บทนำ
http://ppantip.com/topic/30948936
บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/30971151
.........................................................
บทที่ 2
สุดท้ายวรรธนิศน์ก็ได้แต่พาเธอมาส่งถึง ‘ที่เกิดเหตุ’
บ้านชั้นเดียวเก่าๆ ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวห่างจากบ้านหลังอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน บริเวณบ้านมีไม้ยืนต้นสองสามต้น ที่เยอะกว่าอย่างอื่นคือหญ้ารกเรื้อรุงรังราวกับเจ้าของไม่ได้ใส่ใจมานานปี มีเพียงบางส่วนที่เหมือนจะได้รับการแผ้วถางอย่างไม่จริงจังนัก
ตอนนี้บริเวณโดยรอบมีผู้คนจำนวนหนึ่งยืนจับกลุ่มพูดคุยกันเซ็งแซ่ นักข่าวฟรีแลนซ์สองสามคนพยายามยกกล้องขึ้นถ่ายทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่นอกเส้นกั้น หวังที่จะได้ภาพเอาไปข่ายให้สำนักข่าวประจำ ตำรวจชั้นผู้น้อยสองสามนายยืนกันอยู่ด้านนอก Police Line หรือเส้นกั้นสถานที่เกิดเหตุสีเหลือง ชิตาภากระโดดลงจากรถโดยที่หยิบเอากระเป๋ากล้องและสมุดบันทึกลงมาด้วย ทิ้งข้าวของที่ไม่จำเป็นไว้บนรถทั้งหมด มี ‘สารถี’ อย่างวรรธนิศน์กระโดดลงตามมาแทบไม่ทัน
“คุณ...ผู้กอง รอด้วย...”
ชิตาภาชะงักทันควัน ก่อนจะหันไปยิ้มแป้นกับชายหนุ่มที่รีบเดินตามมา ในมือมีสมุดเล่มเล็กเหมือนเตรียมพร้อมรับการเลคเชอร์ สีหน้าหญิงสาวจึงเปลี่ยนเป็นฉงนฉงาย “นั่นอะไรคะคุณวรรธ”
“เอาไว้จดสิ่งที่น่าสนใจไงฮะ”
“ภาว่า เก็บเอาไว้ก่อนดีกว่าค่ะ ไปดูแต่ตา ยังไม่ต้องจดอะไรดีกว่านะคะ”
บุคลิกร่าเริงสดใสหายวับไป แทนที่ด้วยความทะมัดทะแมงคล่องตัว ร่างโปร่งบางเดินนำไปที่ตำรวจผู้น้อยสองคนนั้นโดยที่มีนักเขียนหนุ่มเดินตามหลัง เจรจาอะไรกับตำรวจสองนายสองสามคำ แล้วกวักมือให้เขาลอดเส้นกั้นเข้าไปก่อน
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงมือชื้นเหงื่อนิดๆ ของตัวเอง เฝ้าปลุกปลอบใจให้แข็งแกร่ง มือใหญ่ลูบพระที่ห้อยคออยู่พลางอธิษฐานขอให้ท่านมาช่วยคุ้มครองเขาด้วย ณ วินาทีนี้
นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นศพ!
ตอนที่เขาอาสาขับรถมาส่งตำรวจสาว ชายหนุ่มเล่าอาชีพของตนให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ ก่อนที่จะตบท้ายว่าตอนนี้เขากำลังทำโปรเจ็คอะไร และต้องการข้อมูลอย่างไร โชคดีของเขาจริงๆ ที่ได้เจอกับแหล่งข้อมูลที่อยู่ใกล้ชิดขนาดนี้ ดังนั้นเพื่อการทำงาน เขาจึงขอให้เธอช่วย...อนุญาตให้เขาเข้าไปดูการทำงานของพิสูจน์หลักฐานซักครั้งก็ยังดี
ชิตาภาไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ตรงกันข้ามชายหนุ่มเห็นประกายตาตื่นตะลึงยามที่เอ่ยถึงนามปากกาของตัวเอง แล้วพริบตาต่อมาเขาก็ค้นพบว่าตัวเองได้เจอเข้ากับ ‘แฟนพันธุ์แท้’ เข้าแล้ว ด้วยหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดถึงนิยายของเขาได้เกือบครบทุกเล่ม พร้อมกับทำสีหน้าเพ้อฝันยามเมื่อคุยถึงตัวละครในนิยาย (โดยเฉพาะพระเอก) ที่เธอชอบ
และเพราะบอกว่านางเอกนิยายเล่มนี้ของเขาจะเป็นตำรวจพิสูจน์หลักฐาน หญิงสาว (ที่หน้าแดงโดยไร้สาเหตุ) จึงยอมให้เขาเข้ามาเก็บข้อมูลโดยไม่ได้คัดค้านว่าอะไรซักอย่าง เพียงแต่ขอให้เขาปฏิบัติตามคำพูดของเธออย่างเคร่งครัดเท่านั้น
และนั่นทำให้เขาต้องมายืนอยู่ในบ้านที่มีคนตายสดๆ ร้อนๆ
ไอ้เขาก็ดันจินตนาการว่าเปิดประตูผ่างออกมาแล้วจะต้องเจอศพ เปล่า...เข้าไปก็เจอห้องที่เข้าใจว่าทำไว้เป็นห้องนั่งเล่นและห้องรับแขกบวกห้องกินข้าวไปในตัว เนื่องจากมีสารพัดข้าวของกองสุมอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบนัก นักเขียนหนุ่มจ้องมองไปรอบๆ ขณะที่รอชิตาภาที่เดินหายเข้าไปในอีกห้องหนึ่งกลับมาหา
กำลังคิดเพลินๆ ก็มีคนมาตบบ่าเบาๆ แต่เขากลับสะดุ้งจนร้องเสียงดัง
“เฮ้ย!” พอเหลียวมามองต้นสายปลายเห็นแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือก “สารวัตรนี่เอง”
พ.ต.ท. นาคินทร์ยิ้มน้อยๆ หากคิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจ “สวัสดีครับคุณวรรธ มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงครับนี่”
“คือผมมาส่ง...”
“มาแล้วค่ะ...”
หญิงสาวที่เดินกลับออกไปนอกเส้นเหลืองกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับหิ้วถุงสีฟ้ารูปร่างหน้าตาคล้ายๆ หมวกคลุมอาบน้ำของผู้หญิงมาด้วย นายตำรวจสองสามคนเริ่มเปิดอุปกรณ์ในการทำงานที่อยู่ในกล่อง ในขณะที่ชิตาภาเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นนาคินทร์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มสดใส “สวัสดีค่ะสารวัตร คดีของสารวัตรเองหรือคะนี่?”
“ผมก็ไม่นึกว่าจะเจอผู้กองนะวันนี้ เวรผู้กองหรือฮะ”
“ค่ะ”
แล้วตำรวจสองนายก็คุยกันหนุงหนิง ทิ้งให้นักเขียนตาดำๆ อย่างเขายืนเหม่ออยู่ตรงกลาง จนเวลาผ่านไปได้สองนาทีชายหนุ่มผู้ถูกลืมก็อดรนทนไม่ไหว เตรียมจะเอ่ยอะไรบางอย่าง...
“ตายจริง! ไม่เจอสารวัตรนาน ดูสิ คุยกันเพลินเลย เดี๋ยวค่อยคุยก็ได้เนอะ” หญิงสาวหันมามองวรรธนิศน์ที่ตีสีหน้าเรียบเฉยได้ทันก่อนที่ใครจะเห็นท่าทางเมื่อครู่ “คุณวรรธ เดี๋ยวเราจะเข้าไปยังห้องที่เกิดเหตุนะคะ คุณวรรธต้องสวมถุงครอบเท้านะคะ เอาครอบเข้าไปทั้งรองเท้าเลยค่ะ”
ตำรวจสาวสาธิตให้ดูก่อนด้วยการสวมถุงครอบเท้าทับรองเท้าหนังของตนเอง ก่อนที่จะบอกนาคินทร์ที่ไม่ได้ใส่ถุงครอบเท้าคนเดียวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “ตามระเบียบนะคะ สารวัตร ต้องรอให้ภาตรวจให้เสร็จก่อนสารวัตรค่อยเข้าต่อนะคะ เดี๋ยวสงสัยภาจะต้องบอกจ่าข้างนอกไว้ก่อนซะแล้วว่าอย่าเพิ่งปล่อยให้ตำรวจนายอื่นที่ไม่ใช่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาก่อนที่ภาจะอนุญาต”
“ตามนั้นฮะผู้กอง” สารวัตรหนุ่มยิ้มตอบ ก่อนจะเบือนหน้ามาทางร่างสูงที่สวมถุงครอบเท้าเรียบร้อยแล้ว “คุณวรรถ โชคดีนะครับ”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักว่านาคินทร์หมายความว่าอย่างไร หากวรรธนิศน์ก็ทำได้เพียงยิ้ม “ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ”
ห้องที่เกิดเหตุเป็นห้องนอนเล็กๆ ที่หากเขากับชิตาภาและลูกน้องของเธอทั้งหมดเข้าไปพร้อมกันคงล้นห้อง
เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นไม่ขาด แม้ชิตาภาจะให้ลูกน้องเข้าไปถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุแล้ว ยังมีคนอีกมากที่รอเข้าไป ทั้งเขา เธอ ลูกน้องเธอ และหน่วยกู้ภัยที่มารอเก็บศพ นี่ยังไม่นับหมอนิติเวช ร.ต.อ.นพ. ภูธเรศ ที่พาร่างสูงหล่อเหลามายืนยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้าเมื่อรู้นามปากกาของเขา (จากการแนะนำอย่างกระตือรือร้นของชิตาภา) พลางพูดคุยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
‘แม่กะแฟนผมชอบอ่านนิยายของคุณมากเลยฮะ โอ้ย เจออย่างนี้ต้องขอลายเซ็นนะเนี่ย”
‘อะไรกัน ยัยพริมน่ะเหรอชอบอ่านนิยายคุณวรรธด้วย แปลกแฮะ นึกว่ายัยพริมไม่อ่านนิยายรักซะอีก’ น้ำเสียงผู้กองสาวหยอกเย้า ก่อนพาหมอและจ่าอีกคนเข้าไปในห้องที่เกิดเหตุ โดยมีเขาที่ได้รับอนุญาตว่า
‘ให้คุณวรรธเข้ามาเถอะ เผื่อ...จะได้ออกไปเร็วๆ’
ตอนแรกเขาก็นึกว่าชิตาภาต้องการไล่เขาออกไป แต่เมื่อเห็นสภาพห้อง เขาก็เข้าใจ...
ห้องนั้นเล็กและค่อนข้างอับเพราะเจ้าของไม่ได้เปิดหน้าต่าง จ่าที่เข้ามาด้วยพยายามเปิดหน้าต่างฝืดๆ ที่มีอยู่เพียงสองบานในห้องอย่างค่อนข้างกินแรง หากวรรธนิศน์ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือที่จะเข้าไปช่วย ชายหนุ่มได้แต่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
ทั้งชีวิตมานี่เขามั่นใจในเรื่องความใจกล้า ใครว่าหนังผี หนังสยองขวัญเรื่องไหนโหดเลือดสาด ชายหนุ่มยังนั่งกินป๊อปคอร์นไปด้วยดูไปด้วยอย่างสบายอารมณ์ แต่นี่...
ภาพร่างไร้วิญญาณตรงหน้าไม่ได้เป็นแค่ฉาก...
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งตลบไปทั้งห้อง แม้จะเปิดหน้าต่างออกแล้วก็ตาม แต่ต้นเหตุของกลิ่นคือเลือดที่นองอยู่บนพื้นนั้นจับตัวกันเป็นลิ่มบางๆ เป็นแผ่น ใบหน้าซีกหนึ่งของผู้ตายเอียงพับซบลงกับกองเลือด ทำให้เขาได้เห็นแผลที่ขมับค่อนข้างถนัด ดวงตาเปิดลืมเพียงครึ่งๆ ไร้แววแห่งชีวิต ริมฝีปากอ้าค้างคล้ายมีเรื่องคาใจ มือสองข้างปัดป่าย ในขณะที่ปืนกระบอกเล็กตกอยู่ไม่ห่างจากมือนัก
วรรธนิศน์รับกล้องที่จู่ๆ ชิตาภายื่นมาให้แทบไม่ทัน ก่อนที่หญิงสาวที่ในอ้อมแขนตอนนี้มีสมุดจดบันทึกที่เกิดเหตุจะก้มลงไปจนอีกไม่กี่เซ็นต์ก็จะถึงใบหน้าศพ หญิงสาวมองอย่างพินิจพิเคราะห์ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้น “กระสุนระยะประชิดเลยนะเนี่ย”
“ใช่ฮะ” ภูธเรศเอามือที่สวมถุงมือยางเรียบร้อยแล้วช้อนมือศพขึ้นมา นักเขียนหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าทั้งแขนแข็งทื่อ เมื่อลองยกสะโพกก็เช่นเดียวกับแขน คือแข็งเกร็งไปหมด “Rigor มาถึงตรงนี้แล้ว ส่วน Livor ก็...” นิติเวชหนุ่มก้มลงมองท่อนแขนค้างแข็ง ก่อนจะเลิกเสื้อคนตายบริเวณเอวขึ้น ออกแรงดันศพให้พลิกขึ้นหน่อยหนึ่ง ส่งผลให้ดวงตาไร้แววมองตรงไปที่วรรธนิศน์ ร่างสูงเบิกตากว้าง ตัดสินใจเดินไปเกาะอยู่กับชิตาภาอย่างรวดเร็ว ภูธเรศเอานิ้วจิ้มเนื้อบริเวณเอวด้านหลังที่เขาเห็นเป็นรอยแดงเป็นปื้น บริเวณนั้นถูกนิ้วจิ้มเข้าไปก็เป็นสีขาว แต่เมื่อปล่อยนิ้วก็กลับเป็นสีแดงเหมือนเดิมช้าๆ
“เหมือนใกล้จะฟิกซ์แล้ว อืม...ประมาณ 6 – 8 ชม. แล้วล่ะฮะ”
ชิตาภาพยักหน้า ก่อนจะหันมาอธิบายสั้นๆ กับนักเขียนหนุ่มโดยไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายหน้าซีดเพียงใด “นี่เป็นการประเมินเวลาการตายโดยการดูจากสภาพศพค่ะ คุณหมอกำลังดูการแข็งเกร็งของศพ (Rigor Mortis) และการปรากฏรอยจ้ำสีชมพู (Livor Mortis) หรือที่คุณเห็นว่ามันเป็นสีแดงนี่แหละ อธิบายง่ายๆ มันคือการที่เลือดตกลงสู่เบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วง เช่นถ้าศพอยู่ในท่านอนเลือดจะตกไปที่ท้ายทอย หลัง ด้านหลังของแขนขาน่ะค่ะ การจะเกิดปฏิกิริยาพวกนี้ต้องอาศัยระยะเวลา หมอจะระบุเวลาตายได้จากการเกิดปฏิกิริยาแบบนี้เองค่ะ”
“Postmortem (การเปลี่ยนแปลงภายหลังตาย) ไม่ได้มีแค่สองอย่างนี้นะฮะ แต่เราประเมินจากสองอย่างนี้ได้ง่ายหน่อยเท่านั้นเอง” นิติเวชหนุ่มเสริม ก่อนเดินวนมาทางหัวศพ ก่อนจะหันหน้ามาทางเขา แล้วพูดบางสิ่งที่ทำให้เขาแทบผวา
“คุณวรรธมาช่วยจับหัวศพพลิกหน่อยฮะ ไหนๆ มาเก็บข้อมูล จะได้ล้วงลึกถึงสัมผัสของศพเลย”
สีหน้าคนพูดยิ้มๆ หากคนฟังเหมือนกำลังขาดอากาศหายใจ วรรธนิศน์เดินแข็งทื่อเข้าไปหานิติเวชหนุ่ม ในมือเขาใส่ถุงมือเตรียมพร้อมแล้ว หากสีหน้าพะอืดพะอมที่เขาเผลอแสดงออกไปบางอย่างทำให้ชิตาภาเบรกไว้ทันก่อนที่เขาจะจับศพจริงๆ “คุณวรรธคะ ไม่ต้องก็ได้ค่ะ หมอก็...ให้คนอื่นมาทำแทนก็ได้” หญิงสาวกวักมือเรียกกู้ภัยคนหนึ่งที่ยืนรออยู่นอกห้องให้เข้ามาช่วยจับหัวศพพลิก ซึ่งก็เป็นไปอย่างยากลำบากเมื่อบริเวณศีรษะและลำคอของศพค้างแข็งอยู่ในท่าคอเอียงพับไปแล้ว
และวรรธนิศน์หวังว่ามันจะเอียงพับตลอดไป แต่...
ทันทีที่ใบหน้าด้านข้างที่ถูกทับอยู่แหงนเงยขึ้นได้ นักเขียนหนุ่มก็เผลอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านี่คือความผิดพลาดอย่างมหันต์ก็ตอนที่กลิ่นคาวที่ทวีความเข้มข้นขึ้นเข้าไปในปอดเต็มๆ ดวงตาสีดำสนิทเบิกโพลงเมื่อเห็นซีกหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด และกะโหลกที่เหมือนจะ...ไม่เข้ารูปเท่าไหร่ เนื้อสมองสีเหลืองออกเทาบางส่วนไหลปะปนมากับลิ่มเลือด คลุกเคล้าเข้ากันจนเกือบแยกสีไม่ออก หากภูธเรศก็ทำสิ่งที่เขาตะลึงมากกว่านั้นคือแหวกเส้นผมเพื่อดูสภาพบาดแผลที่เป็นรอยแฉกกว้างอย่างเห็นได้ชัด “ทางออกนี่ชัดเลย กระสุนทะลุ”
“ก็จ่อประชิดขนาดนี้ก็ควรทะลุหรอกค่ะ”
“คุณว่าฆ่าตัวตายรึเปล่าผู้กอง?”
“คุณหมอล่ะคะว่าไง ถ้าให้ภาดูคร่าวๆ ตอนนี้ยังฟันธงไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้ภาต้องเก็บเขม่าปืนที่มือศพก่อนแล้วล่ะ”
สองคนสนทนากันไปเรื่อยๆ โดยมีเสียงลั่นชัตเตอร์รัวๆ และนักเขียนหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะเป็นลมเป็นฉากหลัง
ชิตาภาที่หันมาเห็นสภาพสีหน้าของเขาแล้วในตอนนี้เอ่ยขึ้นอย่างตกใจ “คุณวรรธ! ไหวรึเปล่าคะ ออกไปข้างนอกก่อนได้นะคะ เดี๋ยว...”
ร่างสูงไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบก็รีบเผ่นพรวดออกมาจากห้องนั้นเหมือนนักโทษโดนปล่อยออกจากคุก ทิ้งให้หญิงสาวมองตามไปอย่างงงงัน ก่อนจะหันมาเปรยกับนิติเวชหนุ่มที่ยืนยิ้มๆ
“ไม่รู้คุณวรรธเป็นอะไรนะคะ พรวดพราดออกไปอย่างนั้น...”
สืบซ่อนรัก (ชื่ออย่างไม่เป็นทางการ) : บทที่ 2
บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/30971151
.........................................................
บทที่ 2
สุดท้ายวรรธนิศน์ก็ได้แต่พาเธอมาส่งถึง ‘ที่เกิดเหตุ’
บ้านชั้นเดียวเก่าๆ ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวห่างจากบ้านหลังอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน บริเวณบ้านมีไม้ยืนต้นสองสามต้น ที่เยอะกว่าอย่างอื่นคือหญ้ารกเรื้อรุงรังราวกับเจ้าของไม่ได้ใส่ใจมานานปี มีเพียงบางส่วนที่เหมือนจะได้รับการแผ้วถางอย่างไม่จริงจังนัก
ตอนนี้บริเวณโดยรอบมีผู้คนจำนวนหนึ่งยืนจับกลุ่มพูดคุยกันเซ็งแซ่ นักข่าวฟรีแลนซ์สองสามคนพยายามยกกล้องขึ้นถ่ายทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่นอกเส้นกั้น หวังที่จะได้ภาพเอาไปข่ายให้สำนักข่าวประจำ ตำรวจชั้นผู้น้อยสองสามนายยืนกันอยู่ด้านนอก Police Line หรือเส้นกั้นสถานที่เกิดเหตุสีเหลือง ชิตาภากระโดดลงจากรถโดยที่หยิบเอากระเป๋ากล้องและสมุดบันทึกลงมาด้วย ทิ้งข้าวของที่ไม่จำเป็นไว้บนรถทั้งหมด มี ‘สารถี’ อย่างวรรธนิศน์กระโดดลงตามมาแทบไม่ทัน
“คุณ...ผู้กอง รอด้วย...”
ชิตาภาชะงักทันควัน ก่อนจะหันไปยิ้มแป้นกับชายหนุ่มที่รีบเดินตามมา ในมือมีสมุดเล่มเล็กเหมือนเตรียมพร้อมรับการเลคเชอร์ สีหน้าหญิงสาวจึงเปลี่ยนเป็นฉงนฉงาย “นั่นอะไรคะคุณวรรธ”
“เอาไว้จดสิ่งที่น่าสนใจไงฮะ”
“ภาว่า เก็บเอาไว้ก่อนดีกว่าค่ะ ไปดูแต่ตา ยังไม่ต้องจดอะไรดีกว่านะคะ”
บุคลิกร่าเริงสดใสหายวับไป แทนที่ด้วยความทะมัดทะแมงคล่องตัว ร่างโปร่งบางเดินนำไปที่ตำรวจผู้น้อยสองคนนั้นโดยที่มีนักเขียนหนุ่มเดินตามหลัง เจรจาอะไรกับตำรวจสองนายสองสามคำ แล้วกวักมือให้เขาลอดเส้นกั้นเข้าไปก่อน
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงมือชื้นเหงื่อนิดๆ ของตัวเอง เฝ้าปลุกปลอบใจให้แข็งแกร่ง มือใหญ่ลูบพระที่ห้อยคออยู่พลางอธิษฐานขอให้ท่านมาช่วยคุ้มครองเขาด้วย ณ วินาทีนี้
นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นศพ!
ตอนที่เขาอาสาขับรถมาส่งตำรวจสาว ชายหนุ่มเล่าอาชีพของตนให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ ก่อนที่จะตบท้ายว่าตอนนี้เขากำลังทำโปรเจ็คอะไร และต้องการข้อมูลอย่างไร โชคดีของเขาจริงๆ ที่ได้เจอกับแหล่งข้อมูลที่อยู่ใกล้ชิดขนาดนี้ ดังนั้นเพื่อการทำงาน เขาจึงขอให้เธอช่วย...อนุญาตให้เขาเข้าไปดูการทำงานของพิสูจน์หลักฐานซักครั้งก็ยังดี
ชิตาภาไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ตรงกันข้ามชายหนุ่มเห็นประกายตาตื่นตะลึงยามที่เอ่ยถึงนามปากกาของตัวเอง แล้วพริบตาต่อมาเขาก็ค้นพบว่าตัวเองได้เจอเข้ากับ ‘แฟนพันธุ์แท้’ เข้าแล้ว ด้วยหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดถึงนิยายของเขาได้เกือบครบทุกเล่ม พร้อมกับทำสีหน้าเพ้อฝันยามเมื่อคุยถึงตัวละครในนิยาย (โดยเฉพาะพระเอก) ที่เธอชอบ
และเพราะบอกว่านางเอกนิยายเล่มนี้ของเขาจะเป็นตำรวจพิสูจน์หลักฐาน หญิงสาว (ที่หน้าแดงโดยไร้สาเหตุ) จึงยอมให้เขาเข้ามาเก็บข้อมูลโดยไม่ได้คัดค้านว่าอะไรซักอย่าง เพียงแต่ขอให้เขาปฏิบัติตามคำพูดของเธออย่างเคร่งครัดเท่านั้น
และนั่นทำให้เขาต้องมายืนอยู่ในบ้านที่มีคนตายสดๆ ร้อนๆ
ไอ้เขาก็ดันจินตนาการว่าเปิดประตูผ่างออกมาแล้วจะต้องเจอศพ เปล่า...เข้าไปก็เจอห้องที่เข้าใจว่าทำไว้เป็นห้องนั่งเล่นและห้องรับแขกบวกห้องกินข้าวไปในตัว เนื่องจากมีสารพัดข้าวของกองสุมอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบนัก นักเขียนหนุ่มจ้องมองไปรอบๆ ขณะที่รอชิตาภาที่เดินหายเข้าไปในอีกห้องหนึ่งกลับมาหา
กำลังคิดเพลินๆ ก็มีคนมาตบบ่าเบาๆ แต่เขากลับสะดุ้งจนร้องเสียงดัง
“เฮ้ย!” พอเหลียวมามองต้นสายปลายเห็นแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือก “สารวัตรนี่เอง”
พ.ต.ท. นาคินทร์ยิ้มน้อยๆ หากคิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจ “สวัสดีครับคุณวรรธ มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงครับนี่”
“คือผมมาส่ง...”
“มาแล้วค่ะ...”
หญิงสาวที่เดินกลับออกไปนอกเส้นเหลืองกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับหิ้วถุงสีฟ้ารูปร่างหน้าตาคล้ายๆ หมวกคลุมอาบน้ำของผู้หญิงมาด้วย นายตำรวจสองสามคนเริ่มเปิดอุปกรณ์ในการทำงานที่อยู่ในกล่อง ในขณะที่ชิตาภาเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นนาคินทร์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มสดใส “สวัสดีค่ะสารวัตร คดีของสารวัตรเองหรือคะนี่?”
“ผมก็ไม่นึกว่าจะเจอผู้กองนะวันนี้ เวรผู้กองหรือฮะ”
“ค่ะ”
แล้วตำรวจสองนายก็คุยกันหนุงหนิง ทิ้งให้นักเขียนตาดำๆ อย่างเขายืนเหม่ออยู่ตรงกลาง จนเวลาผ่านไปได้สองนาทีชายหนุ่มผู้ถูกลืมก็อดรนทนไม่ไหว เตรียมจะเอ่ยอะไรบางอย่าง...
“ตายจริง! ไม่เจอสารวัตรนาน ดูสิ คุยกันเพลินเลย เดี๋ยวค่อยคุยก็ได้เนอะ” หญิงสาวหันมามองวรรธนิศน์ที่ตีสีหน้าเรียบเฉยได้ทันก่อนที่ใครจะเห็นท่าทางเมื่อครู่ “คุณวรรธ เดี๋ยวเราจะเข้าไปยังห้องที่เกิดเหตุนะคะ คุณวรรธต้องสวมถุงครอบเท้านะคะ เอาครอบเข้าไปทั้งรองเท้าเลยค่ะ”
ตำรวจสาวสาธิตให้ดูก่อนด้วยการสวมถุงครอบเท้าทับรองเท้าหนังของตนเอง ก่อนที่จะบอกนาคินทร์ที่ไม่ได้ใส่ถุงครอบเท้าคนเดียวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “ตามระเบียบนะคะ สารวัตร ต้องรอให้ภาตรวจให้เสร็จก่อนสารวัตรค่อยเข้าต่อนะคะ เดี๋ยวสงสัยภาจะต้องบอกจ่าข้างนอกไว้ก่อนซะแล้วว่าอย่าเพิ่งปล่อยให้ตำรวจนายอื่นที่ไม่ใช่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาก่อนที่ภาจะอนุญาต”
“ตามนั้นฮะผู้กอง” สารวัตรหนุ่มยิ้มตอบ ก่อนจะเบือนหน้ามาทางร่างสูงที่สวมถุงครอบเท้าเรียบร้อยแล้ว “คุณวรรถ โชคดีนะครับ”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักว่านาคินทร์หมายความว่าอย่างไร หากวรรธนิศน์ก็ทำได้เพียงยิ้ม “ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ”
ห้องที่เกิดเหตุเป็นห้องนอนเล็กๆ ที่หากเขากับชิตาภาและลูกน้องของเธอทั้งหมดเข้าไปพร้อมกันคงล้นห้อง
เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นไม่ขาด แม้ชิตาภาจะให้ลูกน้องเข้าไปถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุแล้ว ยังมีคนอีกมากที่รอเข้าไป ทั้งเขา เธอ ลูกน้องเธอ และหน่วยกู้ภัยที่มารอเก็บศพ นี่ยังไม่นับหมอนิติเวช ร.ต.อ.นพ. ภูธเรศ ที่พาร่างสูงหล่อเหลามายืนยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้าเมื่อรู้นามปากกาของเขา (จากการแนะนำอย่างกระตือรือร้นของชิตาภา) พลางพูดคุยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
‘แม่กะแฟนผมชอบอ่านนิยายของคุณมากเลยฮะ โอ้ย เจออย่างนี้ต้องขอลายเซ็นนะเนี่ย”
‘อะไรกัน ยัยพริมน่ะเหรอชอบอ่านนิยายคุณวรรธด้วย แปลกแฮะ นึกว่ายัยพริมไม่อ่านนิยายรักซะอีก’ น้ำเสียงผู้กองสาวหยอกเย้า ก่อนพาหมอและจ่าอีกคนเข้าไปในห้องที่เกิดเหตุ โดยมีเขาที่ได้รับอนุญาตว่า
‘ให้คุณวรรธเข้ามาเถอะ เผื่อ...จะได้ออกไปเร็วๆ’
ตอนแรกเขาก็นึกว่าชิตาภาต้องการไล่เขาออกไป แต่เมื่อเห็นสภาพห้อง เขาก็เข้าใจ...
ห้องนั้นเล็กและค่อนข้างอับเพราะเจ้าของไม่ได้เปิดหน้าต่าง จ่าที่เข้ามาด้วยพยายามเปิดหน้าต่างฝืดๆ ที่มีอยู่เพียงสองบานในห้องอย่างค่อนข้างกินแรง หากวรรธนิศน์ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือที่จะเข้าไปช่วย ชายหนุ่มได้แต่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
ทั้งชีวิตมานี่เขามั่นใจในเรื่องความใจกล้า ใครว่าหนังผี หนังสยองขวัญเรื่องไหนโหดเลือดสาด ชายหนุ่มยังนั่งกินป๊อปคอร์นไปด้วยดูไปด้วยอย่างสบายอารมณ์ แต่นี่...
ภาพร่างไร้วิญญาณตรงหน้าไม่ได้เป็นแค่ฉาก...
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งตลบไปทั้งห้อง แม้จะเปิดหน้าต่างออกแล้วก็ตาม แต่ต้นเหตุของกลิ่นคือเลือดที่นองอยู่บนพื้นนั้นจับตัวกันเป็นลิ่มบางๆ เป็นแผ่น ใบหน้าซีกหนึ่งของผู้ตายเอียงพับซบลงกับกองเลือด ทำให้เขาได้เห็นแผลที่ขมับค่อนข้างถนัด ดวงตาเปิดลืมเพียงครึ่งๆ ไร้แววแห่งชีวิต ริมฝีปากอ้าค้างคล้ายมีเรื่องคาใจ มือสองข้างปัดป่าย ในขณะที่ปืนกระบอกเล็กตกอยู่ไม่ห่างจากมือนัก
วรรธนิศน์รับกล้องที่จู่ๆ ชิตาภายื่นมาให้แทบไม่ทัน ก่อนที่หญิงสาวที่ในอ้อมแขนตอนนี้มีสมุดจดบันทึกที่เกิดเหตุจะก้มลงไปจนอีกไม่กี่เซ็นต์ก็จะถึงใบหน้าศพ หญิงสาวมองอย่างพินิจพิเคราะห์ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้น “กระสุนระยะประชิดเลยนะเนี่ย”
“ใช่ฮะ” ภูธเรศเอามือที่สวมถุงมือยางเรียบร้อยแล้วช้อนมือศพขึ้นมา นักเขียนหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าทั้งแขนแข็งทื่อ เมื่อลองยกสะโพกก็เช่นเดียวกับแขน คือแข็งเกร็งไปหมด “Rigor มาถึงตรงนี้แล้ว ส่วน Livor ก็...” นิติเวชหนุ่มก้มลงมองท่อนแขนค้างแข็ง ก่อนจะเลิกเสื้อคนตายบริเวณเอวขึ้น ออกแรงดันศพให้พลิกขึ้นหน่อยหนึ่ง ส่งผลให้ดวงตาไร้แววมองตรงไปที่วรรธนิศน์ ร่างสูงเบิกตากว้าง ตัดสินใจเดินไปเกาะอยู่กับชิตาภาอย่างรวดเร็ว ภูธเรศเอานิ้วจิ้มเนื้อบริเวณเอวด้านหลังที่เขาเห็นเป็นรอยแดงเป็นปื้น บริเวณนั้นถูกนิ้วจิ้มเข้าไปก็เป็นสีขาว แต่เมื่อปล่อยนิ้วก็กลับเป็นสีแดงเหมือนเดิมช้าๆ
“เหมือนใกล้จะฟิกซ์แล้ว อืม...ประมาณ 6 – 8 ชม. แล้วล่ะฮะ”
ชิตาภาพยักหน้า ก่อนจะหันมาอธิบายสั้นๆ กับนักเขียนหนุ่มโดยไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายหน้าซีดเพียงใด “นี่เป็นการประเมินเวลาการตายโดยการดูจากสภาพศพค่ะ คุณหมอกำลังดูการแข็งเกร็งของศพ (Rigor Mortis) และการปรากฏรอยจ้ำสีชมพู (Livor Mortis) หรือที่คุณเห็นว่ามันเป็นสีแดงนี่แหละ อธิบายง่ายๆ มันคือการที่เลือดตกลงสู่เบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วง เช่นถ้าศพอยู่ในท่านอนเลือดจะตกไปที่ท้ายทอย หลัง ด้านหลังของแขนขาน่ะค่ะ การจะเกิดปฏิกิริยาพวกนี้ต้องอาศัยระยะเวลา หมอจะระบุเวลาตายได้จากการเกิดปฏิกิริยาแบบนี้เองค่ะ”
“Postmortem (การเปลี่ยนแปลงภายหลังตาย) ไม่ได้มีแค่สองอย่างนี้นะฮะ แต่เราประเมินจากสองอย่างนี้ได้ง่ายหน่อยเท่านั้นเอง” นิติเวชหนุ่มเสริม ก่อนเดินวนมาทางหัวศพ ก่อนจะหันหน้ามาทางเขา แล้วพูดบางสิ่งที่ทำให้เขาแทบผวา
“คุณวรรธมาช่วยจับหัวศพพลิกหน่อยฮะ ไหนๆ มาเก็บข้อมูล จะได้ล้วงลึกถึงสัมผัสของศพเลย”
สีหน้าคนพูดยิ้มๆ หากคนฟังเหมือนกำลังขาดอากาศหายใจ วรรธนิศน์เดินแข็งทื่อเข้าไปหานิติเวชหนุ่ม ในมือเขาใส่ถุงมือเตรียมพร้อมแล้ว หากสีหน้าพะอืดพะอมที่เขาเผลอแสดงออกไปบางอย่างทำให้ชิตาภาเบรกไว้ทันก่อนที่เขาจะจับศพจริงๆ “คุณวรรธคะ ไม่ต้องก็ได้ค่ะ หมอก็...ให้คนอื่นมาทำแทนก็ได้” หญิงสาวกวักมือเรียกกู้ภัยคนหนึ่งที่ยืนรออยู่นอกห้องให้เข้ามาช่วยจับหัวศพพลิก ซึ่งก็เป็นไปอย่างยากลำบากเมื่อบริเวณศีรษะและลำคอของศพค้างแข็งอยู่ในท่าคอเอียงพับไปแล้ว
และวรรธนิศน์หวังว่ามันจะเอียงพับตลอดไป แต่...
ทันทีที่ใบหน้าด้านข้างที่ถูกทับอยู่แหงนเงยขึ้นได้ นักเขียนหนุ่มก็เผลอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านี่คือความผิดพลาดอย่างมหันต์ก็ตอนที่กลิ่นคาวที่ทวีความเข้มข้นขึ้นเข้าไปในปอดเต็มๆ ดวงตาสีดำสนิทเบิกโพลงเมื่อเห็นซีกหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด และกะโหลกที่เหมือนจะ...ไม่เข้ารูปเท่าไหร่ เนื้อสมองสีเหลืองออกเทาบางส่วนไหลปะปนมากับลิ่มเลือด คลุกเคล้าเข้ากันจนเกือบแยกสีไม่ออก หากภูธเรศก็ทำสิ่งที่เขาตะลึงมากกว่านั้นคือแหวกเส้นผมเพื่อดูสภาพบาดแผลที่เป็นรอยแฉกกว้างอย่างเห็นได้ชัด “ทางออกนี่ชัดเลย กระสุนทะลุ”
“ก็จ่อประชิดขนาดนี้ก็ควรทะลุหรอกค่ะ”
“คุณว่าฆ่าตัวตายรึเปล่าผู้กอง?”
“คุณหมอล่ะคะว่าไง ถ้าให้ภาดูคร่าวๆ ตอนนี้ยังฟันธงไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้ภาต้องเก็บเขม่าปืนที่มือศพก่อนแล้วล่ะ”
สองคนสนทนากันไปเรื่อยๆ โดยมีเสียงลั่นชัตเตอร์รัวๆ และนักเขียนหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะเป็นลมเป็นฉากหลัง
ชิตาภาที่หันมาเห็นสภาพสีหน้าของเขาแล้วในตอนนี้เอ่ยขึ้นอย่างตกใจ “คุณวรรธ! ไหวรึเปล่าคะ ออกไปข้างนอกก่อนได้นะคะ เดี๋ยว...”
ร่างสูงไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบก็รีบเผ่นพรวดออกมาจากห้องนั้นเหมือนนักโทษโดนปล่อยออกจากคุก ทิ้งให้หญิงสาวมองตามไปอย่างงงงัน ก่อนจะหันมาเปรยกับนิติเวชหนุ่มที่ยืนยิ้มๆ
“ไม่รู้คุณวรรธเป็นอะไรนะคะ พรวดพราดออกไปอย่างนั้น...”