บทนำ
http://ppantip.com/topic/30948936
บทที่ 1
เสียงโครมครามที่ดังขึ้นผสานกับเสียงกรีดร้องเบาๆ ของผู้หญิงทำให้วรรธนิศน์เงยหน้าขึ้นจากหมอนนุ่ม ดวงตาสีเทาเข้มหรี่ปรือด้วยความงัวเงีย เมื่อเหลือบตาไปมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าเป็นเวลาเช้าตรู่ก็ฟุบลงไปบนหมอนอีกครั้ง
โครม!
ศีรษะทุยได้รูปผงกขึ้นอีกรอบ แต่ห่างกันไม่ถึงสิบวินาทีเสียงครืดหนักๆ เหมือนเสียงลากของหนักๆ ก็ดังยาว ทำเอาชายหนุ่มต้องลุกนั่งรวบรวมสติก่อนคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับข้างบ้านที่ปิดทิ้งไว้มานานหรือเปล่า หรืออรรถ ผู้ชายบ้านตรงข้ามกับเขาจะขนขยะแปลกๆ ในบ้านมาทิ้งไว้หน้าบ้านที่ติดกับเขาอีก
ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้น โซซัดโซเซไปที่หน้าต่างที่เปิดเอาไว้ โชคดีห้องเขาหันไปทางบ้านข้างๆ จึงได้เห็นว่าไม่ใช่คุณอรรถหรอกที่กำลังลากตู้เย็นใบใหญ่ลงมาจากรถโฟร์วีลคันนั้น แต่เป็นหญิงสาวร่างโปร่งบางคนหนึ่ง...
ฮะ! อะไรนะ! ตู้เย็น?!
วรรธนิศน์หยีตาสู้แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้าตาเต็มที่ ก่อนตะโกนลงไป
“คุณ...คู๊ณณณ...”
หญิงสาวคนนั้นเงยหน้าขึ้นมอง ดวงหน้านั้นย้อนแสงจนชายหนุ่มมองเห็นไม่ถนัด เหมือนเธอพยายามจะตอบอะไรซักอย่างแต่มือที่กำลังพยายามทั้งประคองทั้งดันตู้เย็นขนาดหกคิวให้ค่อยๆ ไหลไปตามไม้กระดานที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอามาพาดเป็นทางลาดชั่วคราวจากท้ายรถกระบะเหมือนจะลื่น เพราะหญิงสาวหวีดร้องออกมาสั้นๆ ก่อนพยายามประคองไม่ให้ตู้เย็นนั้นล้มทับใส่ตัวเอง
“เฮ้ย! รอเดี๋ยวนะ จะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ!”
ชายหนุ่มกระโจนลงบันไดก้าวละสองขั้น ก่อนพรวดพราดเปิดประตูบ้านและประตูรั้วอย่างรวดเร็วประหนึ่งจะทำลายสถิติโอลิมปิก แล้ววิ่งมาช่วยประคองตู้เย็นยักษ์สีเงินวาวอีกแรงหนึ่ง
“ไม่เป็นไรนะคุณ”
เธอไม่ได้ตอบ เพียงแต่สั่นศีรษะ ทั้งสองค่อยๆ ประคองให้ตู้เย็นลงมาถึงพื้นราบได้อย่างปลอดภัยในที่สุด หญิงสาวหันมายิ้มกว้างให้นักเขียนหนุ่ม ก่อนเอ่ยเสียงใส “ขอบคุณค่ะ คุณ...”
“วรรธครับ” เขาบอกชื่อเล่นไป “เอ่อ...นี่คุณกำลังขนของเข้าบ้าน จะย้ายมาอยู่ที่นี่หรือครับ?”
หญิงสาวยิ่งยิ้มจนตาหยี “ใช่แล้วค่ะ! ภาเพิ่งซื้อบ้านหลังนี้ได้ เมื่อกี้เห็นคุณตะโกนอยู่ตรงบ้านหลังนั้น ยังไงก็...ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ คุณวรรธ”
“ฮะ ยินดีฮะ” วรรธนิศน์รับคำ อดไม่ได้ที่จะยิ้มจางๆ ตอบรอยยิ้มสดใสนั่น “แล้วนั่นคุณ...กำลังทำอะไรฮะนั่น”
นิ้วเรียวแข็งแรงชี้ไปที่เชือกเส้นใหญ่ที่หญิงสาวเอามาพันไว้รอบๆ ตู้เย็น ก่อนจะถือปลายเชือกไว้มั่นในสองมือเรียวเล็กคู่นั้น
“ก็...ลากตู้เย็นนี่เข้าบ้านไงคะ ภาเอาไม้กระดานปูพื้นเตรียมไว้ก่อนแล้ว ค่อยๆ ลากไปก็เข้าไปในบ้านได้แล้วล่ะค่ะ”
คำตอบง่ายๆ พร้อมรอยยิ้มที่ยังเจิดจ้าอยู่ทำเอาวรรธนิศน์เริ่มรู้สึกมึนขึ้นมาทันที “แล้วไม่มีใครมาช่วยคุณขนของเข้าบ้านเลยเหรอเนี่ย”
“พอดีทุกคนไม่ว่างน่ะค่ะ จะตาม...คนอื่นๆ มาช่วยก็เกรงใจ เรื่องแค่นี้เอง ข้าวของไม่กี่อย่าง ภาพอทำเองได้ค่ะ”
หญิงสาวยังยิ้มไม่เลิก รอยยิ้มนั้นคล้ายกระตุกอะไรบางอย่างให้ชายหนุ่มอยากหันหลังกลับ...
นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนี้ ตั้งแต่เลิกกับปีย์วรา...
“ผมไม่กวนละครับ ตามสบายนะ”
เหมือนหนีจากของร้อน ชายหนุ่มตัดสินใจหันหลังกลับ เดินดุ่มๆ เข้าบ้านตัวเอง ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ หรือเธอจะเอาตู้เย็นใบใหญ่นั้นเข้าบ้านได้อย่างไร
แต่เมื่อเผลอหันไปมองอีกทีตอนกำลังจะล็อคประตูรั้ว ภาพหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งใช้เชือกพันมือตัวเองทั้งสองข้างก่อนลากตู้เย็นเขยิบเข้าไปในบ้านทีละน้อย ดูเหมือนการใช้ไม้กระดานจะฝืดมากกว่าที่เธอคิดเอาไว้ ใบหน้านวลเริ่มแดงก่ำ เหมือนสิ่งที่เธอลากจะไม่ใช่ตู้เย็น แต่เป็นรถโฟร์วีลที่ขนของมา
ชายหนุ่มเผลอถอนหายใจยาวเมื่อตัดสินใจถอดล็อคประตูรั้วอีกครั้ง ก่อนจะพาตัวเองไปเป็นพนักงานขนของชั่วคราว ช่วย ‘เพื่อนบ้านคนใหม่’ ย้ายของเข้าบ้านตลอดทั้งเช้า
...โดยลืมไปว่าเขายังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลย
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ช่วย ไม่ได้คุณล่ะภาแย่แน่ๆ”
ชิตาภายิ้มกว้าง สองตาไม่ได้มองถนนข้างหน้า หากแลมองสองข้างทางอย่างสนอกสนใจคล้ายเด็กๆ “คุณใจดีมากๆ เลยจริงๆ นะ คุณวรรธ”
วรรธนิศน์ไม่ได้ตอบ ชายหนุ่มกำลังตั้งสมาธิกับการมองซ้ายขวาก่อนที่จะค่อยๆ เหยียบคันเร่งพารถโฟร์วีลของหญิงสาวออกจากปากซอย
“ตอนแรกน่ะ ภาก็คิดว่าจะให้เพื่อนๆ ที่เป็นผู้ชายมาช่วยอยู่หรอกค่ะ” หญิงสาวยังคุยจ้อ ใบหน้ายิ้มแย้มรื่นเริง “แต่ว่าบางคนก็ออกต่างจังหวัด บางคนก็ติดราช...อ่า...ติดงานน่ะค่ะ ส่วนคนอื่นๆ ก็...ไม่ว่าง พอดีคนที่ทำงานน้อย เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็แยกย้ายไปทำงานที่อื่นแล้ว ภาไม่ค่อยมีญาติผู้ชายด้วย ที่คุณเห็นพวกตู้ที่ภาขนมาน่ะ นั่นภาขอแรงพวกเพื่อนบ้านเก่าที่มีลูกชายหลานชายช่วยยกขึ้นนะคะ ถึงบอกไงว่าถ้าไม่ได้คุณล่ะก็ภาแย่แน่ๆ”
“พวกที่รับจ้างขนย้ายล่ะฮะ?” วรรธนิศน์เอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายเงียบลง
“ภาไม่ไว้ใจค่ะ ของบางอย่างมันก็ต้องขนย้ายระมัดระวังหน่อย ภากลัวว่าเขาจะมือหนักกัน ทำของภาตกแตกเสียหาย ของบางอย่าง...ก็หามาแทนไม่ได้แล้วน่ะค่ะ”
“ของมีค่าเหรอฮะ?”
“ทางใจค่ะ” หญิงสาวผุดยิ้มกว้าง ดวงตาอ่อนโยนลงคล้ายรำลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นสุข “ราคาค่างวดไม่เท่าไหร่ แต่คุณค่าทางใจมันมากมายสำหรับภา ภาเลยเก็บเอาไว้น่ะค่ะ”
นั่นคือคำตอบของกล่องน้อยกล่องใหญ่สารพัดสินะ นอกจากกล่องหนังสือที่ทำเอาเขาหลังเกือบหักตอนยกขึ้น ไม่ใช่กล่องเดียวด้วย...
แล้วแม่คุณจะทำยังไงนั่นถ้าเขาไม่เข้ามาช่วยเช้าวันนี้?
ตอนที่เขาช่วยหญิงสาวยกข้าวของ ‘มีค่าทางใจ’ ที่ดูเหมือนของเก่ามือสองนั่นเข้าบ้านกล่องแล้วกล่องเล่า วรรธนิศน์เหลือบเห็นม่านของบ้านคุณอรรถเปิดออก ใบหน้าแข็งเกร็งของเจ้าของบ้านหลังนั้นโผล่ออกมาดูตรงหน้าต่างนิดเดียว ก่อนจะเอ่ยถาม
‘มีคนย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่หรือครับ’
‘ครับ เพื่อนบ้านใหม่’ เขาตอบไปอย่างนั้น
สีหน้าของเจ้าของบ้านตรงข้ามแลดูไม่สบอารมณ์นัก เสียงพึมพำไม่เบานักของอีกฝ่ายแว่วมา ‘พวกคนมาใหม่นี่ไม่รู้จะมาสร้างความรำคาญให้คนที่เขาอยู่ก่อนรึเปล่า น่าเบื่อจริงๆ’
ผู้ชายคนนั้นบ่น ก่อนที่ม่านจะถูกปิดลง ไม่มีวี่แววว่าอรรถจะออกมาช่วยเขาขนของ หรือแสดงน้ำใจใดๆ ต่อเพื่อนบ้านใหม่นี้
ไม่แปลก...วันนี้วันอาทิตย์ ใครมันจะบ้าตื่นมาตอนเช้าตรู่วันอาทิตย์ ถ้ามันคือวันพักผ่อนที่เหลือเพียงวันเดียวก่อนที่จะต้องไปผจญกับหน้าที่การงานอันเคร่งเครียดในวันต่อไป
แต่เขาไม่เหมือนกัน อาชีพหลักที่เขายึดอยู่ในขณะนี้เอื้อเวลาให้เขาจัดการบริหารเอาตามใจชอบนั่นล่ะ แต่นั่นหมายความว่าหากเขาจะเข้านอนตอนตีสี่วันอาทิตย์ เขาก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องตื่นมาเจ็ดโมงเช้าวันอาทิตย์เพื่อที่จะมาช่วยผู้หญิงซักคนขนของเข้าบ้านนี่นา
ยิ่งปัญหาของเขาก็น่าปวดหัวพออยู่แล้วด้วย
วันก่อนที่ยัย บ.ก.พิษ (ฉายาที่เขาตั้งให้ศิรพิชย์) นัดให้เขาไปคุยเรื่องโปรเจ็คนิยายใหม่กับนักเขียนของสำนักพิมพ์อีกสองคน พวกเขาได้ทำความรู้จักกับ ‘ที่ปรึกษา’ ที่ไม่รู้ว่ายัยนั่นไปค้นฟ้าคว้าดาวหามาได้ยังไงตั้ง 3 คน เหมือนจะตั้งให้เป็นที่ปรึกษาประจำโปรเจ็คนี้ไปเลยโดยที่ปรึกษาหนึ่งคนจะดีลกับนักเขียนหนึ่งคนเป็นหลักอยู่แล้ว แต่นักเขียนก็สามารถขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษาที่ตัวเองไม่ได้ดีลหลักได้เหมือนกัน
แล้วเขาที่รับหน้าที่เขียนนิยายที่เกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ก็ได้ที่ปรึกษาเป็นตำรวจสืบสวนสอบสวน แต่พอเขาเล่าแนวทางที่จะเขียนคร่าวๆ ให้ฟัง คุณตำรวจกลับทำหน้าปั้นยาก
‘ผมไม่ถนัดแนวนี้เลยคุณวรรธ’
อิบอ๋ายสิ! ชายหนุ่มอยากโพล่งไปอย่างนั้น ถ้าตำรวจไม่ถนัดสืบสวน แล้วใครมันจะถนัด? แล้วเป็นตำรวจประสาอะไรทำไมไม่ถนัด?
แต่สงสัยว่าถึงเขาจะไม่พูดแต่คุณตำรวจที่ ‘ไม่ถนัดสืบสวนสอบสวน’ คงถนัดอ่านสีหน้าพอสมควร เพราะตำรวจหนุ่มกลับหัวเราะออกมาเบาๆ ส่งให้ใบหน้าคร้ามเข้มดูดีขึ้น...หล่อพอเป็นพระเอกนิยายเขาได้เหมือนกันแฮะ
‘ผมหมายถึงแนววิทยาศาสตร์น่ะครับ ปกติเราจะแบ่งตำรวจสายนี้ออกเป็นอีกหน่วยหนึ่งนะ เรียงว่ากองพิสูจน์หลักฐาน ส่วนผมเนี่ย ประจำหน้าที่สืบสวนสอบสวน ขอบเขตงานที่คุณวรรธอยากเขียนแบบแนว CSI เนี่ย คุณวรรธต้องถามเอากับพิสูจน์หลักฐานแล้วล่ะครับ’
‘ผมไม่รู้จักพวกพิสูจน์หลักฐานซักคน’ จริงๆ คือไม่รู้จักตำรวจซักคน มี พ.ต.ท. นาคินทร์ สารวัตรสืบสวนสอบสวนคนนี้แหละที่เขาเพิ่งรู้จักคนแรก
‘ไม่เป็นไรฮะ ผมพอติดต่อให้ได้อยู่หรอก อย่ากังวลไป ยังไงผมก็ยังพอให้คำปรึกษาคร่าวๆ ได้อยู่หรอก แต่ถ้าจะเอาแบบรู้ลึกรู้จริงเนี่ยก็ต้องรอถามพวกนั้นน่ะนะ’
สืบซ่อนรัก (ชื่ออย่างไม่เป็นทางการ) : บทที่ 1
บทที่ 1
เสียงโครมครามที่ดังขึ้นผสานกับเสียงกรีดร้องเบาๆ ของผู้หญิงทำให้วรรธนิศน์เงยหน้าขึ้นจากหมอนนุ่ม ดวงตาสีเทาเข้มหรี่ปรือด้วยความงัวเงีย เมื่อเหลือบตาไปมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าเป็นเวลาเช้าตรู่ก็ฟุบลงไปบนหมอนอีกครั้ง
โครม!
ศีรษะทุยได้รูปผงกขึ้นอีกรอบ แต่ห่างกันไม่ถึงสิบวินาทีเสียงครืดหนักๆ เหมือนเสียงลากของหนักๆ ก็ดังยาว ทำเอาชายหนุ่มต้องลุกนั่งรวบรวมสติก่อนคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับข้างบ้านที่ปิดทิ้งไว้มานานหรือเปล่า หรืออรรถ ผู้ชายบ้านตรงข้ามกับเขาจะขนขยะแปลกๆ ในบ้านมาทิ้งไว้หน้าบ้านที่ติดกับเขาอีก
ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้น โซซัดโซเซไปที่หน้าต่างที่เปิดเอาไว้ โชคดีห้องเขาหันไปทางบ้านข้างๆ จึงได้เห็นว่าไม่ใช่คุณอรรถหรอกที่กำลังลากตู้เย็นใบใหญ่ลงมาจากรถโฟร์วีลคันนั้น แต่เป็นหญิงสาวร่างโปร่งบางคนหนึ่ง...
ฮะ! อะไรนะ! ตู้เย็น?!
วรรธนิศน์หยีตาสู้แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้าตาเต็มที่ ก่อนตะโกนลงไป
“คุณ...คู๊ณณณ...”
หญิงสาวคนนั้นเงยหน้าขึ้นมอง ดวงหน้านั้นย้อนแสงจนชายหนุ่มมองเห็นไม่ถนัด เหมือนเธอพยายามจะตอบอะไรซักอย่างแต่มือที่กำลังพยายามทั้งประคองทั้งดันตู้เย็นขนาดหกคิวให้ค่อยๆ ไหลไปตามไม้กระดานที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอามาพาดเป็นทางลาดชั่วคราวจากท้ายรถกระบะเหมือนจะลื่น เพราะหญิงสาวหวีดร้องออกมาสั้นๆ ก่อนพยายามประคองไม่ให้ตู้เย็นนั้นล้มทับใส่ตัวเอง
“เฮ้ย! รอเดี๋ยวนะ จะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ!”
ชายหนุ่มกระโจนลงบันไดก้าวละสองขั้น ก่อนพรวดพราดเปิดประตูบ้านและประตูรั้วอย่างรวดเร็วประหนึ่งจะทำลายสถิติโอลิมปิก แล้ววิ่งมาช่วยประคองตู้เย็นยักษ์สีเงินวาวอีกแรงหนึ่ง
“ไม่เป็นไรนะคุณ”
เธอไม่ได้ตอบ เพียงแต่สั่นศีรษะ ทั้งสองค่อยๆ ประคองให้ตู้เย็นลงมาถึงพื้นราบได้อย่างปลอดภัยในที่สุด หญิงสาวหันมายิ้มกว้างให้นักเขียนหนุ่ม ก่อนเอ่ยเสียงใส “ขอบคุณค่ะ คุณ...”
“วรรธครับ” เขาบอกชื่อเล่นไป “เอ่อ...นี่คุณกำลังขนของเข้าบ้าน จะย้ายมาอยู่ที่นี่หรือครับ?”
หญิงสาวยิ่งยิ้มจนตาหยี “ใช่แล้วค่ะ! ภาเพิ่งซื้อบ้านหลังนี้ได้ เมื่อกี้เห็นคุณตะโกนอยู่ตรงบ้านหลังนั้น ยังไงก็...ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ คุณวรรธ”
“ฮะ ยินดีฮะ” วรรธนิศน์รับคำ อดไม่ได้ที่จะยิ้มจางๆ ตอบรอยยิ้มสดใสนั่น “แล้วนั่นคุณ...กำลังทำอะไรฮะนั่น”
นิ้วเรียวแข็งแรงชี้ไปที่เชือกเส้นใหญ่ที่หญิงสาวเอามาพันไว้รอบๆ ตู้เย็น ก่อนจะถือปลายเชือกไว้มั่นในสองมือเรียวเล็กคู่นั้น
“ก็...ลากตู้เย็นนี่เข้าบ้านไงคะ ภาเอาไม้กระดานปูพื้นเตรียมไว้ก่อนแล้ว ค่อยๆ ลากไปก็เข้าไปในบ้านได้แล้วล่ะค่ะ”
คำตอบง่ายๆ พร้อมรอยยิ้มที่ยังเจิดจ้าอยู่ทำเอาวรรธนิศน์เริ่มรู้สึกมึนขึ้นมาทันที “แล้วไม่มีใครมาช่วยคุณขนของเข้าบ้านเลยเหรอเนี่ย”
“พอดีทุกคนไม่ว่างน่ะค่ะ จะตาม...คนอื่นๆ มาช่วยก็เกรงใจ เรื่องแค่นี้เอง ข้าวของไม่กี่อย่าง ภาพอทำเองได้ค่ะ”
หญิงสาวยังยิ้มไม่เลิก รอยยิ้มนั้นคล้ายกระตุกอะไรบางอย่างให้ชายหนุ่มอยากหันหลังกลับ...
นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนี้ ตั้งแต่เลิกกับปีย์วรา...
“ผมไม่กวนละครับ ตามสบายนะ”
เหมือนหนีจากของร้อน ชายหนุ่มตัดสินใจหันหลังกลับ เดินดุ่มๆ เข้าบ้านตัวเอง ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ หรือเธอจะเอาตู้เย็นใบใหญ่นั้นเข้าบ้านได้อย่างไร
แต่เมื่อเผลอหันไปมองอีกทีตอนกำลังจะล็อคประตูรั้ว ภาพหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งใช้เชือกพันมือตัวเองทั้งสองข้างก่อนลากตู้เย็นเขยิบเข้าไปในบ้านทีละน้อย ดูเหมือนการใช้ไม้กระดานจะฝืดมากกว่าที่เธอคิดเอาไว้ ใบหน้านวลเริ่มแดงก่ำ เหมือนสิ่งที่เธอลากจะไม่ใช่ตู้เย็น แต่เป็นรถโฟร์วีลที่ขนของมา
ชายหนุ่มเผลอถอนหายใจยาวเมื่อตัดสินใจถอดล็อคประตูรั้วอีกครั้ง ก่อนจะพาตัวเองไปเป็นพนักงานขนของชั่วคราว ช่วย ‘เพื่อนบ้านคนใหม่’ ย้ายของเข้าบ้านตลอดทั้งเช้า
...โดยลืมไปว่าเขายังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลย
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ช่วย ไม่ได้คุณล่ะภาแย่แน่ๆ”
ชิตาภายิ้มกว้าง สองตาไม่ได้มองถนนข้างหน้า หากแลมองสองข้างทางอย่างสนอกสนใจคล้ายเด็กๆ “คุณใจดีมากๆ เลยจริงๆ นะ คุณวรรธ”
วรรธนิศน์ไม่ได้ตอบ ชายหนุ่มกำลังตั้งสมาธิกับการมองซ้ายขวาก่อนที่จะค่อยๆ เหยียบคันเร่งพารถโฟร์วีลของหญิงสาวออกจากปากซอย
“ตอนแรกน่ะ ภาก็คิดว่าจะให้เพื่อนๆ ที่เป็นผู้ชายมาช่วยอยู่หรอกค่ะ” หญิงสาวยังคุยจ้อ ใบหน้ายิ้มแย้มรื่นเริง “แต่ว่าบางคนก็ออกต่างจังหวัด บางคนก็ติดราช...อ่า...ติดงานน่ะค่ะ ส่วนคนอื่นๆ ก็...ไม่ว่าง พอดีคนที่ทำงานน้อย เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็แยกย้ายไปทำงานที่อื่นแล้ว ภาไม่ค่อยมีญาติผู้ชายด้วย ที่คุณเห็นพวกตู้ที่ภาขนมาน่ะ นั่นภาขอแรงพวกเพื่อนบ้านเก่าที่มีลูกชายหลานชายช่วยยกขึ้นนะคะ ถึงบอกไงว่าถ้าไม่ได้คุณล่ะก็ภาแย่แน่ๆ”
“พวกที่รับจ้างขนย้ายล่ะฮะ?” วรรธนิศน์เอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายเงียบลง
“ภาไม่ไว้ใจค่ะ ของบางอย่างมันก็ต้องขนย้ายระมัดระวังหน่อย ภากลัวว่าเขาจะมือหนักกัน ทำของภาตกแตกเสียหาย ของบางอย่าง...ก็หามาแทนไม่ได้แล้วน่ะค่ะ”
“ของมีค่าเหรอฮะ?”
“ทางใจค่ะ” หญิงสาวผุดยิ้มกว้าง ดวงตาอ่อนโยนลงคล้ายรำลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นสุข “ราคาค่างวดไม่เท่าไหร่ แต่คุณค่าทางใจมันมากมายสำหรับภา ภาเลยเก็บเอาไว้น่ะค่ะ”
นั่นคือคำตอบของกล่องน้อยกล่องใหญ่สารพัดสินะ นอกจากกล่องหนังสือที่ทำเอาเขาหลังเกือบหักตอนยกขึ้น ไม่ใช่กล่องเดียวด้วย...
แล้วแม่คุณจะทำยังไงนั่นถ้าเขาไม่เข้ามาช่วยเช้าวันนี้?
ตอนที่เขาช่วยหญิงสาวยกข้าวของ ‘มีค่าทางใจ’ ที่ดูเหมือนของเก่ามือสองนั่นเข้าบ้านกล่องแล้วกล่องเล่า วรรธนิศน์เหลือบเห็นม่านของบ้านคุณอรรถเปิดออก ใบหน้าแข็งเกร็งของเจ้าของบ้านหลังนั้นโผล่ออกมาดูตรงหน้าต่างนิดเดียว ก่อนจะเอ่ยถาม
‘มีคนย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่หรือครับ’
‘ครับ เพื่อนบ้านใหม่’ เขาตอบไปอย่างนั้น
สีหน้าของเจ้าของบ้านตรงข้ามแลดูไม่สบอารมณ์นัก เสียงพึมพำไม่เบานักของอีกฝ่ายแว่วมา ‘พวกคนมาใหม่นี่ไม่รู้จะมาสร้างความรำคาญให้คนที่เขาอยู่ก่อนรึเปล่า น่าเบื่อจริงๆ’
ผู้ชายคนนั้นบ่น ก่อนที่ม่านจะถูกปิดลง ไม่มีวี่แววว่าอรรถจะออกมาช่วยเขาขนของ หรือแสดงน้ำใจใดๆ ต่อเพื่อนบ้านใหม่นี้
ไม่แปลก...วันนี้วันอาทิตย์ ใครมันจะบ้าตื่นมาตอนเช้าตรู่วันอาทิตย์ ถ้ามันคือวันพักผ่อนที่เหลือเพียงวันเดียวก่อนที่จะต้องไปผจญกับหน้าที่การงานอันเคร่งเครียดในวันต่อไป
แต่เขาไม่เหมือนกัน อาชีพหลักที่เขายึดอยู่ในขณะนี้เอื้อเวลาให้เขาจัดการบริหารเอาตามใจชอบนั่นล่ะ แต่นั่นหมายความว่าหากเขาจะเข้านอนตอนตีสี่วันอาทิตย์ เขาก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องตื่นมาเจ็ดโมงเช้าวันอาทิตย์เพื่อที่จะมาช่วยผู้หญิงซักคนขนของเข้าบ้านนี่นา
ยิ่งปัญหาของเขาก็น่าปวดหัวพออยู่แล้วด้วย
วันก่อนที่ยัย บ.ก.พิษ (ฉายาที่เขาตั้งให้ศิรพิชย์) นัดให้เขาไปคุยเรื่องโปรเจ็คนิยายใหม่กับนักเขียนของสำนักพิมพ์อีกสองคน พวกเขาได้ทำความรู้จักกับ ‘ที่ปรึกษา’ ที่ไม่รู้ว่ายัยนั่นไปค้นฟ้าคว้าดาวหามาได้ยังไงตั้ง 3 คน เหมือนจะตั้งให้เป็นที่ปรึกษาประจำโปรเจ็คนี้ไปเลยโดยที่ปรึกษาหนึ่งคนจะดีลกับนักเขียนหนึ่งคนเป็นหลักอยู่แล้ว แต่นักเขียนก็สามารถขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษาที่ตัวเองไม่ได้ดีลหลักได้เหมือนกัน
แล้วเขาที่รับหน้าที่เขียนนิยายที่เกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ก็ได้ที่ปรึกษาเป็นตำรวจสืบสวนสอบสวน แต่พอเขาเล่าแนวทางที่จะเขียนคร่าวๆ ให้ฟัง คุณตำรวจกลับทำหน้าปั้นยาก
‘ผมไม่ถนัดแนวนี้เลยคุณวรรธ’
อิบอ๋ายสิ! ชายหนุ่มอยากโพล่งไปอย่างนั้น ถ้าตำรวจไม่ถนัดสืบสวน แล้วใครมันจะถนัด? แล้วเป็นตำรวจประสาอะไรทำไมไม่ถนัด?
แต่สงสัยว่าถึงเขาจะไม่พูดแต่คุณตำรวจที่ ‘ไม่ถนัดสืบสวนสอบสวน’ คงถนัดอ่านสีหน้าพอสมควร เพราะตำรวจหนุ่มกลับหัวเราะออกมาเบาๆ ส่งให้ใบหน้าคร้ามเข้มดูดีขึ้น...หล่อพอเป็นพระเอกนิยายเขาได้เหมือนกันแฮะ
‘ผมหมายถึงแนววิทยาศาสตร์น่ะครับ ปกติเราจะแบ่งตำรวจสายนี้ออกเป็นอีกหน่วยหนึ่งนะ เรียงว่ากองพิสูจน์หลักฐาน ส่วนผมเนี่ย ประจำหน้าที่สืบสวนสอบสวน ขอบเขตงานที่คุณวรรธอยากเขียนแบบแนว CSI เนี่ย คุณวรรธต้องถามเอากับพิสูจน์หลักฐานแล้วล่ะครับ’
‘ผมไม่รู้จักพวกพิสูจน์หลักฐานซักคน’ จริงๆ คือไม่รู้จักตำรวจซักคน มี พ.ต.ท. นาคินทร์ สารวัตรสืบสวนสอบสวนคนนี้แหละที่เขาเพิ่งรู้จักคนแรก
‘ไม่เป็นไรฮะ ผมพอติดต่อให้ได้อยู่หรอก อย่ากังวลไป ยังไงผมก็ยังพอให้คำปรึกษาคร่าวๆ ได้อยู่หรอก แต่ถ้าจะเอาแบบรู้ลึกรู้จริงเนี่ยก็ต้องรอถามพวกนั้นน่ะนะ’