เธอหายใจเข้าหนึ่งครั้งและตั้งสติ “ ฉันไม่เชื่อ แกอย่ามาตลกนะมนตรี ฉันเพิ่งคุยโทรศัพท์กับย่าเมื่อประมาณสองชั่วโมงที่แล้วเอง ท่านจะเสียไปได้ยังไง แกเล่นมุขนี้ฉันไม่ขำนะมนตรี ”
“ ฉันพูดจริงๆ ฉันรีบมาตามหาแก ก็เพื่อบอกเรื่องนี้เนี่ยแหละ ฉันเสียใจด้วยนะแก้ว ”
หญิงสาวเกิดอาการทรงตัวไม่อยู่ และเข่าทรุดลงไปแบบไม่ตั้งตัว ฝ่ายเพื่อนจึงรีบมาประคองไว้ไม่ให้ล้ม เมื่อยืนได้ปกติ แก้วจึงถามย้ำอีกทีด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ ย่าฉันเสียแล้วจริงๆเหรอมนตรี ”
ฝ่ายเพื่อนไม่พูดอะไร ได้แต่พยักหน้าตอบกลับไปแทน และคอยลูบมือประคองสติปลอบใจให้แก้ว
“ มันจะเป็นไปได้ไง ฉันเพิ่งคุยโทรศัพท์กับท่านเอง ” หญิงสาวเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ ใช่แกเพิ่งคุยกับท่าน พอคุยเสร็จ คุณย่าท่านก็เสีย ”
“ ท่านเสียได้ยังไง ฉันไม่เชื่อ คุณย่าฉันไม่ได้เป็นโรคหัวใจเฉียบพลันอะไรสักหน่อย ”
“ คุณย่าตกบันได หัวฟาดพื้นเสียชีวิต ”
“ ไม่จริง ย่าฉันจะตกบันไดได้ยังไง ย่าฉันเป็นอัมพาตเดินได้ที่ไหน แกเอาอะไรมาพูดมนตรี ”
“ ใจเย็นๆก่อนนะ รายละเอียดฉันรู้แค่นี้ มีอะไรแกโทรไปคุยกับพ่อแกเอง แต่ตอนนี้พ่อแกกำลังยุ่งเรื่องศพและติดต่อวัดอยู่ ฉันว่าตอนนี้แกรีบกลับโรงแรมไปเก็บของก่อน เดี๋ยวฉันจะจองตั๋วเครื่องบินด่วนให้เร็วสุดก็พรุ่งนี้เช้าเลย ”
แก้วไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ร้องไห้ฟูมฟายแบบขาดสติ และรีบขึ้นรถไปทันที เมื่อหันไปมองกระจกข้างของรถ เธอไม่นึกว่าร่างของขุนขจรจะสามารถเป็นเงาสะท้อนในกระจกให้เห็นได้ วิญญาณหนุ่มยังคงยืนรออยู่ริมข้างทาง เธอจึงเลยรีบเปิดกระจกรถเพื่อที่จะโผล่หัวออกไปบอกกล่าว
“ เปิดกระจกทำไมน่ะแก้ว ” ฝ่ายเพื่อนถามแทรกขึ้นมาทันที
“ ฉันเอ่อ..”
“ ถ้าร้อนก็เปิดไปเถอะ ”
“ ใช่ฉันร้อน และฉันไม่อยากร้องไห้ให้มากกว่านี้แล้วน่ะ แกมองทางเถอะ ฉันขอมองอะไรต่ออะไรให้ทำใจได้สักพักนะ ”
หญิงสาวพยายามเอียงตัวไปด้านข้างเพื่อให้เห็นขุนขจรจากเงากระจกข้างรถได้ถนัด เพราะต้องการจะบอกลาอะไรสักอย่างก่อนไป ก็เลยพูดในใจแทน โดยหวังว่าจะสื่อไปถึงขุนขจรได้
“ คุณขจรคะ คุณน่าจะได้ยินแล้วว่าย่าแก้วเสีย ตอนนี้แก้วช่วยหรือพาคุณกลับไทยด้วยไม่ได้จริงๆ ขอโทษจริงๆนะคะ แล้วแก้วจะกลับมา แก้วสัญญาค่ะ ”
วิญญาณหนุ่มมองแก้วอย่างละห้อยเศร้าสร้อยผ่านเงาสะท้อนจากกระจกข้างรถ และพยักหน้าตอบรับเพื่อสื่อสารว่าได้ยินในทุกคำพูดในใจ
ถึงแม้รถจะเริ่มเคลื่อนตัวไปไกลจนแทบจะมองไม่เห็นร่างวิญญาณหนุ่ม แต่แก้วก็ได้ยินเสียงลอยลมที่คลอกลิ่นการเวกเข้ามาอยู่ในภวังค์ “ สัญญานะแม่แก้วว่าหล่อนจะกลับมารับฉัน ”
หญิงสาวหลับตา กำสร้อยไว้แน่นประหนึ่งแทนคำมั่นสัญญา และพูดในใจอย่างหนักแน่น“ แล้วแก้วจะกลับมาค่ะคุณขจร แก้วสัญญา ”
“ แล้วฉันจะรอหล่อนที่เดิมที่เมืองใต้ดินนะ ”
วิญญาณหนุ่มโบกมือลาอย่างช้าๆ แล้วร่างก็ค่อยๆเลือนลางหายไปตามระยะทางที่รถแล่นห่างออกมา มีเพียงสายลมอันอ่อนโยนลอยตามมาสัมผัสกระทบที่แก้มแก้วเบาๆ ประหนึ่งกับมือนุ่มๆของใครสักคนที่มาช่วยเช็ดคราบน้ำตาให้แห้งหาย โดยมีกลิ่นการเวกเบาบางมาช่วยบรรเทาความเศร้าโศกให้เจือจางลงทีละน้อย
เหย้าบาหยัน >>บทที่ ๖ >> ศพสะอื้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คู่มือการอ่าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ ๖
ศพสะอื้น
ความเคลือบแคลงที่คลุมเครือคาใจ ทำให้แก้วยังคงกำที่จับประตูไว้แน่นไม่กล้าออกนอกรถ และมองดูวิญญาณหนุ่มด้วยความกังวลระคนกลัว เริ่มลังเลหวาดหวั่นที่จะตัดสินใจว่าจะเชื่ออะไรดี ระหว่างหลักฐานในมือ หรือคำให้การของวิญญาณแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันได้ไม่กี่ครั้ง เพราะรูปภาพของขุนขจรบรรพบุรุษของท่านไมค์ มันไม่ตรงกันกับรูปร่างหน้าตาของขุนขจรที่ยืนรออยู่นอกรถตอนนี้เลยสักนิด
ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีแสงไฟสองดวงใหญ่จากรถอีกคันสาดเข้ามาทางด้านหลัง ทิศทางที่รถกำลังแล่นเข้ามา เหมือนจะพุ่งตรงมาหาเธอด้วยความเร็ว แก้วเลยตัดสินใจรีบออกมาจากรถแท็กซี่ทันที ก่อนที่จะโดนรถปริศนามาปะทะชนให้รถที่นั่งอยู่ไถลลื่นตกลงน้ำไป
“ ไปกันเถิดแม่แก้ว เวลาจวนหมดแล้ว ตามฉันมาให้เร็วเข้า ”
ขุนขจรรีบกวักมือเรียกหญิงสาวให้ตามตนไปในอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งแก้วก็ไม่รอช้าที่จะรีบเดินตามไปโดยไร้ความกังวล ตอนนี้เธอกลัวรถปริศนามากกว่า เพราะมันอาจเป็นรถผีที่อำแดงดวงแฝงมาอีกครั้ง อนึ่งถ้ารถดังกล่าวเป็นรถคนทั่วไป เธอก็ไม่อยากตอบคำถามหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ทำให้โชเฟอร์แท็กซี่สลบและจอดรถคาขอบแม่น้ำแบบนั้น
‘ ปี๊นปิ๊น! ปิ๊นปิ๊น! ปิ๊นปิ๊น! ปิ๊นปิ๊น!’ เสียงบีบแตรรถดังถี่ติดต่อกันและประชิดเข้ามาเรื่อยๆ
วิญญาณหนุ่มและหญิงสาวรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินหลบหนีไปในมุมมืดทางเดินด้านข้างอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ทันที่จะหลุดรอดแสงไฟจากรถปริศนาสาดแสงส่องหาจนเจอ
“ แก้ว! แก้ว! แก้ว! แก้วแกจะไปไหน! หยุดก่อน ” คนขับรถปริศนาตะโกนลั่นเรียกชื่อหญิงสาว น้ำเสียงอันคุ้นเคยกับคำสรรพนามที่ใช้เรียกกันแบบสนิท ทำให้หยุดวิ่งและหันหลังกลับไปดู
รถชะลอแล่นช้าลง และค่อยๆไปเทียบจอดริมฟุตบาทใกล้ๆกับบริเวณที่แก้วยืนอยู่ คนขับรีบออกมาจากรถทันที พอเดินก้าวเข้ามาในวงแสงไฟหน้ารถ จึงทำให้เห็นชัดขึ้นว่าชายคนนั้นคือมนตรี
“ แก้ว! แกจะไปไหน! ”
“ มนตรี! ”
หญิงสาวเรียกชื่อเพื่อนสั้นๆคำเดียวแต่เต็มไปด้วยเสียงสั่นเครือระคนความดีใจที่ได้เจอเพื่อน
เมื่อเห็นแก้วทำท่ากำลังจะร้องไห้ มนตรีจึงเข้ามากอดพร้อมเอามือลูบหัวเพื่อเป็นการปลอบใจ
“ แกไม่เป็นอะไรใช่ไหม ฉันเป็นห่วงแกมากรู้ไหม ”
“ ฉันโอเค ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ”
หญิงสาวผละตัวเองออกจากอ้อมกอดของมนตรี เพราะรู้สึกไม่คุ้นชินกับการปลอบโยนแบบนี้จากเพื่อนหนุ่ม “ มนตรี แล้วแกตามฉันมาได้ยังไงเนี่ย ”
“ ก็ฉันคลาดกับแกนิดเดียวตอนที่แกขึ้นรถแท็กซี่ไปน่ะสิ ถ้าไม่ติดไฟแดงคงตามทันติดๆแล้วล่ะ ”
“ แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าฉันตกอยู่ในอันตราย ”
“ ตอนขับตามไป ฉันเห็นทะเบียนรถของแท็กซี่น่ะสิ ทางตำรวจท้องที่กำลังประกาศจับ เพราะว่าเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว คนขับเมากัญชาแล้ววิ่งไปชนคนทั่วถนน แกก็ซวยจริง ดันไปเจอไอ้แท็กซี่ขี้ยาเข้า ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าออกไปไหนวันนี้ ”
“ เออฉันผิดเองแหละ ขอบใจนะที่ตามมาช่วยฉัน ”
“ แล้วแกจะเรียกรถแท็กซี่ไปไหนดึกๆดื่นๆแบบนี้ ”
“ คือฉันจะเรียกไป..ไป....เอ่อ...” หญิงสาวอีกอักไม่กล้าบอก พลางมองขจรที่ยังคงยืนรออยู่ที่ข้างทาง
“ แกไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วล่ะ อันนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกแก ”
“ เรื่องอะไร แล้วแท็กซี่นั่นจะทำยังไง ” หญิงสาวมองไปที่ทางที่เธอวิ่งจากมา ซึ่งยังคงเห็นแท็กซี่จอดค้างอยู่ริมขอบแม่น้ำ
“ แท็กซี่นั่นเดี๋ยวฉันให้คนของฉันจัดการเอง แต่ตอนนี้เรื่องแกสำคัญกว่า... เอ่อคือว่า... ”
“ คืออะไร มีอะไรมนตรี ทำไมต้องอีกๆอักๆด้วย ”
“ พ่อแกโทรหาฉัน เพราะติดต่อแกไม่ได้ แกไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดมาด้วยใช่ไหม ”
“ ใช่ โทรศัพท์ฉันแบทหมด ก็เลยชาร์จไว้ที่โรงแรม แล้วตกลงมีอะไร พ่อฉันโทรหาแกทำไม ”
“ คือว่า….....เฮ้อ ” มนตรีถอนหายใจหนึ่งครั้ง มองหน้าแก้วด้วยสีหน้าเศร้าสลด และจับมือเพื่อนไว้แน่น ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “ คือว่าพ่อแกโทรมาบอกว่า….ย่าแกเสียแล้วนะ ”
หญิงสาวตกใจจนพูดไม่ออกได้แต่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ปากสั่นหายใจถี่ ตั้งคำถามหรือนึกคำพูดอะไรต่อไม่ถูก เธอหายใจเข้าหนึ่งครั้งและตั้งสติ “ ฉันไม่เชื่อ แกอย่ามาตลกนะมนตรี ฉันเพิ่งคุยโทรศัพท์กับย่าเมื่อประมาณสองชั่วโมงที่แล้วเอง ท่านจะเสียไปได้ยังไง แกเล่นมุขนี้ฉันไม่ขำนะมนตรี ”
“ ฉันพูดจริงๆ ฉันรีบมาตามหาแก ก็เพื่อบอกเรื่องนี้เนี่ยแหละ ฉันเสียใจด้วยนะแก้ว ”
หญิงสาวเกิดอาการทรงตัวไม่อยู่ และเข่าทรุดลงไปแบบไม่ตั้งตัว ฝ่ายเพื่อนจึงรีบมาประคองไว้ไม่ให้ล้ม เมื่อยืนได้ปกติ แก้วจึงถามย้ำอีกทีด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ ย่าฉันเสียแล้วจริงๆเหรอมนตรี ”
ฝ่ายเพื่อนไม่พูดอะไร ได้แต่พยักหน้าตอบกลับไปแทน และคอยลูบมือประคองสติปลอบใจให้แก้ว
“ มันจะเป็นไปได้ไง ฉันเพิ่งคุยโทรศัพท์กับท่านเอง ” หญิงสาวเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ ใช่แกเพิ่งคุยกับท่าน พอคุยเสร็จ คุณย่าท่านก็เสีย ”
“ ท่านเสียได้ยังไง ฉันไม่เชื่อ คุณย่าฉันไม่ได้เป็นโรคหัวใจเฉียบพลันอะไรสักหน่อย ”
“ คุณย่าตกบันได หัวฟาดพื้นเสียชีวิต ”
“ ไม่จริง ย่าฉันจะตกบันไดได้ยังไง ย่าฉันเป็นอัมพาตเดินได้ที่ไหน แกเอาอะไรมาพูดมนตรี ”
“ ใจเย็นๆก่อนนะ รายละเอียดฉันรู้แค่นี้ มีอะไรแกโทรไปคุยกับพ่อแกเอง แต่ตอนนี้พ่อแกกำลังยุ่งเรื่องศพและติดต่อวัดอยู่ ฉันว่าตอนนี้แกรีบกลับโรงแรมไปเก็บของก่อน เดี๋ยวฉันจะจองตั๋วเครื่องบินด่วนให้เร็วสุดก็พรุ่งนี้เช้าเลย ”
แก้วไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ร้องไห้ฟูมฟายแบบขาดสติ และรีบขึ้นรถไปทันที เมื่อหันไปมองกระจกข้างของรถ เธอไม่นึกว่าร่างของขุนขจรจะสามารถเป็นเงาสะท้อนในกระจกให้เห็นได้ วิญญาณหนุ่มยังคงยืนรออยู่ริมข้างทาง เธอจึงเลยรีบเปิดกระจกรถเพื่อที่จะโผล่หัวออกไปบอกกล่าว
“ เปิดกระจกทำไมน่ะแก้ว ” ฝ่ายเพื่อนถามแทรกขึ้นมาทันที
“ ฉันเอ่อ..”
“ ถ้าร้อนก็เปิดไปเถอะ ”
“ ใช่ฉันร้อน และฉันไม่อยากร้องไห้ให้มากกว่านี้แล้วน่ะ แกมองทางเถอะ ฉันขอมองอะไรต่ออะไรให้ทำใจได้สักพักนะ ”
หญิงสาวพยายามเอียงตัวไปด้านข้างเพื่อให้เห็นขุนขจรจากเงากระจกข้างรถได้ถนัด เพราะต้องการจะบอกลาอะไรสักอย่างก่อนไป ก็เลยพูดในใจแทน โดยหวังว่าจะสื่อไปถึงขุนขจรได้
“ คุณขจรคะ คุณน่าจะได้ยินแล้วว่าย่าแก้วเสีย ตอนนี้แก้วช่วยหรือพาคุณกลับไทยด้วยไม่ได้จริงๆ ขอโทษจริงๆนะคะ แล้วแก้วจะกลับมา แก้วสัญญาค่ะ ”
วิญญาณหนุ่มมองแก้วอย่างละห้อยเศร้าสร้อยผ่านเงาสะท้อนจากกระจกข้างรถ และพยักหน้าตอบรับเพื่อสื่อสารว่าได้ยินในทุกคำพูดในใจ
ถึงแม้รถจะเริ่มเคลื่อนตัวไปไกลจนแทบจะมองไม่เห็นร่างวิญญาณหนุ่ม แต่แก้วก็ได้ยินเสียงลอยลมที่คลอกลิ่นการเวกเข้ามาอยู่ในภวังค์ “ สัญญานะแม่แก้วว่าหล่อนจะกลับมารับฉัน ”
หญิงสาวหลับตา กำสร้อยไว้แน่นประหนึ่งแทนคำมั่นสัญญา และพูดในใจอย่างหนักแน่น“ แล้วแก้วจะกลับมาค่ะคุณขจร แก้วสัญญา ”
“ แล้วฉันจะรอหล่อนที่เดิมที่เมืองใต้ดินนะ ”
วิญญาณหนุ่มโบกมือลาอย่างช้าๆ แล้วร่างก็ค่อยๆเลือนลางหายไปตามระยะทางที่รถแล่นห่างออกมา มีเพียงสายลมอันอ่อนโยนลอยตามมาสัมผัสกระทบที่แก้มแก้วเบาๆ ประหนึ่งกับมือนุ่มๆของใครสักคนที่มาช่วยเช็ดคราบน้ำตาให้แห้งหาย โดยมีกลิ่นการเวกเบาบางมาช่วยบรรเทาความเศร้าโศกให้เจือจางลงทีละน้อย