คัดจากพระสูตร ชื่อ "จูฬนีสูตร" ประโยคต่อประโยค ภาพต่อภาพ เปรียบเทียบค่ะ
ขอให้ลองวิเคราะห์อย่างเป็นกลางค่ะ ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก ว่ากันตามเนื้อหา สนทนาแบบวิชาการค่ะ
"อานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์"
(แปลความหมายคือ หนึ่งจักรวาลในที่นี้ เท่ากับขอบเขตที่พระจันทร์และพระอาทิตย์โคจร นับเฉพาะส่วนนี้เป็นหนึ่งจักรวาลตามนัยของประโยค หรือหนึ่งระบบสุริยะจักรวาล ตามนัยวิทยาศาสตร์ อนุมานว่าเหตุที่ตรัสเพียงพระจันทร์และพระอาทิตย์ ก็เพื่อให้คนโบราณในยุคนั้นที่ยังไม่ทราบว่ามีดาวอื่น ๆ เช่นดาวพุธ ดาวเสาร์ เป็นต้น ได้กำหนดชัดพอรู้)
" โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มี
เทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล"
(นับเริ่มที่หลักพันเป็นหนึ่งหน่วยจักรวาลเล็ก แต่ละจักรวาลประกอบไปด้วยพระอาทิตย์ พระจันทร์ โลกคือชมพูทวีป - ชื่อนี้ไม่ได้หมายถึงประเทศอินเดีย แต่หมายถึงดาวโลกทั้งดวงในภาษาบาลี) และประกอบกับดาวโลกที่ห้อมล้อมอีกสามดวงที่เรามองไม่เห็น รวมทั้งเทวโลกหกชั้น รวมพรหมโลกด้วย แต่ละจักรวาลจะมีแพทเทิร์นนี้ รวมกันหนึ่งพันจักรวาลเรียกเป็นโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งในส่วนของสวรรค์ พรหมโลก เราอาจจะข้ามไว้ก่อน ความน่าสนใจอยู่ที่จำนวนที่สอดคล้องค่ะ สรุปส่วนนี้ว่า จำนวนที่ถูกเรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็ก คือ ระบบสุริยะจักรวาล หนึ่งพันระบบรวมกัน หรือ 1,000 ระบบสุริยะจักรวาลเท่ากับหนึ่งโลกธาตุอย่างเล็ก)
อันนี้รอบบ้านเรา
อันนี้โดยรวม น่าจะทรงหมายถึงจุดนี้ที่ทรงเรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็ก
"โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาล"
(รวมระบบสุริยะจักรวาลอย่างเล็กที่รวมกันก่อนหน้าหนึ่งพันระบบ ที่ถูกเรียกว่า โลกธาตุอย่างเล็กนั้น ยังมีโลกธาตุอย่างเล็กนั้นเองเป็นพัน ๆ เมื่อขยายหน่วยออกมาเป็นหน่วยที่โตขึ้น โลกธาตุอย่างเล็กรวมกันพันโลกธาตุ ถูกเรียกว่าโลกธาตุอย่างกลาง หรือ 1,000 x 1,000 ระบบสุริยะจักรวาล เท่ากับโลกธาตุอย่างกลาง เท่ากับหนึ่งล้านพอดี)
เมื่อนำโลกธาตุอย่างเล็กมารวมกันหนึ่งพันหน่วย จะได้หน่วยใหญ่ขึ้นที่เรียกว่าโลกธาตุอย่างกลาง
ส่วนนี้ที่อยู่รอบ ๆ เรา
น่าจะเป็นส่วนนี้ ที่ทรงหมายถึง
"โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่"
(นำหนึ่งพันขนาดกลางก่อนหน้านี้ คูณอีกหนึ่งพัน จะได้เป็นโลกธาตุอย่างใหญ่ เมื่อสักครู่นี้เราได้จำนวนขนาดกลางที่หนึ่งล้าน เมื่อนำมาขยายหน่วยให้ใหญ่ขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสให้คูณอีกหนึ่งพัน เท่ากับหนึ่งพันล้านระบบสุริยะจักรวาล เท่ากับจำนวนโลกธาตุอย่างใหญ่)
(ขอความต่อมาติดกัน) "ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ"
(ถามว่า จำนวนโลกธาุตุอย่างใหญ่มีเท่าไหร่ พระพุทธองค์ตรัสว่า "ประมาณแสนโกฏิจักรวาล" จำนวนหนึ่งโกฏิ เท่ากับสิบล้าน แสนโกฎิ จึงเท่ากับสิบล้าน หนึ่งแสนครั้ง ดังนั้น จำนวนจักรวาลทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ และประกาศว่าในอวกาศอันเวิ้งว้างนั้น มีระบบสุริยจักรวาลจึงเป็นจำนวนอยู่ที่)
1,000 x 1,000 = 1,000,000 เท่ากับหนึ่งโลกธาตุอย่างเล็กเล็ก
1,000,000 x 1,000 = 1,000,000,000 เท่ากับหนึ่งโลกธาตุอย่างกลาง
1,000,000,000 x 1,000 = 1,000,000,000,000 เท่ากับหนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่
รวมจำนวนระบบสุริยจักรวาลทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนี้ นำไปคูณแสนสิบล้าน(แสนโำกฎ) จะเท่ากับ
1,000,000,000,000 x 1,000,000,000,000 เท่ากับ 1,000,000,000,000,000,000,000,000 ระบบสุริยะจักรวาล
ภาพประกอบ
เห็นว่าเป็นอย่างไรกันบ้างคะ สมัยนั้นบางคนยังเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ,มีโลกเพียงใบเดียว หรือเดินทางไปแล้วจะตกขอบโลกอยู่เลย สำหรับเรา ขอใช้คำที่ฟังง่ายว่า "ตรัสเหมือนกับทรงเห็น"
ดูวีดีโอประกอบจะทำให้เห็นภาพชัดขึ้นค่ะ
จากข้อมูลนี้ น่าแปลกใจที่พระพุทธเจ้าตรัสดาวโลกดวงอื่นไว้ด้วย เหมือนกับว่าทรงบอกกับพระสาวกในที่นี้คือพระอานนท์ว่า ที่จริงแล้ว จักรวาลอื่น ๆ ก็มีมนุษย์อาศัยอยู่ แต่อย่างไรแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสเรื่องนี้เพราะพระอานนท์ทูลถามเรื่องเรื่องหนึ่งเท่านั้น มิได้ทรงมีเจตนาต้องการจะแสดงความรู้ของพระองค์เองขึ้นมาลอย ๆ แต่เกิดจากคำถามของพระสาวกที่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้ามากที่สุด รายละเอียดของคำถาม และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ขอให้ศึกษาในลิ้งค์ด้านล่าง และอรรถกถาค่ะ
อีกจุดสังเกตุหนึ่งคือ ในพระไตรปิฎก จากบทนี้ มีการรวม สามหน่วยใหญ่ ๆ ไว้พอดีกับสามหน่วยทางดาราศาสตร์้ด้วยเช่นกัน (จากที่เราได้ข้อมูลเป็นช่วง ๆ ด้านบนพร้อมการคำนวณในแต่ละหน่วยใหญ่)
แก้ไขข้อความหลังจากพบความเห็นบางความเห็นไม่ตรงกับเนื้อหากระทู้
อย่างไรแล้ว ขออนุญาตไม่สนทนาในเรื่องอื่น ที่ไม่มีเนื้อหาทางวิชาการ หรือการใช้ถ้อยคำสบประมาท ไม่สุภาพในความคิดเห็นนั้นๆ ค่ะ เราถือว่าทั้งสองคือวิทยาศาสตร์ และพุทธศาสตร์นั้น เป็นองค์ความรู้ ที่มนุษย์จะพึงถึงได้ ยินดีรับฟังข้อโต้แย้งผิด ถูก ด้วยเหตุผล ขอบคุณค่ะ
เนื่องจากความคิดเห็นเริ่มมีความไม่สุภาพเพิ่มขึ้น ไม่เหมาะกับทั้งการสนทนาเรื่องศาสนา และเรื่องวิทยาศาสตร์ แต่เนื่องจากยังหวังว่าจะได้รับการวิเคราะห์จากมุมมองทางดาราศาสตร์และอวกาศบ้าง อย่างไรแล้ว จะยังคงรอผู้รู้เข้ามาตอบค่ะ แต่หากไม่มีผู้รู้ที่จะเข้ามาตอบจริง ๆ เราจะลบแทกทางวิทยาศาสตร์ออก แต่ขอให้ให้เกียรติในการสนทนา ภาพแต่ละภาพ ข้อความแต่ละข้อความ เราใช้ความพยายาม ตัด คัด กรอง เรียบเรียงเนื้อหา กระทู้นี้ เราตั้งมูลค่าไว้ที่หนึ่งร้อย เพราะฉะนั้น ขอสนทนากับคำตอบมูลค่าเท่ากันหรือมากกว่าเท่านั้นค่ะ
อย่างไรแล้ว เรายังไม่เห็นคำตอบที่เราหวังจะได้รับ จึงขออนุญาตกล่าวในที่นี้ว่า คำหยาบ ถ้อยคำเสียดสี คนปรกติพูดได้ตามใจ การอดกลั้น เป็นหน้าที่ที่คงใช้หลักวิทยาศาสตร์อย่างเดียวไม่ได้ ขันติ ความอดกลั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้มาด้วยตัวเลข
ต้องขอเติมเนื้อหาส่วนนี้เพิ่มค่ะ เพราะเห็นความคิดเห็นออกไปค่อนข้างไกล
ครั้งหนึ่ง มีคนจ้างคนมายืนว่าพระพุทธองค์ตลอดถนน พระอานนท์ทูลให้ทรงหนีไป แต่กลับแสดงธรรมโปรดว่า
" อานนท์ เราเป็นเช่นกับช้างตัวก้าวลงสู่สงคราม
ก็การอดทนลูกศรอันมาจาก ๔ ทิศ
ย่อมเป็นภาระของช้างซึ่งก้าวลงสู่สงความฉันใด
ชื่อว่าการอดทนต่อถ้อยคำอันคนทุศีลเป็นอันมากกล่าวแล้ว
ก็เป็นภาระของเราฉันนั้นเหมือนกัน"
ดังนี้แล้ว เมื่อทรงปรารภพระองค์
แสดงธรรมภาษิตคาถา ๓ เหล่านี้ในนาควรรคว่า๑
"
เราจักอดกลั้นถ้อยคำล่วงเกิน
ดังช้างอดทนลูกศร ซึ่งตกไปจากแล่งในสงคราม
เพราะคนเป็นอันมาก เป็นผู้ทุศีล
ราชบุรุษทั้งหลาย ย่อมนำพาหนะที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ประชุม
พระราชาย่อมเสด็จขึ้นพาหนะที่ฝึกแล้ว
ในหมู่มนุษย์ผู้ใดอดกลั้นถ้อยคำล่วงเกินได้
ผู้นั้นชื่อว่าฝึก ตน แล้ว เป็นผู้ประเสริฐสุด
ม้าอัสดรที่ฝึกแล้วเป็นสัตว์ประเสริฐ
ม้าอาชาไนย ม้าสินธพที่ฝึกแล้ว เป็นสัตว์ประเสริฐ
พระยาช้างชาติกุญชรที่ฝึกแล้ว ก็เป็นสัตว์ประเสริฐ
แต่ผู้ฝึกตนเองได้แล้ว ประเสริฐกว่านั้น."
ที่มา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=33&p=1
แหล่งอ้างอิงค่ะ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐
จูฬนีสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=5985&Z=6056&pagebreak=0
อรรถกถาอธิบายประกอบ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=520
************************
ไม่ว่าการเปรียบเทียบนี้จะจริงหรือไม่จริง
แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจริงคือความเป็นไตรลักษณ์และความอนิจจังของทุกสิ่งทุกอย่าง มีเกิด มีดับ
สรรพสิ่งชื่อว่า
ไม่เที่ยง เพราะมีแล้วไม่มี เกิดมาแล้วตั้งอยู่เพียงชั่วคราว ความหนุ่มสาวมาพร้อมความแก่ ความสุขมาพร้อมความทุกข์ ลาภยศสรรเสริญ มาพร้อมความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ และคำนินทา สิ่งใดมีความเิกิดขึ้น แม้ดวงดาวหรือกาแลคซี่ สิ่งนั้นมีความดับแตกสลายไปที่สุด สรรพสิ่งที่มีอยู่ เป็นของชั่วคราว ไม่ใช่ของใคร ที่เป็นอยู่ได้ก็ไม่ใช่ตัวของมัน เป็นเพียงการเกิดขึ้นของสิ่งที่เกิดจากปัจจัยรอบด้าน ผสม ผลักดัน จนเป็นสิ่ง ๆ นั้นขึ้นมา เมื่อปัจจัยสิ้นไป สิ่งนั้นก็สลายไป ไม่ว่ากาแลคซี่ ดวงดาว เมฆ ร่างกายมนุษย์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา.
ชื่อว่า
ทุกข์ เพราะอันความเกิดดับเป็นต้นบีบคั้นแล้ว สรรพสิ่งทรงตัวไม่ได้ด้วยตัวของมันเอง ต้องผุพังไปในที่สุด ไม่มีความทรงพลังอย่างนิรันดร์ในตนเอง และเพราะยังทุกข์ให้เกิดแก่ผู้ที่ยึดถือ เพราะต้องพบกับการพลัดพรากสิ่งที่รักสิ่งที่ชอบใจ ไปวันหนึ่ง หนีไม่พ้น
ชื่อว่า
อนัตตา เพราะไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ให้เป็นไปได้อย่างที่ต้องการแม้เพียงสิ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นใจคน หรือสิ่งไม่มีชีวิตก็ตาม อดีต อนาคต ปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งที่บังคับบัญชาได้ เพียงแต่เลื่อนไหลไปตามปัจจัย ตามเหตุ และผล แต่อดีตก็สิ้นสลายไปแล้ว อนาคตก็จะสิ้นสลายไปที่อนาคต และปัจจุบัน ก็กำลังผ่านไป ไม่กลับมาอีก ไม่เหลืออะไรหรือใครให้จับต้อง ให้หลงชอบ หลงชัง หลงรัก หลงเกลียดในจักรวาลอีกเลย เพราะมันว่างเปล่าตั้งแต่แรก.
*********************
ถึงทีมงานพันทิป เรายังหวังได้รับคำตอบจากผู้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ค่ะ แต่หากยังไม่ได้รับจริง ๆ และไม่มีทางได้ เรา
จะลบแทกที่ขอความเห็นทางวิทยาศาสตร์ออกไปโดยสิ้นเชิง ในช่วงนี้ขอระยะเวลารอผู้รู้ลองมาวิเคราะห์ความเป็นไปได้กันค่ะ ขอบคุณค่ะ
วิเคราะห์จำนวนจักรวาล ตามพระพุทธดำรัสเมื่อ2600ปีก่อน กับความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์
ขอให้ลองวิเคราะห์อย่างเป็นกลางค่ะ ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก ว่ากันตามเนื้อหา สนทนาแบบวิชาการค่ะ
"อานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์"
(แปลความหมายคือ หนึ่งจักรวาลในที่นี้ เท่ากับขอบเขตที่พระจันทร์และพระอาทิตย์โคจร นับเฉพาะส่วนนี้เป็นหนึ่งจักรวาลตามนัยของประโยค หรือหนึ่งระบบสุริยะจักรวาล ตามนัยวิทยาศาสตร์ อนุมานว่าเหตุที่ตรัสเพียงพระจันทร์และพระอาทิตย์ ก็เพื่อให้คนโบราณในยุคนั้นที่ยังไม่ทราบว่ามีดาวอื่น ๆ เช่นดาวพุธ ดาวเสาร์ เป็นต้น ได้กำหนดชัดพอรู้)
" โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มี
เทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล"
(นับเริ่มที่หลักพันเป็นหนึ่งหน่วยจักรวาลเล็ก แต่ละจักรวาลประกอบไปด้วยพระอาทิตย์ พระจันทร์ โลกคือชมพูทวีป - ชื่อนี้ไม่ได้หมายถึงประเทศอินเดีย แต่หมายถึงดาวโลกทั้งดวงในภาษาบาลี) และประกอบกับดาวโลกที่ห้อมล้อมอีกสามดวงที่เรามองไม่เห็น รวมทั้งเทวโลกหกชั้น รวมพรหมโลกด้วย แต่ละจักรวาลจะมีแพทเทิร์นนี้ รวมกันหนึ่งพันจักรวาลเรียกเป็นโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งในส่วนของสวรรค์ พรหมโลก เราอาจจะข้ามไว้ก่อน ความน่าสนใจอยู่ที่จำนวนที่สอดคล้องค่ะ สรุปส่วนนี้ว่า จำนวนที่ถูกเรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็ก คือ ระบบสุริยะจักรวาล หนึ่งพันระบบรวมกัน หรือ 1,000 ระบบสุริยะจักรวาลเท่ากับหนึ่งโลกธาตุอย่างเล็ก)
อันนี้รอบบ้านเรา
อันนี้โดยรวม น่าจะทรงหมายถึงจุดนี้ที่ทรงเรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็ก
"โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาล"
(รวมระบบสุริยะจักรวาลอย่างเล็กที่รวมกันก่อนหน้าหนึ่งพันระบบ ที่ถูกเรียกว่า โลกธาตุอย่างเล็กนั้น ยังมีโลกธาตุอย่างเล็กนั้นเองเป็นพัน ๆ เมื่อขยายหน่วยออกมาเป็นหน่วยที่โตขึ้น โลกธาตุอย่างเล็กรวมกันพันโลกธาตุ ถูกเรียกว่าโลกธาตุอย่างกลาง หรือ 1,000 x 1,000 ระบบสุริยะจักรวาล เท่ากับโลกธาตุอย่างกลาง เท่ากับหนึ่งล้านพอดี)
เมื่อนำโลกธาตุอย่างเล็กมารวมกันหนึ่งพันหน่วย จะได้หน่วยใหญ่ขึ้นที่เรียกว่าโลกธาตุอย่างกลาง
ส่วนนี้ที่อยู่รอบ ๆ เรา
น่าจะเป็นส่วนนี้ ที่ทรงหมายถึง
"โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่"
(นำหนึ่งพันขนาดกลางก่อนหน้านี้ คูณอีกหนึ่งพัน จะได้เป็นโลกธาตุอย่างใหญ่ เมื่อสักครู่นี้เราได้จำนวนขนาดกลางที่หนึ่งล้าน เมื่อนำมาขยายหน่วยให้ใหญ่ขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสให้คูณอีกหนึ่งพัน เท่ากับหนึ่งพันล้านระบบสุริยะจักรวาล เท่ากับจำนวนโลกธาตุอย่างใหญ่)
(ขอความต่อมาติดกัน) "ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ"
(ถามว่า จำนวนโลกธาุตุอย่างใหญ่มีเท่าไหร่ พระพุทธองค์ตรัสว่า "ประมาณแสนโกฏิจักรวาล" จำนวนหนึ่งโกฏิ เท่ากับสิบล้าน แสนโกฎิ จึงเท่ากับสิบล้าน หนึ่งแสนครั้ง ดังนั้น จำนวนจักรวาลทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ และประกาศว่าในอวกาศอันเวิ้งว้างนั้น มีระบบสุริยจักรวาลจึงเป็นจำนวนอยู่ที่)
1,000 x 1,000 = 1,000,000 เท่ากับหนึ่งโลกธาตุอย่างเล็กเล็ก
1,000,000 x 1,000 = 1,000,000,000 เท่ากับหนึ่งโลกธาตุอย่างกลาง
1,000,000,000 x 1,000 = 1,000,000,000,000 เท่ากับหนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่
รวมจำนวนระบบสุริยจักรวาลทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนี้ นำไปคูณแสนสิบล้าน(แสนโำกฎ) จะเท่ากับ
1,000,000,000,000 x 1,000,000,000,000 เท่ากับ 1,000,000,000,000,000,000,000,000 ระบบสุริยะจักรวาล
ภาพประกอบ
เห็นว่าเป็นอย่างไรกันบ้างคะ สมัยนั้นบางคนยังเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ,มีโลกเพียงใบเดียว หรือเดินทางไปแล้วจะตกขอบโลกอยู่เลย สำหรับเรา ขอใช้คำที่ฟังง่ายว่า "ตรัสเหมือนกับทรงเห็น"
ดูวีดีโอประกอบจะทำให้เห็นภาพชัดขึ้นค่ะ
จากข้อมูลนี้ น่าแปลกใจที่พระพุทธเจ้าตรัสดาวโลกดวงอื่นไว้ด้วย เหมือนกับว่าทรงบอกกับพระสาวกในที่นี้คือพระอานนท์ว่า ที่จริงแล้ว จักรวาลอื่น ๆ ก็มีมนุษย์อาศัยอยู่ แต่อย่างไรแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสเรื่องนี้เพราะพระอานนท์ทูลถามเรื่องเรื่องหนึ่งเท่านั้น มิได้ทรงมีเจตนาต้องการจะแสดงความรู้ของพระองค์เองขึ้นมาลอย ๆ แต่เกิดจากคำถามของพระสาวกที่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้ามากที่สุด รายละเอียดของคำถาม และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ขอให้ศึกษาในลิ้งค์ด้านล่าง และอรรถกถาค่ะ
อีกจุดสังเกตุหนึ่งคือ ในพระไตรปิฎก จากบทนี้ มีการรวม สามหน่วยใหญ่ ๆ ไว้พอดีกับสามหน่วยทางดาราศาสตร์้ด้วยเช่นกัน (จากที่เราได้ข้อมูลเป็นช่วง ๆ ด้านบนพร้อมการคำนวณในแต่ละหน่วยใหญ่)
แก้ไขข้อความหลังจากพบความเห็นบางความเห็นไม่ตรงกับเนื้อหากระทู้
อย่างไรแล้ว ขออนุญาตไม่สนทนาในเรื่องอื่น ที่ไม่มีเนื้อหาทางวิชาการ หรือการใช้ถ้อยคำสบประมาท ไม่สุภาพในความคิดเห็นนั้นๆ ค่ะ เราถือว่าทั้งสองคือวิทยาศาสตร์ และพุทธศาสตร์นั้น เป็นองค์ความรู้ ที่มนุษย์จะพึงถึงได้ ยินดีรับฟังข้อโต้แย้งผิด ถูก ด้วยเหตุผล ขอบคุณค่ะ
เนื่องจากความคิดเห็นเริ่มมีความไม่สุภาพเพิ่มขึ้น ไม่เหมาะกับทั้งการสนทนาเรื่องศาสนา และเรื่องวิทยาศาสตร์ แต่เนื่องจากยังหวังว่าจะได้รับการวิเคราะห์จากมุมมองทางดาราศาสตร์และอวกาศบ้าง อย่างไรแล้ว จะยังคงรอผู้รู้เข้ามาตอบค่ะ แต่หากไม่มีผู้รู้ที่จะเข้ามาตอบจริง ๆ เราจะลบแทกทางวิทยาศาสตร์ออก แต่ขอให้ให้เกียรติในการสนทนา ภาพแต่ละภาพ ข้อความแต่ละข้อความ เราใช้ความพยายาม ตัด คัด กรอง เรียบเรียงเนื้อหา กระทู้นี้ เราตั้งมูลค่าไว้ที่หนึ่งร้อย เพราะฉะนั้น ขอสนทนากับคำตอบมูลค่าเท่ากันหรือมากกว่าเท่านั้นค่ะ
อย่างไรแล้ว เรายังไม่เห็นคำตอบที่เราหวังจะได้รับ จึงขออนุญาตกล่าวในที่นี้ว่า คำหยาบ ถ้อยคำเสียดสี คนปรกติพูดได้ตามใจ การอดกลั้น เป็นหน้าที่ที่คงใช้หลักวิทยาศาสตร์อย่างเดียวไม่ได้ ขันติ ความอดกลั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้มาด้วยตัวเลข
ต้องขอเติมเนื้อหาส่วนนี้เพิ่มค่ะ เพราะเห็นความคิดเห็นออกไปค่อนข้างไกล
ครั้งหนึ่ง มีคนจ้างคนมายืนว่าพระพุทธองค์ตลอดถนน พระอานนท์ทูลให้ทรงหนีไป แต่กลับแสดงธรรมโปรดว่า
" อานนท์ เราเป็นเช่นกับช้างตัวก้าวลงสู่สงคราม
ก็การอดทนลูกศรอันมาจาก ๔ ทิศ
ย่อมเป็นภาระของช้างซึ่งก้าวลงสู่สงความฉันใด
ชื่อว่าการอดทนต่อถ้อยคำอันคนทุศีลเป็นอันมากกล่าวแล้ว
ก็เป็นภาระของเราฉันนั้นเหมือนกัน"
ดังนี้แล้ว เมื่อทรงปรารภพระองค์
แสดงธรรมภาษิตคาถา ๓ เหล่านี้ในนาควรรคว่า๑
"เราจักอดกลั้นถ้อยคำล่วงเกิน
ดังช้างอดทนลูกศร ซึ่งตกไปจากแล่งในสงคราม
เพราะคนเป็นอันมาก เป็นผู้ทุศีล
ราชบุรุษทั้งหลาย ย่อมนำพาหนะที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ประชุม
พระราชาย่อมเสด็จขึ้นพาหนะที่ฝึกแล้ว
ในหมู่มนุษย์ผู้ใดอดกลั้นถ้อยคำล่วงเกินได้
ผู้นั้นชื่อว่าฝึก ตน แล้ว เป็นผู้ประเสริฐสุด
ม้าอัสดรที่ฝึกแล้วเป็นสัตว์ประเสริฐ
ม้าอาชาไนย ม้าสินธพที่ฝึกแล้ว เป็นสัตว์ประเสริฐ
พระยาช้างชาติกุญชรที่ฝึกแล้ว ก็เป็นสัตว์ประเสริฐ
แต่ผู้ฝึกตนเองได้แล้ว ประเสริฐกว่านั้น."
ที่มา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=33&p=1
แหล่งอ้างอิงค่ะ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐
จูฬนีสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=5985&Z=6056&pagebreak=0
อรรถกถาอธิบายประกอบ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=520
************************
ไม่ว่าการเปรียบเทียบนี้จะจริงหรือไม่จริง
แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจริงคือความเป็นไตรลักษณ์และความอนิจจังของทุกสิ่งทุกอย่าง มีเกิด มีดับ
สรรพสิ่งชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะมีแล้วไม่มี เกิดมาแล้วตั้งอยู่เพียงชั่วคราว ความหนุ่มสาวมาพร้อมความแก่ ความสุขมาพร้อมความทุกข์ ลาภยศสรรเสริญ มาพร้อมความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ และคำนินทา สิ่งใดมีความเิกิดขึ้น แม้ดวงดาวหรือกาแลคซี่ สิ่งนั้นมีความดับแตกสลายไปที่สุด สรรพสิ่งที่มีอยู่ เป็นของชั่วคราว ไม่ใช่ของใคร ที่เป็นอยู่ได้ก็ไม่ใช่ตัวของมัน เป็นเพียงการเกิดขึ้นของสิ่งที่เกิดจากปัจจัยรอบด้าน ผสม ผลักดัน จนเป็นสิ่ง ๆ นั้นขึ้นมา เมื่อปัจจัยสิ้นไป สิ่งนั้นก็สลายไป ไม่ว่ากาแลคซี่ ดวงดาว เมฆ ร่างกายมนุษย์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา.
ชื่อว่าทุกข์ เพราะอันความเกิดดับเป็นต้นบีบคั้นแล้ว สรรพสิ่งทรงตัวไม่ได้ด้วยตัวของมันเอง ต้องผุพังไปในที่สุด ไม่มีความทรงพลังอย่างนิรันดร์ในตนเอง และเพราะยังทุกข์ให้เกิดแก่ผู้ที่ยึดถือ เพราะต้องพบกับการพลัดพรากสิ่งที่รักสิ่งที่ชอบใจ ไปวันหนึ่ง หนีไม่พ้น
ชื่อว่าอนัตตา เพราะไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ให้เป็นไปได้อย่างที่ต้องการแม้เพียงสิ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นใจคน หรือสิ่งไม่มีชีวิตก็ตาม อดีต อนาคต ปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งที่บังคับบัญชาได้ เพียงแต่เลื่อนไหลไปตามปัจจัย ตามเหตุ และผล แต่อดีตก็สิ้นสลายไปแล้ว อนาคตก็จะสิ้นสลายไปที่อนาคต และปัจจุบัน ก็กำลังผ่านไป ไม่กลับมาอีก ไม่เหลืออะไรหรือใครให้จับต้อง ให้หลงชอบ หลงชัง หลงรัก หลงเกลียดในจักรวาลอีกเลย เพราะมันว่างเปล่าตั้งแต่แรก.
*********************
ถึงทีมงานพันทิป เรายังหวังได้รับคำตอบจากผู้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ค่ะ แต่หากยังไม่ได้รับจริง ๆ และไม่มีทางได้ เราจะลบแทกที่ขอความเห็นทางวิทยาศาสตร์ออกไปโดยสิ้นเชิง ในช่วงนี้ขอระยะเวลารอผู้รู้ลองมาวิเคราะห์ความเป็นไปได้กันค่ะ ขอบคุณค่ะ