เรื่องเล่า จากการขับรถชนรถจักรยานยนต์ ครั้งแรก!!!

ก่อนอื่น ขอเกริ่นก่อนนะคะ ว่าเรื่องที่เล่าเกิดขึ้นกับผู้เขียนเอง แต่เนื่องจากโดยปกติแล้วผู้เขียนไม่ได้เข้าเว็บพันทิปเลย แต่อยากแชร์เรื่องราว จึงรบกวนเพื่อนที่มี Account ตั้งกระทู้ให้ค่ะ


เรื่องเกิดขึ้นตอนเช้า ขณะที่ผู้เขียนกำลังเดินทางไปทำงาน โดยใช้เส้นทางประเสริฐมนูกิจ หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อ เกษตรนวมินทร์ โดยมุ่งหน้าไปทางเกษตร เมื่อถึงแยกก่อนถึงโรงเรียนเลิศหล้า ซึ่งเป็นแยกที่ช่องซ้ายผ่านตลอด ผู้เขียนขับรถตรงมาในเลนที่สองจากซ้ายมือ จึงค่อยๆเบี่ยงหัวรถเพื่อที่จะเข้าเลนซ้ายสุด จังหวะนั้นเอง มีรถจักรยานยนต์วิ่งมาในเลนซ้าย รถจักรยายนต์คันนั้นเบี่ยงหลบออกทางซ้าย แต่แล้วเมื่อถึงหน้ารถกลับปาดออกมาทางขวา(หลายๆท่านที่ขับรถในเมืองคงจะพอนึกออกนะคะ) ผู้เขียนจึงเบรครถทันที มอเตอร์ไซด์คันดังกล่าวมาหยุดที่หน้ารถ ผู้ชายที่เป็นคนขับรถก็ลงมาและเริ่มต่อว่าผู้เขียนที่ขับชนรถของเค้า ส่วนผู้หญิงที่เป็นคนซ้อนยังคงนั่งอยู่บนรถ

ผู้เขียนจึงลงจากรถมาเพื่อขอโทษและสำรวจความเสียหาย พบว่าทั้งรถของผู้เขียน และรถจักรยานยนต์คันนั้นไม่มีรอยใดๆทั้งสิ้น อีกทั้งรถจักรยานยนต์คันนั้นก็ไม่ได้ล้มแต่อย่างใด หลังจากเขาต่อว่าสักพักก็เดินไปขึ้นรถและขับออกไป ผู้เขียนจึงเดินกลับขึ้นรถและเคลื่อนออกมาจากที่เกิดเหตุเช่นกัน

ถัดจากที่เกิดเหตุมาประมาณ 50 เมตร รถจักรยานยนต์คันนั้นก็จอดอยู่ข้างทาง ผู้เขียนจึงจอดรถเพื่อลงไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า ผู้ชายซึ่งเป็นคนขับ(ต่อจากนี้จะขอเรียกว่า ชาย นะคะ) ก็บอกว่าแฟนเค้าที่เป็นคนซ้อน(ต่อจากนี้จะเรียกว่า หญิง) มีอาการเจ็บข้อเท้าขวา เนื่องจากกันชนรถของผู้เขียนไปโดนข้อเท้าของหญิง ผู้เขียนจึงถามหญิงว่าเป็นอะไรมากรึเปล่า หญิงตอบว่าแค่ข้อเท้าเคล็ดเฉยๆ ผู้เขียนจึงถามว่า “ไปหาหมอไหมค่ะ เดี๋ยวพาไป” หญิงตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไร” ผู้เขียนจึงบอกว่าในรถมียานวด แล้วก็เดินไปเปิดรถเพื่อหยิบยานวดให้หญิง ผู้เขียนถามย้ำอีกครั้งว่าไปโรงพยาบาลไหม ซึ่งหญิงยังคงยืนยันว่าไม่ไป แต่ชายกลับบอกว่า แฟนเจ็บขา อยากดูอาการว่าจะไปโรงพยาบาลหรือไม่ จึงขอเบอร์ผู้เขียนไว้ติดต่อกรณีที่ต้องการไปโรงพยาบาล และเดินถ่ายรูปรอบรถของผู้เขียน จากนั้นชายก็ขึ้นรถจักรยานยนต์และขับออกไป



พออ่านมาถึงตอนนี้หลายคนสงสัยว่าทำไมผู้เขียนจึงไม่เรียกประกัน ซึ่งผู้เขียนยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดเอง เนื่องจากผู้เขียนค่อยมีประสบการณ์เรื่องนี้ เคยขับรถชนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งครั้งนั้นเป็นการขับชนกับรถยนต์ด้วยกัน จึงเป็นเพียงแค่ต่างคนต่างเรียกประกันแล้วแยกย้ายกันไป และนอกจากนี้เหตุการณ์ครั้งนี้ในแต่ละจุดเกิดขึ้นเร็วมาก จนผู้เขียนไม่มีเวลาในการคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ



หลังจากที่แยกย้ายกันแล้ว ผู้เขียนก็ขับรถมาต่อจนเกือบถึงแยกลาดปลาเค้า ชายก็โทรศัพท์เข้ามา บอกว่า หญิงเจ็บขา ถ้าต้องการจะไปโรงพยาบาลจะโทรมาเรียกนะ ผู้เขียนจึงแจ้งไปว่า ผู้เขียนกำลังเดินทางไปประชุม ซึ่งคงไม่สะดวกออกมาระหว่างประชุม ขอพาไปตอนนี้เลยได้มั้ย เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่ายด้วย ซึ่งชายตกลงและบอกให้ผู้เขียนขับรถกลับไปรับหญิงใกล้ๆกับที่เกิดเหตุ ผู้เขียนจึงกลับรถ ระหว่างนั้นก็โทรปรึกษาพี่ที่ทำงาน พี่บอกว่าจริงๆน่าจะตกลงกันได้ตั้งแต่ตอนเกิดเหตุแล้วนะ ในเมื่อต่างคนต่างแยกย้ายแล้วก็น่าจะหมายถึงว่าเค้าไม่ติดใจอะไรแล้วนี่ ซึ่งผู้เขียนก็กำลังเป็นกังวลไม่ทราบท่าทีของทั้งสองคนเหมือนกัน และปรึกษาพี่เพิ่มเติมว่าไปโรงพยาบาลไหนดี ใกล้ๆก็มี เปาโลนวมินทร์, สินแพทย์, และนพรัตน์ ซึ่งพี่ก็แนะนำมาว่าไปโรงพยาบาลเอกชนค่าใช้จ่ายจะสูงนะ

เมื่อไปถึงจุดนัดพบ ก็เห็นชายกับหญิงกำลังยืนรออยู่ข้างถนน ผู้เขียนจึงลงจากรถไปคุยด้วย โดยถามว่าจะให้พาไปโรงพยาบาลไหน ชายตอบกลับมาว่า “ไปโรงพยาบาลเปาโลนวมินทร์” ผู้เขียนจึงตอบกลับไปว่า “โห พี่มันแพงอ่ะ หนูจ่ายไม่ไหวหรอกค่ะ ไปโรงพยาบาลนพรัตน์ได้มั้ย” ซึ่งตอนแรกชายก็ไม่ยอม แต่หญิงบอกว่าเอาเถอะช่วยๆน้องเขาหน่อย ผู้เขียนจึงถามว่า “ถ้าพาพี่เค้าไปโรงพยาบาล เรื่องจะจบแล้วใช่มั้ยค่ะ” ซึ่งชายตอบกลับมาว่า “ใช่ พี่เป็นห่วงแค่แฟน ส่วนรถพี่ไม่เป็นอะไรหรอก” จากนั้นผู้เขียนจึงพาหญิงขึ้นรถ ส่วนชายก็ขี่จักรยายนต์ตามไป

ระหว่างทางที่อยู่บนรถ หญิงก็เล่าให้ฟังว่า ตนเองทำงานเป็นคนแพ็คของอยู่ในซุปเปอร์ ต้องยืนทั้งวัน ดังนั้นการที่ขาเจ็บจึงเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน และตอนแรกที่ชายบอกว่าให้พาไปโรงพยาบาลเปาโลนวมินทร์เนื่องจากว่า หญิงมีทำประกันและเลือกโรงพยาบาลเปาโลไว้ นอกจากนี้ชายยังบอกอีกว่าไม่ต้องห่วงหรอก อย่างไงค่ารักษาน้องเขาก็ต้องจ่ายอยู่ดี ซึ่งผู้เขียนก็ยังคงยืนยันกลับไปว่า จ่ายไม่ไหวหรอกค่ะ

เมื่อไปถึงโรงพยาบาลนพรัตน์ หญิงก็เข้าไปห้องฉุกเฉิน นั่งรอประมาณ 40 นาทีหมอก็มาตรวจ แล้วบอกว่าหญิงข้อเท้าแพลง จึงสั่งยานวด ยาคลายกล้ามเนื้อให้ และให้พยาบาลมาพันขาให้ หลังจากนั้นผู้เขียนจึงเดินไปรับยาให้พร้อมทั้งจ่ายค่ารักษาพยาบาล

เมื่อผู้เขียนเดินกลับมา ก็นำใบเสร็จมารับใบรับรองแพทย์ เมื่อชายเห็นใบรับรองแพทย์ก็เริ่มโวยวาย เนื่องจากในใบรับรองแพทย์ระบุว่า “ข้อเท้าฟกช้ำ” และไม่ได้ระบุให้คนไข้หยุดงาน ซึ่งชายบอกว่า หญิงทำงานที่ต้องยืนทั้งวัน ดังนั้นควรให้หยุดงานเพื่อเป็นการพัก

ผู้เขียนกับชายจึงเดินเข้าไปพบหมอ ซึ่งชายแจ้งความประสงค์ให้หมอระบุว่า หญิงต้องหยุดงาน แพทย์จึงระบุลงไปว่าควรจะหยุดพัก 1 วัน เมื่อชายเห็นดังนั้นจึงเริ่มโวยวายว่า หญิงต้องยืนทั้งวัน หยุดแค่ 1 วันข้อเท้าจะไม่หาย ซึ่งหมอก็แจ้งกลับมาว่า ก็เขียนตามอาการ ผู้ป่วยแค่ข้อเท้าแพลงเท่านั้น ชายจึงเริ่มโวยวายว่า แล้วถ้าวันเดียวหญิงไม่หายละ แล้วหมอไม่เอ็กซเรย์จะทราบได้อย่างไรว่าหญิงไม่เป็นอะไร หมอจึงอธิบายว่า ก็หญิงสามารถเดินได้ตามปกติ ข้อเท้าไม่มีการบวม และไม่บิดเบี้ยวผิดรูป จึงไม่จำเป็นต้องเอ็กซเรย์ ชายก็ยังคงโวยวายต่อไป ผู้เขียนจึงหันไปถามหมอว่าหญิงควรดีขึ้นภายในกี่วันค่ะ แพทย์บอกว่าวันเดียวก็ดีขึ้นแล้ว ชายก็ยังคงโวยวายต่อไป หมอจึงบอกว่าเอาอย่างนี้นะ อย่างน้อย 3 วันหญิงก็จะหายปวด จะเหลือแค่รอยช้ำแล้ว ชายก็ยังคงยืนยันเรื่องที่หญิงอาจจะเจ็บมากกว่าข้อเท้าแพลง ผู้เขียนจึงหันไปถามแพทย์ว่าถ้าจะให้หายสนิทและแน่ใจว่าไม่เป็นอะไรเลยจริงๆต้องกี่วันค่ะ ซึ่งแพทย์ตอบกลับมาว่าหายสนิทจริงๆแบบเป็นปกติเลยต้องไม่เกิน 7 วัน ผู้เขียนจึงหันไปพูดกับชายว่า เอาอย่างนี้นะคะ ถ้าหลังจากนี้ 7 วัน หญิงยังไม่หาย ผู้เขียนจะเป็นคนพาหญิงมาพบแพทย์เองค่ะ

ในขณะที่กำลังเดินออกจากโรงพยาบาล ชายก็หันมาบอกผู้เขียนว่า “ถ้าแฟนพี่หยุดงานกี่วัน พี่จะติดต่อไปนะ” ผู้เขียนก็หยุดเดินเลยค่ะ แล้วถามว่า “หมายความว่าอย่างงัยค่ะ” ชายก็พูดต่อว่า “แฟนพี่ทำงานเป็นรายวัน หยุดงานก็เสียรายได้” ผู้เขียนเลยบอกว่า “แบบนี้มันไม่ได้นี่ค่ะ ในเมื่อแพทย์ก็ระบุว่าให้หยุดเพียงวันเดียว” ชายก็ตอบกลับมาว่า “งานของหญิงต้องยืนทั้งวัน แพทย์บอกเองว่าถ้าจะหายต้องพัก” ผู้เขียนจึงตอบว่า “อย่างนี้ก็ไม่ไหวหรอกค่ะพี่ อย่างนี้ถ้าแฟนพี่หยุดงานเป็นอาทิตย์ หนูไม่ตายเหรอค่ะ พรุ่งนี้หนูก็ไม่ได้เจอพี่ จะรู้ได้อย่างงัยว่าแฟนพี่หายหรือยัง” ซึ่งชายก็ยังคงโวยวายต่อไป ผู้เขียนจึงบอกว่า ในเมื่อตกลงกันไม่ได้ ไปตกลงที่โรงพักละกันค่ะ



…. ขอหยุดไว้ตรงนี้ ไปนอนก่อนนะคะ แล้วจะกลับมาเล่าต่อค่ะ …
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่