สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ก็พอมีประสบการณ์เล่าได้อยู่บ้างครับ ต้องออกตัวก่อนว่าก็ไม่ได้รวยอะไรนักหนา แต่เป็นคนชอบความคุ้มค่าในการบริการ
ดังนั้นผมจะชอบเป็นพิเศษพวกสินค้าบริการที่มีคุณค่าหรือความน่าประทับใจ สิทธิพิเศษเล็กๆน้อยๆ อะไรทำนองนี้
สำหรับในไทยแล้วพวกบริการ Private Banking เราจะเรียกว่า "บัตรเบ่ง" นั่นหมายถึงโชว์บัตรจะได้สิทธิพิเศษ
ก็สามารถเบ่งได้ว่าข้านะเว้ย เป็นลูกค้าระดับไฮโซ ต้องได้รับการบริการเป็นเลิศ อะไรทำนองนั้น 555
CitiGold สำหรับผมแล้วมองว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด และดีที่สุดในบรรดา Private Banking
อันดับแรกคือใช้เงินจำนวนไม่มากก็มีสิทธิพิเศษได้แล้ว สำหรับในไทยคือเริ่มต้นแค่ 2 ล้านบาท
แต่สำหรับต่างประเทศ CitiGold อาจเริ่มต้นมากถึง 5 ล้านบาท อย่างสิงคโปร์จะเอา CitiGold ได้
ก็ต้องเริ่มต้นที่ 250,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือก็ราวๆ 6 ล้านบาทไทยเป็นอย่างน้อย
แต่แว่วๆ มาว่า CitiGold ในไทยเร็วๆนี้ก็อาจจะขยับขั้นต่ำขึ้น เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากล
ส่วนสิทธิพิเศษของ CitiGold ก็จะมี Lounge ให้บริการ และพนักงานจะเข้ามาถามว่าต้องการดื่มอะไร ชากาแฟน้ำเปล่า
ก็เล็กๆน้อยๆครับ แต่ถ้าเป็นสำนักงานใหญ่ที่อโศก จะเป็น Lounge ใหญ่กว่า และมีเครื่องดื่มให้เลือกเยอะกว่า
พนักงานก็เยอะกว่า แล้วก็มีบริการอื่นๆให้มากกว่า แต่ถ้าไม่ได้เลือกบริการอะไรมากสาขาอื่นๆเช่นเซ็นทรัลเวิร์ลก็สะดวกดี
ข้อดีอีกอย่างคือบริการเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าจะไป CitiBank ที่ไหนบนโลก
ถ้าเป็น CitiGold ก็จะสามารถได้รับบริการอันเป็นเลิศได้อย่างเป็นมาตรฐานเท่าเทียม
ส่วนทางด้านการลงทุนก็จะมีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำ ลักษณะที่ทำคือจะเป็นการลงทุนแบบ Fund of Fund
นั่นหมายถึงเจ้าหน้าที่จะให้บริการลงทุนกับเราเช่นเราต้องการลงทุนเสี่ยงน้อย เขาก็จะซื้อกองทุนต่างๆจัดเป็นพอร์ทให้เราอีกที
พูดง่ายๆคือ เอาเงินเราไปซื้อกองทุนของ บลจ. อื่นๆ และจัดสรรให้เรา โดยคำนึงถึง Perform ของกองทุน
อย่างที่ใช้บริการอยู่ก็ค่อนข้างประทับใจครับ เพราะเขาเลือกกองทุนดีๆ มาให้เราจริงๆ จัดสรรเป็นโมเดล ดีพอสมควรเลย
บางทีเล่นหุ้นเองอย่างปวดกะบาล แต่ให้เขาจัดเป็น Fund of Fund ให้เราก็โอเคดีเหมือนกันครับ
แตกต่างจากที่อื่นตรงที่บางแห่ง จะขายแค่กองทุนของตัวเองเท่านั้น ส่วน CitiGold (ไทย) จะเลือกหลายๆที่มาให้เรา
ดังนั้น Perform ในเชิงการลงทุนจึงดีกว่า เพราะเขามีอิสระในการเลือกให้เรา ใช้ได้ทั่วโลก เป็นมาตรฐาน
โดยรวมแล้ว ถ้าเลือก Private Banking ผมว่า CitiGold เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้สำหรับคนไทย
ทางด้านสิทธิพิเศษอื่นๆเช่นพวกที่จอดรถ ทาง CitiBank จะจัดเกรดให้ตามบัตรเครดิต
ดังนั้นส่วนนี้จะไม่ได้รวมเข้าไปด้วย แต่จะเป็นสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตแทน เช่นบัตร Ultima ของ CitiBank
จะครบทุกสิทธิพิเศษ ก็เริ่มต้นด้วยการเป็น CitiGold วงเงิน 10 ล้านบาท จึงมีสิทธิเปิดบัตรชนิดนี้ได้
แล้วสิทธิพิเศษจะมาพร้อมบัตร แต่ถ้าพวกสิทธิพิเศษพวกนั้นเราไม่ได้ใช้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีหรอกครับ
ส่วน Wisdom อันนี้ที่ผมว่าเลียนแบบ Private Banking เขามา แต่ทำได้ยังไม่เวิร์ค
แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่ดี เพียงแต่มันยังไม่มีความพิเศษเหนือความคาดหมายอะไรมากมายนัก
บัตร Wisdom เริ่มต้นที่ว่า ถ้าซื้อกองทุน/ประจำ ตั้งแต่ 10 ล้านบาท มากกว่า 6 เดือนขึ้นไป สามารถสมัครได้
แต่ถ้าเป็นการซื้อประกันนู่นนี่นั่นก็มีเงื่อนไขต่างหาก (ยุ่งยากสุดๆ) ... ทางด้าน Private Banking
เท่าที่เห็นผมก็ไม่ได้เห็นว่าจะดีกว่า CitiGold ตรงไหน แถมใช้ได้แค่ในไทย ออกเมืองนอกก็ทำอะไรไม่ได้
(ไปเบ่งเมืองนอกไม่ได้แหละว่างั้น) บริการตู้นิรภัย CitiGold ก็มี ส่วนบริการที่ปรึกษาการลงทุน "ไม่มี" นะจ๊ะ
ดังนั้นในเชิงความคุ้มค่า ผมยังมองว่า KBANK Wisdom ยังไม่เวิร์คเท่าที่ควร ยังไม่เป๊ะ ยังไม่เจ๋ง ยังไม่พิเศษ
แถมมันเกร่อมาก จริงอยู่ว่า Wisdom เองก็มี Lounge (แต่ CitiGold ก็มี) และบริการก็ดูไม่แตกต่างกัน
ผมเองใช้บริการก็ยังไม่รู้สึกว่า Wisdom จะดีมากมายตรงไหน มันควรจะดีมากกว่านี้ แต่ก็ยังไม่ดีมากนัก
แต่ถ้าเป็น HN (High Net Worth) ของ KBANK ก็จะดีกว่า Wisdom สามารถทำ Private Fund ได้
ส่วนนี้ KBANK ไม่ได้เปิดทำการตลาด เพราะจะ Invite เฉพาะลูกค้าที่มียอดสินทรัพย์เกินกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไปเท่านั้น
Private Fund ที่ทำให้ก็จะเป็น Private จริงๆ แบบลงทุนในหุ้นเลือกสรรเองได้อะไรได้
แต่ถามว่ามันคุ้มค่าจริงๆไหม ผมก็ยังแอบคิดว่า HN ของ KBANK มันก็คือ Wisdom Upgrade
เพิ่มสิทธิให้มากขึ้นในเชิงความสะดวก แต่มันเป็นสิทธิความสะดวกที่เราไม่ค่อยได้ใช้
เพราะส่วนใหญ่รวยๆ 50 ล้านบาทอัพ คงไม่มานั่งเล่นหุ้นทำ Private Fund ให้ปวดหัว ทำธุรกิจมันเน้นได้มากกว่านั้นได้อยู่แล้ว
ส่วนอันต่อมา ผมขอเรียกแค่ว่า Private Fund เพราะใช้บริการแค่นั้น ของ บล.ภัทร
เน้นการลงทุนทำกองทุนส่วนบุคคลให้กับลูกค้า เริ่มต้นที่ประมาณ 30 ล้านบาท (1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ส่วนสิทธิประโยชน์อื่นๆ ผมยังไม่เห็นอะไรที่แบบว่า ว้าวมากไปกว่าที่อื่นๆสักเท่าไหร่
โดยรวมถ้าเน้นทางด้านการลงทุนแบบจัดสรรทำกองทุนบุคคลเล็กๆเอง แนะนำที่นี่เขาจัดให้ได้ดีครับ
ส่วนธนาคารต่างประเทศ ก็จะมีเครดิตสวิส ที่เริ่มต้นประมาณ 60 ล้านบาท (2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
เป็น Private Banking ที่ดีมาก และตอบโจทย์ทุกการลงทุน การบริการทางการเงิน สิทธิพิเศษทางการเงิน
รวมถึงความเป็น Fund House ขนาดใหญ่ระดับโลก และระบบการโอนเงินข้ามทวีปรวดเร็ว ค่าธรรมเนียมต่ำ
สำหรับในไทยไม่มีนะครับ มีสาขาก็จริงแต่ก็ไม่ได้เข้ามาทำตลาดหรือให้บริการอะไร จะเน้นหนักที่สิงคโปร์เลยมากกว่า
ถ้าจะหาอะไรที่ดีกว่า CitiGold ในแง่ของ Worldwide คงต้องยกให้เครดิตสวิส เพราะอันนี้คือความเหนือชั้นแบบของแท้
คุณสามารถเลือกได้ครบถ้วนทุกอย่างอย่างที่ต้องการ ทุกบริการทางการเงิน จะลงทุนเอง , Private Fund , Fund of Fund
หรือจะเลือกลงทุนสินทรัพย์ตราสารชนิดอื่น ต้องการสร้างความซับซ้อนทางการลงทุน ระบบการเงินแบบครบวงจร
ไม่มีที่ไหนอีกแล้วจะดีเท่า Credit Suisse เพียงแต่คนไทยคงไม่ชอบเพราะไม่มีอะไรให้บริการที่นี่
เนื่องจากศูนย์กลางอยู่ที่สิงคโปร์ (สำหรับภูมิภาคนี้) นอกนั้นสาขาเขาก็มีอยู่ทั่วโลก ใช้บริการมาตรฐานเดียวกันทั้งโลกเช่นกัน
รวมถึงการให้บริการทางการเงินที่ไม่เปิดเผย (Nominee) เครดิตสวิสก็ยินดีให้บริการ ส่วน CitiGold ไม่มีให้บริการ
ส่วนทางด้านการบริการอื่นๆ อย่างเช่นพวกกฎหมาย การเงินซับซ้อน บริทิช เวอร์จิ้นส์, เคย์แมน
พวกนี้มีบริษัทนายหน้า (Broker) ให้บริการอยู่แล้วสำหรับคนที่มีธุรกรรมการเงินซ่อนเร้น ดังนั้นไม่จำเป็นต้องติดต่อธนาคารเหล่านี้
ส่วนพวก Club, High-Society ก็จะมีบ้างแล้วแต่โอกาส เช่นเขาจะมี Little Party เล็กๆ สำหรับกลุ่มคนรวยๆมาจอยกัน
หรือพวกงานอบรม สัมมนาเล็กๆ ส่วนใหญ่เศรษฐีตัวเป้งๆ ไม่ไปกันหรอกครับ จะมีก็แต่เศรษฐีระดับกลางๆที่ไป
เพราะตัวใหญ่ๆ ไม่จำเป็นต้องสัมมนา แต่จ้างพวกนักวิเคราะห์ระดับสูง หรือพวก Fund Manager เก่งๆ ไปให้บริการเลยดีกว่า
มันง่ายกว่าที่จะต้องไปฟังสัมมนาแล้วทำเอง จ้างคนเก่งๆทำมันซะเลย ง่ายกว่าเยอะ
แต่ถามว่าจริงๆแล้ว Private Banking ถือว่าจำเป็นมากมั้ย ... ก็มีบางอย่างที่มันดีจริงๆ แต่มันก็ไม่ถึงขนาดว่าไม่มีไม่ได้
มันเหมือนเป็นโปรโมชั่นของธนาคารมากกว่า ที่จะได้ไม่ต้องทำตลาดมาก แต่เน้นลูกค้ากระเป๋าหนักๆมาหาได้
เพราะธนาคารจะได้มีวอลุ่มให้มากขึ้นจากลูกค้ากระเป๋าใหญ่ๆ ส่วนพวกสิทธิพิเศษจริงๆมันก็หน้าที่พนักงานอยู่แล้วอ่ะนะ
ส่วนสิทธิพิเศษอื่นๆ มันก็เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีแล้วจะอยู่ไม่ได้
ดังนั้นผมจะชอบเป็นพิเศษพวกสินค้าบริการที่มีคุณค่าหรือความน่าประทับใจ สิทธิพิเศษเล็กๆน้อยๆ อะไรทำนองนี้
สำหรับในไทยแล้วพวกบริการ Private Banking เราจะเรียกว่า "บัตรเบ่ง" นั่นหมายถึงโชว์บัตรจะได้สิทธิพิเศษ
ก็สามารถเบ่งได้ว่าข้านะเว้ย เป็นลูกค้าระดับไฮโซ ต้องได้รับการบริการเป็นเลิศ อะไรทำนองนั้น 555
CitiGold สำหรับผมแล้วมองว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด และดีที่สุดในบรรดา Private Banking
อันดับแรกคือใช้เงินจำนวนไม่มากก็มีสิทธิพิเศษได้แล้ว สำหรับในไทยคือเริ่มต้นแค่ 2 ล้านบาท
แต่สำหรับต่างประเทศ CitiGold อาจเริ่มต้นมากถึง 5 ล้านบาท อย่างสิงคโปร์จะเอา CitiGold ได้
ก็ต้องเริ่มต้นที่ 250,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือก็ราวๆ 6 ล้านบาทไทยเป็นอย่างน้อย
แต่แว่วๆ มาว่า CitiGold ในไทยเร็วๆนี้ก็อาจจะขยับขั้นต่ำขึ้น เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากล
ส่วนสิทธิพิเศษของ CitiGold ก็จะมี Lounge ให้บริการ และพนักงานจะเข้ามาถามว่าต้องการดื่มอะไร ชากาแฟน้ำเปล่า
ก็เล็กๆน้อยๆครับ แต่ถ้าเป็นสำนักงานใหญ่ที่อโศก จะเป็น Lounge ใหญ่กว่า และมีเครื่องดื่มให้เลือกเยอะกว่า
พนักงานก็เยอะกว่า แล้วก็มีบริการอื่นๆให้มากกว่า แต่ถ้าไม่ได้เลือกบริการอะไรมากสาขาอื่นๆเช่นเซ็นทรัลเวิร์ลก็สะดวกดี
ข้อดีอีกอย่างคือบริการเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าจะไป CitiBank ที่ไหนบนโลก
ถ้าเป็น CitiGold ก็จะสามารถได้รับบริการอันเป็นเลิศได้อย่างเป็นมาตรฐานเท่าเทียม
ส่วนทางด้านการลงทุนก็จะมีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำ ลักษณะที่ทำคือจะเป็นการลงทุนแบบ Fund of Fund
นั่นหมายถึงเจ้าหน้าที่จะให้บริการลงทุนกับเราเช่นเราต้องการลงทุนเสี่ยงน้อย เขาก็จะซื้อกองทุนต่างๆจัดเป็นพอร์ทให้เราอีกที
พูดง่ายๆคือ เอาเงินเราไปซื้อกองทุนของ บลจ. อื่นๆ และจัดสรรให้เรา โดยคำนึงถึง Perform ของกองทุน
อย่างที่ใช้บริการอยู่ก็ค่อนข้างประทับใจครับ เพราะเขาเลือกกองทุนดีๆ มาให้เราจริงๆ จัดสรรเป็นโมเดล ดีพอสมควรเลย
บางทีเล่นหุ้นเองอย่างปวดกะบาล แต่ให้เขาจัดเป็น Fund of Fund ให้เราก็โอเคดีเหมือนกันครับ
แตกต่างจากที่อื่นตรงที่บางแห่ง จะขายแค่กองทุนของตัวเองเท่านั้น ส่วน CitiGold (ไทย) จะเลือกหลายๆที่มาให้เรา
ดังนั้น Perform ในเชิงการลงทุนจึงดีกว่า เพราะเขามีอิสระในการเลือกให้เรา ใช้ได้ทั่วโลก เป็นมาตรฐาน
โดยรวมแล้ว ถ้าเลือก Private Banking ผมว่า CitiGold เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้สำหรับคนไทย
ทางด้านสิทธิพิเศษอื่นๆเช่นพวกที่จอดรถ ทาง CitiBank จะจัดเกรดให้ตามบัตรเครดิต
ดังนั้นส่วนนี้จะไม่ได้รวมเข้าไปด้วย แต่จะเป็นสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตแทน เช่นบัตร Ultima ของ CitiBank
จะครบทุกสิทธิพิเศษ ก็เริ่มต้นด้วยการเป็น CitiGold วงเงิน 10 ล้านบาท จึงมีสิทธิเปิดบัตรชนิดนี้ได้
แล้วสิทธิพิเศษจะมาพร้อมบัตร แต่ถ้าพวกสิทธิพิเศษพวกนั้นเราไม่ได้ใช้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีหรอกครับ
ส่วน Wisdom อันนี้ที่ผมว่าเลียนแบบ Private Banking เขามา แต่ทำได้ยังไม่เวิร์ค
แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่ดี เพียงแต่มันยังไม่มีความพิเศษเหนือความคาดหมายอะไรมากมายนัก
บัตร Wisdom เริ่มต้นที่ว่า ถ้าซื้อกองทุน/ประจำ ตั้งแต่ 10 ล้านบาท มากกว่า 6 เดือนขึ้นไป สามารถสมัครได้
แต่ถ้าเป็นการซื้อประกันนู่นนี่นั่นก็มีเงื่อนไขต่างหาก (ยุ่งยากสุดๆ) ... ทางด้าน Private Banking
เท่าที่เห็นผมก็ไม่ได้เห็นว่าจะดีกว่า CitiGold ตรงไหน แถมใช้ได้แค่ในไทย ออกเมืองนอกก็ทำอะไรไม่ได้
(ไปเบ่งเมืองนอกไม่ได้แหละว่างั้น) บริการตู้นิรภัย CitiGold ก็มี ส่วนบริการที่ปรึกษาการลงทุน "ไม่มี" นะจ๊ะ
ดังนั้นในเชิงความคุ้มค่า ผมยังมองว่า KBANK Wisdom ยังไม่เวิร์คเท่าที่ควร ยังไม่เป๊ะ ยังไม่เจ๋ง ยังไม่พิเศษ
แถมมันเกร่อมาก จริงอยู่ว่า Wisdom เองก็มี Lounge (แต่ CitiGold ก็มี) และบริการก็ดูไม่แตกต่างกัน
ผมเองใช้บริการก็ยังไม่รู้สึกว่า Wisdom จะดีมากมายตรงไหน มันควรจะดีมากกว่านี้ แต่ก็ยังไม่ดีมากนัก
แต่ถ้าเป็น HN (High Net Worth) ของ KBANK ก็จะดีกว่า Wisdom สามารถทำ Private Fund ได้
ส่วนนี้ KBANK ไม่ได้เปิดทำการตลาด เพราะจะ Invite เฉพาะลูกค้าที่มียอดสินทรัพย์เกินกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไปเท่านั้น
Private Fund ที่ทำให้ก็จะเป็น Private จริงๆ แบบลงทุนในหุ้นเลือกสรรเองได้อะไรได้
แต่ถามว่ามันคุ้มค่าจริงๆไหม ผมก็ยังแอบคิดว่า HN ของ KBANK มันก็คือ Wisdom Upgrade
เพิ่มสิทธิให้มากขึ้นในเชิงความสะดวก แต่มันเป็นสิทธิความสะดวกที่เราไม่ค่อยได้ใช้
เพราะส่วนใหญ่รวยๆ 50 ล้านบาทอัพ คงไม่มานั่งเล่นหุ้นทำ Private Fund ให้ปวดหัว ทำธุรกิจมันเน้นได้มากกว่านั้นได้อยู่แล้ว
ส่วนอันต่อมา ผมขอเรียกแค่ว่า Private Fund เพราะใช้บริการแค่นั้น ของ บล.ภัทร
เน้นการลงทุนทำกองทุนส่วนบุคคลให้กับลูกค้า เริ่มต้นที่ประมาณ 30 ล้านบาท (1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ส่วนสิทธิประโยชน์อื่นๆ ผมยังไม่เห็นอะไรที่แบบว่า ว้าวมากไปกว่าที่อื่นๆสักเท่าไหร่
โดยรวมถ้าเน้นทางด้านการลงทุนแบบจัดสรรทำกองทุนบุคคลเล็กๆเอง แนะนำที่นี่เขาจัดให้ได้ดีครับ
ส่วนธนาคารต่างประเทศ ก็จะมีเครดิตสวิส ที่เริ่มต้นประมาณ 60 ล้านบาท (2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
เป็น Private Banking ที่ดีมาก และตอบโจทย์ทุกการลงทุน การบริการทางการเงิน สิทธิพิเศษทางการเงิน
รวมถึงความเป็น Fund House ขนาดใหญ่ระดับโลก และระบบการโอนเงินข้ามทวีปรวดเร็ว ค่าธรรมเนียมต่ำ
สำหรับในไทยไม่มีนะครับ มีสาขาก็จริงแต่ก็ไม่ได้เข้ามาทำตลาดหรือให้บริการอะไร จะเน้นหนักที่สิงคโปร์เลยมากกว่า
ถ้าจะหาอะไรที่ดีกว่า CitiGold ในแง่ของ Worldwide คงต้องยกให้เครดิตสวิส เพราะอันนี้คือความเหนือชั้นแบบของแท้
คุณสามารถเลือกได้ครบถ้วนทุกอย่างอย่างที่ต้องการ ทุกบริการทางการเงิน จะลงทุนเอง , Private Fund , Fund of Fund
หรือจะเลือกลงทุนสินทรัพย์ตราสารชนิดอื่น ต้องการสร้างความซับซ้อนทางการลงทุน ระบบการเงินแบบครบวงจร
ไม่มีที่ไหนอีกแล้วจะดีเท่า Credit Suisse เพียงแต่คนไทยคงไม่ชอบเพราะไม่มีอะไรให้บริการที่นี่
เนื่องจากศูนย์กลางอยู่ที่สิงคโปร์ (สำหรับภูมิภาคนี้) นอกนั้นสาขาเขาก็มีอยู่ทั่วโลก ใช้บริการมาตรฐานเดียวกันทั้งโลกเช่นกัน
รวมถึงการให้บริการทางการเงินที่ไม่เปิดเผย (Nominee) เครดิตสวิสก็ยินดีให้บริการ ส่วน CitiGold ไม่มีให้บริการ
ส่วนทางด้านการบริการอื่นๆ อย่างเช่นพวกกฎหมาย การเงินซับซ้อน บริทิช เวอร์จิ้นส์, เคย์แมน
พวกนี้มีบริษัทนายหน้า (Broker) ให้บริการอยู่แล้วสำหรับคนที่มีธุรกรรมการเงินซ่อนเร้น ดังนั้นไม่จำเป็นต้องติดต่อธนาคารเหล่านี้
ส่วนพวก Club, High-Society ก็จะมีบ้างแล้วแต่โอกาส เช่นเขาจะมี Little Party เล็กๆ สำหรับกลุ่มคนรวยๆมาจอยกัน
หรือพวกงานอบรม สัมมนาเล็กๆ ส่วนใหญ่เศรษฐีตัวเป้งๆ ไม่ไปกันหรอกครับ จะมีก็แต่เศรษฐีระดับกลางๆที่ไป
เพราะตัวใหญ่ๆ ไม่จำเป็นต้องสัมมนา แต่จ้างพวกนักวิเคราะห์ระดับสูง หรือพวก Fund Manager เก่งๆ ไปให้บริการเลยดีกว่า
มันง่ายกว่าที่จะต้องไปฟังสัมมนาแล้วทำเอง จ้างคนเก่งๆทำมันซะเลย ง่ายกว่าเยอะ
แต่ถามว่าจริงๆแล้ว Private Banking ถือว่าจำเป็นมากมั้ย ... ก็มีบางอย่างที่มันดีจริงๆ แต่มันก็ไม่ถึงขนาดว่าไม่มีไม่ได้
มันเหมือนเป็นโปรโมชั่นของธนาคารมากกว่า ที่จะได้ไม่ต้องทำตลาดมาก แต่เน้นลูกค้ากระเป๋าหนักๆมาหาได้
เพราะธนาคารจะได้มีวอลุ่มให้มากขึ้นจากลูกค้ากระเป๋าใหญ่ๆ ส่วนพวกสิทธิพิเศษจริงๆมันก็หน้าที่พนักงานอยู่แล้วอ่ะนะ
ส่วนสิทธิพิเศษอื่นๆ มันก็เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีแล้วจะอยู่ไม่ได้
ความคิดเห็นที่ 11
ไมรู้อะ เปนเราถ้ามีสิทธิพิเศษพวกนี้ก็ดีอะนะ แต่ไม่ชอบควมเหลื่มล้ำความไม่เท่าเทียม มันสงสารคนจนๆๆที่เขาแทบหมดสิทธิจะได้แม้แต่เพียงเสี้ยวเดียวอะนะ
เราชอบแค่ความสะดวกสบายที่ได้รับแค่นั้นแหละ แต่พอมองไปเหนคนที่เขายืนต่อแถวเข้าคิวรึไม่มีที่นั่งในขณะที่เรานั่งโออ่า ใจัมนก็สลดและขอไม่นั่งได้ปะ นั่งไม่ลงจริงๆ ถึงนั่งต่อก็ไม่สบายใจบอกไม่ถูก (เคยมาแล้ว)
ไม่ชอบจริงๆได้ดีเหนือหัวคนอื่น แบบเวลานั่งบิสสิเนสคลาสอะกะเดินลงมาเจออิโคโนมี่นั่งเบียดๆ เหม็นๆลูกเด็กร้องกระจองอแงมันสะท้อนความรู้สึกมากๆ สงสารเขาแต่เราก็ทำไรไม่ได้
เปนไปได้วันหลังขอไปนั่งเบียดๆดีกว่าสบายใจอยากเปนเหมือนเขาไม่ชอบความรู้สึกเอาเปรียบไม่ว่าเราหรือเขาเอาเปรียบ สุขก็สุขด้วยกันทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกันสบายใจดี
ไม่ได้โลกสวยนะตอบตามจริง สิทธิพิเศษไม่ได้มีค่าหรือทำให้เรามีความสุขไรมากเลยนอกจากสะดวกและสบายขึ้น แต่พอมองในแง่แล้วคนอื่นล่ะ มันอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ไปรึป่าว เราขี้สงสารอะนะ เราขอเปนคนทั่วไปมีความสุขเท่าๆกันได้รับสิ่งคล้ายๆกันดีกว่านะ
สาบานคิดงี้จริงๆ และเราไม่อยากให้โลกนี้บ้าไปกว่านี้อีกแล้วยิ่งรวยยิ่งสำคัญได้รับเกียรติ
เงินมันไม่ใช่ทุกอย่างความดีตะหากที่น่าเอามาเชิดชู
บางคนมีเงินเปนร้อยล้านแต่ชั่วบัดซบค้าผงค้ากามโกงกิน ก็ได้รับสิทธิพิเศษใครก็ก้มหัวเหรอ ไม่ดูที่มาหน่อยเหรอ
รึว่าไม่รู้เหนรวยก็ยกย่องเทิดทูนแล้ว
มันไม่ใช่อะ เราอะนะเหนคนรวยแต่งตัวสวยก็ชื่นชมเออสวยดี แต่มาทำท่าหยิ่งใส่รึเหนือกว่าก็พร้อมตบกลิ้งได้ทุกเมื่อ
เมิงจะรวยมาจากไหนกุไม่เคยกลัวเพราะไม่เคยตัดสินใครจากเงินอยู่แล้ว คุณค่มนุษย์ในความรู้สึกเราไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นค่ะ
เราชอบแค่ความสะดวกสบายที่ได้รับแค่นั้นแหละ แต่พอมองไปเหนคนที่เขายืนต่อแถวเข้าคิวรึไม่มีที่นั่งในขณะที่เรานั่งโออ่า ใจัมนก็สลดและขอไม่นั่งได้ปะ นั่งไม่ลงจริงๆ ถึงนั่งต่อก็ไม่สบายใจบอกไม่ถูก (เคยมาแล้ว)
ไม่ชอบจริงๆได้ดีเหนือหัวคนอื่น แบบเวลานั่งบิสสิเนสคลาสอะกะเดินลงมาเจออิโคโนมี่นั่งเบียดๆ เหม็นๆลูกเด็กร้องกระจองอแงมันสะท้อนความรู้สึกมากๆ สงสารเขาแต่เราก็ทำไรไม่ได้
เปนไปได้วันหลังขอไปนั่งเบียดๆดีกว่าสบายใจอยากเปนเหมือนเขาไม่ชอบความรู้สึกเอาเปรียบไม่ว่าเราหรือเขาเอาเปรียบ สุขก็สุขด้วยกันทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกันสบายใจดี
ไม่ได้โลกสวยนะตอบตามจริง สิทธิพิเศษไม่ได้มีค่าหรือทำให้เรามีความสุขไรมากเลยนอกจากสะดวกและสบายขึ้น แต่พอมองในแง่แล้วคนอื่นล่ะ มันอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ไปรึป่าว เราขี้สงสารอะนะ เราขอเปนคนทั่วไปมีความสุขเท่าๆกันได้รับสิ่งคล้ายๆกันดีกว่านะ
สาบานคิดงี้จริงๆ และเราไม่อยากให้โลกนี้บ้าไปกว่านี้อีกแล้วยิ่งรวยยิ่งสำคัญได้รับเกียรติ
เงินมันไม่ใช่ทุกอย่างความดีตะหากที่น่าเอามาเชิดชู
บางคนมีเงินเปนร้อยล้านแต่ชั่วบัดซบค้าผงค้ากามโกงกิน ก็ได้รับสิทธิพิเศษใครก็ก้มหัวเหรอ ไม่ดูที่มาหน่อยเหรอ
รึว่าไม่รู้เหนรวยก็ยกย่องเทิดทูนแล้ว
มันไม่ใช่อะ เราอะนะเหนคนรวยแต่งตัวสวยก็ชื่นชมเออสวยดี แต่มาทำท่าหยิ่งใส่รึเหนือกว่าก็พร้อมตบกลิ้งได้ทุกเมื่อ
เมิงจะรวยมาจากไหนกุไม่เคยกลัวเพราะไม่เคยตัดสินใครจากเงินอยู่แล้ว คุณค่มนุษย์ในความรู้สึกเราไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นค่ะ
ความคิดเห็นที่ 4
เห็นเขาว่านะ อันนี้เขาเชิญโดยเฉพาะ เป็นรายๆไป
บัตร(ไม่ใช่เครดิตการ์ดนะ) มีสิทธิประโยชน์ หลายอยู่ แต่ที่ใช้บ่อยและชอบมากที่สุดคือ ( ถ้า k group ยกเลิกเมื่อไหร่ละน่าดู %$#@ )
คือ เวลาเดินทางไป ตปท นั่งสายการบินอะไรก็ได้ ชั้นไหนก็ได้ ลูกค้าสามารถ ขอรับบริการ
1 ขาออก นอกประเทศ - มีรถลีมูซีน ระดับ E class ไปรับ ที่บ้าน มาสนามบิน / พาไปเค้าเตอร์เช็กอิน /พาไปเข้าช่องตรวจคน fast track / ส่งหน้า king power เพื่อ ช้อปปิ้ง ได้เลย
2 ขาเข้าประเทศ -มีรถ บักกี้ มารับถึง งวงช้างเลยจ้า เท่ห์ ฝุดๆๆ / พาเข้า ตรวจคน fast track / รับกระเป๋า ขนกระเป๋าให้ / พาเดิน ตัวปลิว ผ่านด่าน ศุลกากรแบบที่ไม่เคยโดนเรียกตรวจแม้แต่ครั้งเดียว (เมื่อก่อน ตอนไม่มีบริการนี้ โดนตรวจ เกือบทุก ครั้ง ที่ผ่านด่าน (สงสัยหน้าตาผิดระเบียบ) / รถ E class รับกลับ บ้าน
ปล งวดก่อนไป ญี่ปุ่น 2คน แบกไวน์ Premier Crus Classes มาเกือบ 10 ขวด^^
หมายเหตุ บัตร 1ใบ ใช้ได้ แค่2 คน รวมผู้ติดตามแล้ว นะ
อย่างน้องแจ้ส น่าจะมีไว้เสริม บารมี บ้างน้า
เห็นเขาว่านะ อันนี้เขาเชิญโดยเฉพาะ เป็นรายๆไป
บัตร(ไม่ใช่เครดิตการ์ดนะ) มีสิทธิประโยชน์ หลายอยู่ แต่ที่ใช้บ่อยและชอบมากที่สุดคือ ( ถ้า k group ยกเลิกเมื่อไหร่ละน่าดู %$#@ )
คือ เวลาเดินทางไป ตปท นั่งสายการบินอะไรก็ได้ ชั้นไหนก็ได้ ลูกค้าสามารถ ขอรับบริการ
1 ขาออก นอกประเทศ - มีรถลีมูซีน ระดับ E class ไปรับ ที่บ้าน มาสนามบิน / พาไปเค้าเตอร์เช็กอิน /พาไปเข้าช่องตรวจคน fast track / ส่งหน้า king power เพื่อ ช้อปปิ้ง ได้เลย
2 ขาเข้าประเทศ -มีรถ บักกี้ มารับถึง งวงช้างเลยจ้า เท่ห์ ฝุดๆๆ / พาเข้า ตรวจคน fast track / รับกระเป๋า ขนกระเป๋าให้ / พาเดิน ตัวปลิว ผ่านด่าน ศุลกากรแบบที่ไม่เคยโดนเรียกตรวจแม้แต่ครั้งเดียว (เมื่อก่อน ตอนไม่มีบริการนี้ โดนตรวจ เกือบทุก ครั้ง ที่ผ่านด่าน (สงสัยหน้าตาผิดระเบียบ) / รถ E class รับกลับ บ้าน
ปล งวดก่อนไป ญี่ปุ่น 2คน แบกไวน์ Premier Crus Classes มาเกือบ 10 ขวด^^
หมายเหตุ บัตร 1ใบ ใช้ได้ แค่2 คน รวมผู้ติดตามแล้ว นะ
อย่างน้องแจ้ส น่าจะมีไว้เสริม บารมี บ้างน้า
ความคิดเห็นที่ 3
มี HSBC Singapore อยู่ครับ
ก็ได้บัตรเครดิต HSBC Premiere มา (ตอนนั้นเมืองไทย HSBC ทำ retail banking อยู่ด้วย) ก็เลยมีการโอนสิทธิ์ให้มาใช้ในเมืองไทย
ถ้าไปใช้บริการก็จะมี relationship manager ไว้ดูแลจัดการเรื่อง account ต่างๆ มีห้องส่วนตัว เวลาไปติดต่อธนาคาร ทั้งนี้ การบริการขึ้นอยู่กับ relationship manager ครับ บางคนดีก็จะ active หน่อย พยายามส่งอีเมล์มาเสนอแนะหรือแนะนำข้อมูลที่สำคัญๆ บางคนไม่ active เลยก็มีครับ
ตอนนี้บัตรผมถูกย้ายมาเป็น Krungsri Exclusive Banking แล้ว ซึ่งบอกได้ว่า ค่อนข้างแย่ครับ โทรศัพท์ไปติดต่อ customer care ยังต้องรอนาน เคยถือสายรอ 20 นาที ผิดกับบัตร Private Banking ของ กสิกรหรือ Citibank Platinum Select Hotline บอกตรงๆ ว่า ไม่ถูกใจ Krungsri Exclusive Banking เลย แม้แต่นิดเดียวครับ
อีกธนาคารแห่งหนึ่ง Couts ครับ เมืองไทยคงไม่รู้จักเท่าไหร่นักแต่พอมีลูกค้าอยู่บ้าง
มีแต่ Account Manager ครับ ทำหน้าที่ทุกอย่าง แนะนำการลงทุนให้ แนะนำว่าตัวไหนน่าสนใจบ้าง สามารถสั่งซื้อขายหุ้นได้ มี instrument แปลกๆ มากมายครับ เยอะจนบางครั้งผมต้องมานั่งทำการบ้านเยอะแยะว่าอะไรคืออะไร อารมณ์จะคล้ายๆ กับ Credit Suisse ตามที่คุณ venezier เล่ามาครับ ส่วน account manager ผมเจอค่อนข้างบ่อยเลยครับ มาปีละ 2 - 3 ครั้งได้ ก็พาไปกินข้าว เลี้ยงกันไปเลี้ยงกันมา
ที่นี้มีแปลกๆ ครับ เช่น เสนอให้ผมกู้เงินดอกเบี้ย 1 - 2% เพื่อไปซื้อหุ้นกู้ของบริษัท xxx ที่ได้ดอกเบี้ยเยอะ เช่น 4 - 5% เป็นต้น
ผมเคยถาม account manager อยู่เหมือนกันว่า ทำไมแบงค์ไม่ซื้อเอง ทาง account manager ก็ตอบมาว่า ก็เพราะว่าธนาคารซื้อโดยตรงไม่ได้ เลยจัดให้ลูกค้าแทน กลายเป็น case ที่ WIN WIN ไป ก็แปลกดีครับ
แต่ถ้าให้พูดถึง benefit ต่างๆ แทบไม่มีเลยครับ
อ้อ แต่ทั้งสองที่ระบบออนไลน์ดีมากนะครับ ที่แรกมี password dongle ให้ อีกที่ให้เป็น RSA SecurID ให้เลย
ก็ได้บัตรเครดิต HSBC Premiere มา (ตอนนั้นเมืองไทย HSBC ทำ retail banking อยู่ด้วย) ก็เลยมีการโอนสิทธิ์ให้มาใช้ในเมืองไทย
ถ้าไปใช้บริการก็จะมี relationship manager ไว้ดูแลจัดการเรื่อง account ต่างๆ มีห้องส่วนตัว เวลาไปติดต่อธนาคาร ทั้งนี้ การบริการขึ้นอยู่กับ relationship manager ครับ บางคนดีก็จะ active หน่อย พยายามส่งอีเมล์มาเสนอแนะหรือแนะนำข้อมูลที่สำคัญๆ บางคนไม่ active เลยก็มีครับ
ตอนนี้บัตรผมถูกย้ายมาเป็น Krungsri Exclusive Banking แล้ว ซึ่งบอกได้ว่า ค่อนข้างแย่ครับ โทรศัพท์ไปติดต่อ customer care ยังต้องรอนาน เคยถือสายรอ 20 นาที ผิดกับบัตร Private Banking ของ กสิกรหรือ Citibank Platinum Select Hotline บอกตรงๆ ว่า ไม่ถูกใจ Krungsri Exclusive Banking เลย แม้แต่นิดเดียวครับ
อีกธนาคารแห่งหนึ่ง Couts ครับ เมืองไทยคงไม่รู้จักเท่าไหร่นักแต่พอมีลูกค้าอยู่บ้าง
มีแต่ Account Manager ครับ ทำหน้าที่ทุกอย่าง แนะนำการลงทุนให้ แนะนำว่าตัวไหนน่าสนใจบ้าง สามารถสั่งซื้อขายหุ้นได้ มี instrument แปลกๆ มากมายครับ เยอะจนบางครั้งผมต้องมานั่งทำการบ้านเยอะแยะว่าอะไรคืออะไร อารมณ์จะคล้ายๆ กับ Credit Suisse ตามที่คุณ venezier เล่ามาครับ ส่วน account manager ผมเจอค่อนข้างบ่อยเลยครับ มาปีละ 2 - 3 ครั้งได้ ก็พาไปกินข้าว เลี้ยงกันไปเลี้ยงกันมา
ที่นี้มีแปลกๆ ครับ เช่น เสนอให้ผมกู้เงินดอกเบี้ย 1 - 2% เพื่อไปซื้อหุ้นกู้ของบริษัท xxx ที่ได้ดอกเบี้ยเยอะ เช่น 4 - 5% เป็นต้น
ผมเคยถาม account manager อยู่เหมือนกันว่า ทำไมแบงค์ไม่ซื้อเอง ทาง account manager ก็ตอบมาว่า ก็เพราะว่าธนาคารซื้อโดยตรงไม่ได้ เลยจัดให้ลูกค้าแทน กลายเป็น case ที่ WIN WIN ไป ก็แปลกดีครับ
แต่ถ้าให้พูดถึง benefit ต่างๆ แทบไม่มีเลยครับ
อ้อ แต่ทั้งสองที่ระบบออนไลน์ดีมากนะครับ ที่แรกมี password dongle ให้ อีกที่ให้เป็น RSA SecurID ให้เลย
แสดงความคิดเห็น
ใครเคยมีประสบการณ์ในการใช้บริการ Private Banking บ้างครับ
๑. มีเงินฝากมากกว่า ๕ ล้านบาท
มีห้องส่วนตัวให้นั่งจิบกาแฟ มีขนมให้ทาน
๒. มีเงินฝากมากกว่า ๑๐ ล้านบาท
อภิสิทธิ์ตามข้อ ๑ และเพิ่มเติมดังนี้
- ที่จอดรถฟรี ไม่เกิน ๓ วัน ณ สาขาที่ให้บริการ
- เลขานุการด้านการเงินส่วนตัวในเวลาทำการ
ถ้านอกเวลาทำการมีเบอร์โทรฟรีเป็น Premium Customer Service
ไม่ต้องฟังโฆษณาหรือรอคิว
๓. มีเงินฝากมากกว่า ๒๐ ล้านบาท
อภิสิทธิ์ตามข้อ ๒ และเพิ่มเติมดังนี้
- ผู้เชี่ยวชาญการเงินส่วนตัว เช่น ปรึกษาการจัดพอร์ต
อย่างไรให้เสียภาษีน้อย รับปรึกษาการลงทุนแบบทางเลือก เช่น การซื้ออสังหา
บริการหาคอนเนคชั่นทางธุรกิจ ทั้งนี้ไม่เสียค่าธรรมเนียมถ้าใช้บัญชีของธนาคาร ฯ
ในการทำธุรกรรม
๔. มีเงินฝากมากกว่า ๕๐ ล้านบาท
อภิสิทธิ์ตามข้อ ๓ และเพิ่มเติมดังนี้
-ธนาคารมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย-กฎหมายระหว่างประเทศให้บริการในเวลาทำการ
สามารถปรึกษาเรื่องกฎหมายการเงินที่มีความซับซ้อน หรือการลงทุนในต่างประเทศ
เช่น บริติช เวอร์จิ้น ไอส์แลนด์ ฯลฯ
-ธนาคารมี High Society Club เพื่อสร้างความเพลิดเพลินแก่ลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง
๕. มีเงินฝากมากกว่า ๑๐๐ ล้านบาท
อภิสิทธิ์ตามข้อ ๔ และเพิ่มเติมดังนี้
-ธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียมและเพิ่มดอกเบี้ยให้ +.๒๕
เมื่อมีเงินฝากเฉลี่ยต่อปีมากกว่า ๑๐๐ ล้านบาท
-รับบริการพิเศษจากธนาคารพันธมิตรเมื่อไปต่างประเทศ คุณจะเป็นแขก VIP
และได้รับความช่วยเหลือ แนะนำ ตลอดเวลาที่อยู่กับธนาคารพันธมิตรของเราในต่างประเทศ
-บริการ Safe Custodian เพื่อเก็บทรัพย์สินมีค่าในธนาคารต่างประเทศที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
ตลอดจนบริการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินที่ไม่เผยแพร่ทั่วไป
หมายเหตุ : High-net-worth individual ตามเกณฑ์สากล คือ
http://en.wikipedia.org/wiki/High-net-worth_individual
ระดับเกือบรวย : 100,000-1,000,000 USD หรือ 3,000,000 - 30,000,000 บาท
ระดับรวย : ....................................................30,000,000 - 150,000,000 บาท
ระดับรวยมาก : ............................................150,000,000 - 900,000,000 บาท
ระดับพิเศษ : ........................................................... > 900,000,000 บาท