อิงจากกระทู้ "อุทาหรณ์การยัดเยียดการเรียน" มีตัวอย่างเห็นได้ชัดๆ ตามรร. กวดวิชาค่ะ

สวัสดีค่ะ

  เข้าเรื่องเลยนะ เราเองอาศัยอยู่ใกล้ โรงเรียนกวดวิชา หลายๆโรงเรียนรวมๆอยู่ในตึกเดียวกัน
เห็นเด็กๆ ที่มาเรียนพิเศษมากมายมาหลายปี  บางคนมาด้วยตนเอง บางคนพ่อแม่ส่งมา แต่คุณรู้มั้ยคะ ทุกครั้งที่เราไปธนาคาร ต้องเดินผ่าน
เด็กๆทุกครั้งมักจะเห็นแต่ภาพ

   ***  เด็กน้อยชั้นวัยประถม  นั่งคุดคู้หน้าหนังสือ หลังพิงกำแพง กัดนิ้วหน้าเหม่อลอย ไม่ได้ใส่ใจกับหนังสือข้างหน้าแม้แต่น้อย
   ***  เด็กนักเรียน ม.ต้น ม.ปลาย นอนพื้นซีเมนต์บ้าง เสื่อบ้าง  อ่านหนังสือบ้าง โทรศัพท์ หลับรอเรียนพิเศษคาบต่อไป
   ***  บางคน พาแฟนมานั่งคุยกัน  ในการเรียนพิเศษบังหน้า แต่แต่งตัวเตรียมเที่ยว ไม่ได้พกหนังสือมาซักเล่ม พอละสายตาผู้ปกครอง
ก็เดินออกไปข้างนอก
   ***  แทบไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กที่มาเรียนเลยซักคน
ฯลฯ


วันอาทิตย์ วันหยุดที่หลายๆคน ได้พักผ่อน ได้ไปเที่ยว ได้ออกกำลังกาย  ได้ออกไปทานอาหารอร่อย ได้ดูหนัง  ฟังเพลง เ
เที่ยวทะเล ฯลฯ   เด็กๆพวกนี้ ยังคงนั่งเรียนอยู่ยันสองทุ่มสามทุ่ม  เพื่อให้พ่อแม่ได้พึงพอใจว่า   ยิ่งเรียนมาก  ยิ่งเก่งมาก ยิ่งมีอนาคตมาก  

   เพื่อนบ้านของ จขกท.เอง ก็เป็นเด็กมัธยมที่มีอนาคตสดใส  ดูฉลาด พูดจาฉะฉาน  ใครๆแถวบ้านก็ชอบก็หลงเป็นเด็กน่ารัก พูดเพราะ
และดูหัวดี เด็กคนนี้เรียนม. 6 แล้ว กำลังจะไปต่อมหาลัย   เราก็ถามไปว่า  จะเรียนที่ไหน  เด็กชายตอบอย่างมั่นใจ
      " ม.จุฬาครับ แม่บอกใกล้บ้านดี"
น้องเค้าเรียนพิเศษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ บางทีก็พาเพื่อนมาติวที่บ้าน เราเห็นก็อดภูมิใจไม่ได้เพราะ ท่าทางมีอนาคต พ่อกับแม่ก็เรียนมาสูง
ลูกเลยเป็นความหวัง   และเชื่อว่า ฝันต้องเป็นจริงได้แน่นอน

   แต่จริงๆเบื้องหลังที่เราเห็น (พ่อกับแม่เค้าไม่รู้หรอก)  บางทีน้องเค้าก็เอาบุหรี่มาสูบแถวๆหน้าบ้านเรา แอบๆ พอเห็นเราก็ตกใจ เดินหนีไป
บางทีเคยเจอเด็กแอบซื้อเหล้าบ้าง  พาผู้หญิงมาบ้านตอนพ่อแม่ไม่อยู่บ้าง  ไอ้เราก็ไม่ยุ่งอะไร เพราะไงเค้าก็เรียนเก่ง อนาคตดี เสียนิดหน่อย
จะเป็นไรไป  แถมเป็นเด็กผู้ชายก็ต้องมีเถลไถลกันบ้าง

  สุดท้าย ปรากฏว่า เค้าสอบไม่ติดที่ไหนเลย  พ่อแม่อับอายมาก  จึงส่งไปเรียนที่ม.เอกชนไกลบ้าน เพราะไม่อยากได้ยินคำนินทา
ลูกคนเดียวที่ตนเองหวังเอาไว้สูง  โม้เอาไว้เยอะ  ลูกที่ภาคภูมิใจ ทำเอาพ่อแม่เครียดจนผมขาวทั้งคู่ (จากทุกทีเนี๊ยบทุกกระเบียดนิ้ว)      
พวกเค้าเสียใจมากที่หมดไปเป็นแสนๆกับค่าเทอมแพงๆ  ค่าเเรียนพิเศษลูก  จริงๆเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน แต่พ่อแม่บางคนรับไม่ได้
กับความผิดพลาดนี้จนจะบ้าแทนลูก


   ย้อนกลับไปหลายปีก่อนตอนที่ จขกท. เคยทำงานโรงเรียน กวดวิชาแห่งหนึ่งที่สยาม  แหล่งกวดวิชามีชื่อเสียงหลายแห่ง  คุณเชื่อมั้ย
วันเสาร์-อาทิตย์เราต้องตื่นตั้งแต่ ตี 5 เพื่อรีบไปเปิดโรงเรียนกวดวิชาให้ทัน 6.30 น.เช้า  แต่จริงๆโรงเรียนเปิด 7.30 น.
แต่ที่ตลกกว่านั้นคือ  พ่อ- แม่ ผู้ปกครองมายืนรอลงทะเบียนให้ลูกได้เรียนกวดวิชาตั้งแต่ ตี 5    (ตื่นกันกี่โมงนะ) เพราะกลัวลูกไม่มีที่เรียนพิเศษ  คิดดู  ความรักของพ่อแม่ยิ่งใหญ่เพียงไหน  แม่ไม่ยักกะมีนักเรียนคนไหนเดินมาสมัครตัวเองเลยซักคน  

   ทุกวันจันทร์-ศุกร์วันปกติ เด็กเปิดเรียน  เลิกเรียน 4 โมงเย็นก็จะแวะมารอเรียนพิเศษกันเต็มพรึด แทบไม่เคยได้เจอใบหน้าสดใส
มีความสุขเลย  มีแต่เด็ก หน้าซึม  เหนื่อยจากเรียนมาทั้งวัน คำสุดฮิตที่ได้ยินคือ " หิว "  " เบื่อ"  "รอ"  " ง่วง"  
  บางคนมาถึงก็สั่งมาม่าทานเป็นอาชีพทุกวัน จนเราจำได้  มาม่า อาหารเสริมสมองอย่างดี    กว่าจะเสร็จเรียนถึง 3 ทุ่มแล้วก็กลับ

  เสาร์- อาทิตย์  วันหยุดที่ใครๆฝันถึง เด็กๆก็ต้องมาแต่ 7 โมงเช้า  กินมาม่า  (อีกแล้ว) เพราะรีบเข้าเรียน มีตังค์หน่อยก็ไปหาซื้อขนมแพงๆ
อื่นๆมาตุนไว้  (ที่กล่าวถึงมีตังค์  เพราะบางทีเจอเด็กที่ไม่มีตังค์จริง ๆ  มักจะมานั่งคุยเล่นกับเราแล้วบอกว่า พ่อแม่หมดกับค่าเรียนพิเศษ
เยอะ เลยให้ตังค์มาพอแค่มาม่า  นี่สินะ สังคมเด็กเมือง)      เรียนๆ รอๆ  จนถึง 3 ทุ่มเช่นกัน แล้วก็กลับบ้าน ไปพบกับวันจันทร์ที่โรงเรียนต่อไป

    เคยมีเหตุการณ์นึง ที่ไม่เคยลืม  เป็นเหตุการณ์ที่มีผู้ปกครองคนหนึ่ง  เข้ามาด่าทั้งครู และพนักงานที่ รร.กวดวิชา หาว่าไม่ดูแลลูกเค้า
พวกเรางงกันหมด  ถามว่า คนไหน  คุณแม่ก็บอก น้องA (นามสมมติ)  ไง  คุณแม่โทรเข้าหาน้องเป็นสิบๆครั้งก็ไม่รับ  เมื่อกี้โทรมาที่
โรงเรียน พวกคุณก็บอกว่า น้องA ไม่เข้าเรียน  เป็นครูภาษาอะไร  โรงเรียนนี่มันยังไงกัน ฯลฯ  

     ประมาณว่า เด็กหาย  ทุกคนรีบช่วยโทรตาม โทรหาเบอร์เพื่อนน้อง หลายต่อหลายครั้ง ไม่มีใครรับ บ้างก็ปิดเครื่อง คุณแม่จะเอาเรื่อง
ว่าโรงเรียนไม่รับผิดชอบ ทางเราแจ้งว่าเด็กอายุตั้ง 15 ดูแลตัวเองได้แล้ว มักไปไหนมาไหนไม่มีใครรู้ คุณแม่ก็ไม่รับฟัง

  พอผ่านไปถึงเวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ  น้อง A ก็เข้ามา  พอสบตากับคุณแม่ก็สะดุ้งโหยง ทุกคนเห็นในมือน้อง A ถือถุงเสื้อผ้าจากห้างพารากอนก็ถึงบางอ้อกันหมด มีเพียงคุณแม่ไม่เข้าใจ ตำหนิน้องรุนแรงมาก  และยังคงหันมาโบ้ยว่า ความผิดของโรงเรียนด้วยที่ไม่สั่งสอนลูกสาวให้อยู่ในห้องเรียนพิเศษตลอดเวลา  เอ้า..

    แม่กระชากถุงเสื้อผ้าด้วยความโมโห ยังทิ้งท้ายว่าจะเอาเรื่องรร.แล้วจากไป ทิ้งไว้กับความทรงจำที่ว่า เคยมีนักเรียนใส่แว่น
ท่าทางเรียบร้อย นั่งอ่านหนังสือเงียบๆรอเรียนประจำ เพราะคุณแม่และน้องก็ไม่ได้กลับมาที่ รร. อีกเลย
          
              เราเดาว่า น้องคงจะอยากเที่ยวบ้างตามประสาวัยแรกรุ่น เลยหนีเที่ยว แต่กลับถูกคุณแม่ตำหนิราวกับไปฆ่าใครตายมา คงหลอน
ไม่กล้าไปไหนอีกนานเลย

           บางที เราเป็นคนนั่งทำสถิติ เด็กเรียนโรงเรียนกวดวิชา ว่ามีใครบ้าง ได้เรียนต่อ เรียนที่ไหน คะแนนเท่าไหร่ ในระดับชั้นก็ดูว่า
ใครบ้างผลการเรียนดีขึ้น   เพื่อจัดทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ โรงเรียนกวดวิชาในเทอมต่อไป

             คุณรู้มั้ย  คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ในจำนวนนักเรียน (สถิติของโรงเรียนกวดวิชาที่เราทำงานอยู่เท่านั้น)  รวมๆ โดยประมาณ 4000 คน         ถ้าเฉพาะม.6 อยู่ที่ประมาณ 800-1000 คน  สอบติดมหาลัยดังที่เป็นที่ปรารถนาประมาณ 50 คน สถิติ TOP อยู่ประมาณ5-10 คน  ได้มหาลัยเอกชน+มหาลัยรัฐที่เป็นอันดับรองๆประมาณ 300-500 คน  ที่เหลือเคว้งค่ะ    วิ่งหาทางอื่นๆเอา ซึ่งบอกได้เลยว่าน้อยมาก
หากเทียบกับความคาดหวังของผู้ปกครอง น่าแปลกมากที่สถิตินี้เทียบเท่ากับนักเรียนในโรงเรียนต่างจังหวัดแห่งหนึ่งที่มีทั้งเรียนและไม่เรียนพิเศษ

             แต่พ่อแม่หลายๆคนไม่ยอมรับมัน  มักพยายามดันลูก บางคนก็โกหกหน้าตาเฉยค่ะ  โม้ให้ผู้ปกครองคนอื่นฟังว่า ลูกตนเองสอบได้
นั้นได้นี้  ความจริงเรารู้อยู่แก่ใจเพราะเด็กมาบอกเอง  ก็ได้แต่เงียบๆและฟังไป  ผู้ปกครองบางคนไม่กล้ารับความจริง...

              "  บอกได้เลยว่า  เรียนมาก  จะทำให้รู้มากขึ้น  เฉพาะกับเด็กที่มีใจรับความรู้นั้นๆ

เด็กๆที่ใจไม่รับสิ่งที่เรียน ไม่ว่าจะหมั่นเพียรให้เรียนมากเท่าไหร่ก็ไม่มีทางรับอะไรได้  เหมือนดั่งเป่าใส่ลูกโป่งที่รั่ว  "

      
         มีอีกเรื่องหนึ่งที่เราแปลกใจมาก ๆ   คุณแม่สมัยนี้ บางทีอยากกันเองกับลูกจนบางทีก็เหมือนมากเกินความพอดี  

   ****   มีแม่ลูกคู่นึง เดินเลือกซื้อของกันน่าเอ็นดู  แต่บทสนทนาทำเราต้องชะงัก
             แม่   "  จะเอาอะไรก็รีบเอาเหอะ เร็วๆเลย"
             ลูก  " ฉันจะเอาอันนี้ แล้วก็อันนั้นอีกอัน เธอหยิบให้หน่อยสิ"
            แม่  " อ่ะ  เอาไป  จะอะไรก็รีบหน่อย  เดี๋ยวฉันต้องไปธุระต่อ "
             ลูก  " ไปนานป่ะ ถ้านานก็ส่งฉันกลับบ้านก่อนนะ ขี้เกียจไปรออ่ะ"

         ตอนแรกนึกว่าเพื่อนต่างวัยคุยกัน  ปรากฏว่าเป็นแม่วัยสามสิบกลางๆ สวย แต่งตัวดี
       กับลูกสาวประมาณ 7- 8 ขวบ แม่ลูกกันแน่นอน  แถมลูกยังใส่กางเกงยีนสั้นๆแบบที่วัยรุ่นสาวๆใส่กัน สั้นเสมอหู
              ก็รู้ว่าสิทธิ์ของเค้า  แต่จะไม่เกินไปหน่อยหรอ ให้ลูกเรียกแม่เธอๆ ฉันๆ อย่างงั้น เหมือนสุภาพแต่ไม่เลย

       จริง ๆสังคมปัจจุบันนี้ ถ้าคิดแต่จะหาคอร์สเรียนให้ลูกๆ  ผลักดันให้ลูกๆเรียนให้สูงๆ  ส่งเค้าไปสนามเรียนดั่งสนามรบขนาดนั้น  
คุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะหาคอร์สเรียนสำหรับ ผู้ปกครอง บ้าง เพื่อที่จะได้ทันกัน  รับรู้สิ่งที่เด็กๆต้องเจอ  อดทนกับ
ความพยายามที่พ่อกับแม่ยัดเยียดให้    บางคนที่เข้าใจลูก ไม่เกินพอดี เราก็ไม่กล้าไปล่วงเกินกล่าวถึงค่ะ  แต่คุณลองถามลูกดูนะคะ
ว่า  กับลูก  มันเกินพอดีของลูกหรือเปล่า   ลูกไหวมั้ย  ลองถามลูกบ้าง  เผื่อเราจะได้ผ่านคอร์สแรกแห่งการเป็น "ผู้ปกครอง" ที่ดี


ปล. ขอบคุณสำหรับผู้ที่อ่านและเข้าใจ  และขออภัยหากล่วงเกินผู้ใดค่ะ  ประสบการณ์ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง
เพราะจขกท.เคยเป็นทั้งครู  พนักงาน  และ เคยเป็นนักเรียนมาแล้วเหมือนกันค่ะ  เพียงแค่อยากแชร์เท่านั้นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่