เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
*********
ปฐมบท
บนสรวงสวรรค์อันตระการ...
ในเพลาหนึ่ง...
ขณะที่องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เทพเจ้าสูงสุดแห่งโลกได้เสด็จมาในนภากาศพร้อมพรั่งด้วยเหล่าเทพบุตรแลเทพธิดาทั้งหลาย
ทันใด... บังเกิดเกลียวพายุแสงสีรุ้งพุ่งเสียดฟ้าเข้าปะทะกระบวนเสด็จแห่งองค์เทพเจ้าจนเหล่าบรรดาทวยเทพพากันกระเด็นกระดอนลอยละลิ่วแตกกระจายกันไปคนละทิศละทาง
เทพยดาทุกองค์ต่างพากันตะตะลึงพรึงเพริดในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นที่ยิ่ง พลางจับกลุ่มกันซุบซิบนินทาจนเสียงอึงอลไปทั่วทั้งท้องฟ้า
องค์เทวาผู้เป็นประมุขแห่งสวรรค์ทรงมีพระบัญชาให้ สุบินเทพ เทพบุตรผู้สง่าเร่งรีบติดตามเกลียวพายุสีรุ้งสายนั้นไปโดยไม่ชักช้า
เทพบุตรผู้ได้รับมอบหมายพระบัญชาได้ติดตามเกลียวพายุสายนั้นมาจนกระทั่งถึงภูผาใหญ่ จึงได้สดับเสียงสนทนาพาทีหยอกล้อต่อกระซิกระริกระรี้กันระหว่างบุรุษสองผู้ที่แผ่วผิวออกมาจากซอกหลืบหนึ่งของหน้าผา
สุบินเทพผู้นั้นหมายใจจะรู้แจ้งเห็นจริงถึงต้นกำเนิดเสียง จึงค่อยๆเหาะเลียบเข้าไปอย่างช้าๆ และแอบซุ่มดูอยู่ไม่ไกลนัก
ทันใดกันนั้นเอง...
ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาได้ทำให้สุบินเทพถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดเปิดตาอ้าปากค้างในทันที
บุรุษหนุ่มฉกรรจ์ใบหน้างดงามหยดย้อยสองผู้กำลังกอดตระกองประคองโอบรัดพรมจุมพิตกันเองอย่างดื่มด่ำฉ่ำชุ่มราวกับเป็นคู่รักหนุ่มสาวกระนั้น
สุบินเทพจดจำได้เป็นแม่นมั่นว่า บุรุษผู้หนึ่งนั้นคือ มูรตีเทพ ส่วนอีกหนึ่งคือ ฉกรรณเทพ จึงได้รีบนำความกลับมากราบบังคมทูลองค์เทวาในบัดดล
เมื่อกาลทุกอย่างเป็นประจักษ์แจ้งดั่งนั้น องค์เทวาผู้ยิ่งใหญ่จึงทรงลงทัณฑ์เทพบุตรทั้งสองโดยให้ไปบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ ณ ภูผาแห่งนั้นไปตลอดกาล
ราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดจะจบลงด้วยดี แต่แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่
หลังจากนั้น...
สุบินเทพ หวนระลึกถึงภาพการอภิรมย์รักแห่งมูรตีเทพและฉกรรณเทพแล้ว ก็สุดจะหักห้ามใจอันใดได้ เนื่องจากเพราะตนเองก็พิสมัยในรสพิศวาสเช่นนี้อยู่เช่นกัน แต่มิกล้าเผยความปรารถนาเบื้องลึกให้ผู้ใดได้ล่วงรู้มาก่อนเก่า
ดังนั้น...
ในวันหนึ่ง สุบินเทพผู้สง่า จึงได้เหาะมายังภูผาอันเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรภาวนาของมูรตีเทพและฉกรรณเทพ ก่อนจะแอบลักลอบมีสัมพันธ์รักอย่างดูดดื่มหวานชื่นกับเทพบุตรทั้งสองอยู่ถึงเจ็ดทิวาราตรีกาลติดต่อกัน
ความทราบถึงองค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เทพเจ้าเบื้องสูง จึงทรงมีพระบัญชาให้เรียกหาเทพบุตรทั้งสามมาสอบถามเอาความ เมื่อกาลเป็นจริงดังนั้นแล องค์เทวาจึงทรงลงทัณฑ์ โดบอัปเปหิเทพบุตรทั้งสามออกจากสรวงสวรรค์ในทันใด แลให้กลับลงไปจุติยังโลกมนุษย์อีกคราเพื่อบำเพ็ญเพียรภาวนาใหม่
ในขณะที่เทพบุตรทั้งสามลงสู่โลกมนุษย์นั้น ผิวกายได้ต้องอากาศธาตุบังเกิดเป็นอนูเพลิงส่องประกายแสงสีรุ้งออกมาอย่างมหาศาล ก่อนพลังแสงจะแตกออกเป็นสามสายแล้วพุ่งลงสู่สามราชอาณาจักรบนแผ่นพื้นพสุธาเกวลทวีปอันลี้ลับและกว้างใหญ่ในทันที
อนึ่ง... เกวลทวีปในครานั้น เป็นผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล อยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรอันลี้ลับที่ไม่สามารถรุบุได้แน่ชัดว่าอยู่หนใดในโลกา
บนเกวลทวีปแห่งนี้มีอาณาจักรแลนครรัฐอยู่มากมาย หากแต่มีเพียงสามราชอาณาจักรใหญ่ที่โดดเด่นเสมอกันอันได้แก่ อนันตา ละวิรัฐ และเถมรู
มาตรว่า มูรตีเทพ นั้น ได้มาประสูติเป็นพระราชโอรสพระเจ้ากรุงอนันตา ส่วนฉกรรณเทพ ได้มาประสูติเป็นพระราชโอรสพระเจ้ากรุงละวิรัฐ และสุบินเทพ ได้มาประสูติเป็นพระราชธิดาพระเจ้ากรุงเถมรูกระนั้นแล
จากผลกรรมที่ได้กระทำร่วมกันมาเมื่อครั้งอยู่บนสรวงสวรรค์ จึงดลบันดาลให้เทพทั้งสามผู้จุติเป็นมนุษย์ ต้องดำเนินชีวิตไปตามครรลองพระลิขิตแห่งองค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ นับแต่บัดนั้น
* * * * * * * * *
บทที่ 1
ชานกรุงอนันตา...
กระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคอันตระการตาได้ยุรยาตรอย่างสง่างามมาตามลำเนาป่าละเมาะอย่างช้าๆ ท่ามกลางเหล่าสิงสาราสัตว์นานานับที่กรูกันมาแอบชำเลืองมองอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้สองข้างทาง
กวางน้อยตัวหนึ่งชูคอไสวพลางกลอกกลิ้งนัยน์ตาอันเป็นมันระยับจ้องไปยังเหล่ามนุษย์แปลกๆเหล่านั้น แม้นว่ามันจะหาเข้าใจถึงกิจกรรมที่ได้ประสบพบไม่ แต่ประสาทสัมผัสของมันก็สั่งการให้เท้าทั้งคู่ขยับเขยื้อนเข้าไปดูให้ถนัดตา
โหมง..ง..ง..ง... หง่าง..ง..ง
เสียงฆ้อง กลองมโหระทึก ดังกึกก้องกังวาลจนสรรพสัตว์บนดินพากันกระโจนหนีไปสิ้น...
อีกทั้งเหล่าปักษิณก็โผผินบินกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง ราวกับมหันตภัยร้ายมาเยี่ยมเยือน
มโหรีนำกระบวนขับประโคมบรรเลงท่วงทำนองอันไพเราะเสนาะโสต ประกอบพยุหยาตราในครานั้นอันประกอบไปด้วยเหล่าข้าราชบริพารทั้งชายหญิงในชุดเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับทั้งทอง เงิน นาค และอัญมณีอันแปลกประหลาดละลานตาน่าชมพิสมัยเป็นยิ่งนัก
เหล่านางกำนัลสวยสะคราญแลอ้อนแอ้นอรชร สวมผ้านุ่งที่ยาวแลปล่อยชายผ้าด้านหลังให้ยาวระพื้นเดินอัญเชิญเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศแห่งองค์พระมหากษัตริย์นำหน้า และตามหลังพระเสลี่ยงทองคำอันตระการตาอันเป็นที่ประทับแห่งพระเจ้ากรุงเถมรูผู้มากด้วยพระชนมายุ
ไกลออกไปในป่านั้น...
พลันปรากฏทหารอนันตาผู้ห้าวหาญ ควบอาชาตะบึงตรงมายังกระบวนพยุหยาตราที่ยุรยาตรมาตามทาง จนนางกำนัลผู้หนึ่งถึงกับตกประหวั่นรีบสืบบาทถลาฉับไวเข้าประชิดพระเสลี่ยงที่ประทับก่อนกราบบังคมทูลด้วยเสียงอันดัง
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวเถมรู ณ บัดนี้ มีทหารอนันตาควบอาชาตรงมายังกระบวนพยุหะเพคะ "
" จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงแห่งเราอยู่หนใด "
สิ้นพระสุรเสียงอันแหบพร่าแห่งพระเจ้ากรุงเถมรูซึ่งลอดผ่านพระวิสูตรที่กางกั้นนั้นออกมา
ฉบัดนั้นเอง ปรากฏร่างอิสตรีผู้สูงวัยในชุดเครื่องแต่งกายอันสูงศักดิ์สุดอลังการ ขยับเข้ามาใกล้พระเสลี่ยงพลางน้อมเศียรลง
" เพคะ พระอยู่หัวเจ้า "
" จงสานสรรพสิ่งอย่าได้ช้า "
" น้อมเหนือเศียรเพคะ "
จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัยหกสิบชันษาถลาไปยังอาชาอนันตาพลันเอาร่างเข้าขวางพลางตวาด
" ช้าก่อน... เจ้าทหาร มิไยจึงบังอาจควบตะบึงฝ่าเข้าหากระบวนพยุหพระเจ้าอยู่หัวแห่งเรา ฤ อยากถูกปลิดชีวีให้อาสัญ "
ทหารหนุ่มหยุดอาชาแน่นิ่งอึงจึงถาม
" มิทราบว่าเป็นกระบวนจากแห่งหนใด ข้าจักได้ทูลสนององค์พระอยู่หัวเจ้าอนันตาแห่งข้าให้แจ้งชัด "
" พระเจ้าแผ่นดินกรุงเถมรูและพระราชินี เสด็จพร้อมองค์หญิงสุบินสวรรค์พระราชธิดา หมายเจริญพระราชไมตรีสองพระหน่อราชอาณาจักรให้กระเดื่องแดนดิน "
" ถวิลหวัง ขออัญเชิญเสด็จที่ท้องพระโรงใหญ่ในพระบรมมหาราชวังในบัดดล "
จบพจนารถ ทหารหนุ่มตวัดกายควบอาชานำหน้ากระบวนพยุหยาตราอย่างกระวีกระวาด
- - - - - - - - -
ณ ท้องพระโรงพระบรมมหาราชวังอนันตาอันโอ่อ่าอลังการ
เพลานั้น กำลังเป็นมหาสมาคมแห่งบรรดาขุนนาง อำมาตย์ แลข้าราชบริพารทั้งน้อยใหญ่ที่เรียงรายหมอบราบกราบถวายบังคมอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดินผู้ผ่านพิภพไอศูรย์สมบัติพิพัฒน์ผล
เบื้องในสุดแห่งท้องพระโรงแห่งนี้เป็นบุษบกบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมาน อันสูงค่าและศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางทรัพย์สมบัติพัสถานอันล้ำค่าและเครื่องมหาราชูปโภคบรมราชกกุฏภัณฑ์แห่งพระมหากษัตริย์
ข้างแท่นพระบรมราชบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมานนั้น เหล่านางพัดวีโบกปัดพัดทองอยู่เนืองๆ ภายใต้ร่มมหาสุวรรณฉัตรแปดสิบเจ็ดชั้น อันหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินอนันตาองค์ปัจจุบัน อันเป็นองค์ที่แปดสิบเจ็ดแห่งพระราชวงศ์
ฉับพลันทันใด มหาดเล็กถลาเข้าสู่ท้องพระโรง ฝ่าเหล่าขุนนาง อำมาตย์ และข้าราชบริพารก่อนคุกเข่าลงกราบถวายบังคมทูลแถลง
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ณ บัดนี้ กระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค แห่งพระเจ้าแผ่นดินกรุงเถมรู ได้เสด็จพร้อมพระราชินีและพระราชธิดา ถึงพระทวารพระราชวังแล้ว พระพุทธเจ้าข้าขอรับ "
" เชิญเสด็จที่อุทยาน "
พระเจ้ากรุงอนันตาพระดำรัสจบ มหาดเล็กถอยกลับออกไป ในขณะที่มหาอำมาตย์เอกเบี่ยงกายเข้ามาใกล้องค์พลางทูลกระซิบ
" มิแคล้วจะทรงปรึกษาหารือเรื่องงานอภิเษกพระราชธิดาเป็นแม่นมั่น "
" ดูกระนั้นอยู่ "
ตรัสจบ โหราจารย์ขยับกายเข้ามาบ้างพลางทูลสนอง
" แต่ดวงพระราชธิดาเถมรูอาจฉุดรั้งพระทูลกระหม่อมแห่งอนันตาให้หม่นมัวสลัวมืดตะพึดตะพือได้นะพระเจ้าข้า "
" น่าตรองตริได้ต้องใจเรานัก พระโอรสเราก็เป็นหน่อเนื้อเชื้อองค์เทวามาแต่ก่อน ครั้นจะให้ผูกสมัครสมานไมตรีเป็นหนึ่งเดียวกับพระราชธิดาแห่งเจ้ากรุงเถมรูเห็นจะไม่เหมาะ อาจทำให้องค์เทวาบนเบื้องสรวงทรงเคืองขัดกระนั้นได้ "
ปุโรหิตรีบสอดถ้อยแถลงพลางทำตามีเลศนัย
" มิไยไม่ถวายพระราชทรัพย์แล้วส่งเสด็จให้ระเห็จกลับเถมรูราชธานีไปเล่าพระเจ้าข้า "
บัดดล... มโหรีประจำท้องพระโรงวังหลวงรัวฉาบดังสนั่นลั่นไปถึงมหาปราสาท พระเจ้ากรุงอนันตา มหาอำมาตย์ และโหราจารย์ต่างสานสรรพเสียงเป็นทำนองตามลำดับชั้น
" กระไรได้ ปุโรหิตข้า "
" วาจาช่างร้ายนัก "
" หักด้ามฆ้อนด้วยขา ครานี้จะเกิดศึก "
" นึกไม่ถึง นึกไม่ถึง ขอกราบอภัย "
ปุโรหิตซุกหน้าลงพื้นในทันที ในขณะที่โหราจารย์กลับเงยหน้าสลอนพร้อมทำสีหน้ากรุ้มกริ่มพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
" ทางที่ถูก เราน่าจะเก็บเหล่านางกำนัลอันสวยสะคราญเอาไว้ใช้สอยในพระราชสำนักจะเหมาะกว่า "
" โหราจารย์.. ??? "
ทุกผู้หันมามองท่านเป็นจุดเดียวพลางตวาดใส่ จนโหราจารย์ทนอับอายมิได้ ต้องซุกหน้าลงกับพื้น
" ตื่นเถิดพวกเรา "
มหาอำมาตย์กล่าวด้วยน้ำเสียงขรึมพลางลุกขึ้นยืนแล้วยกหัตถ์ขวาชูขึ้นเหนือเศียร จนบุคคลที่เหลือหน้าตาฉงนกันสิ้น
" กาลจะเป็นเช่นไร องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เท่านั้นที่จะเป็นผู้ชี้แนะหนทางสว่าง พวกเราจงริอย่าไปตื่นตระหนกจนเกินกาลเลย "
- - - - - - - - -
ภายในพระราชอุทยานอันร่มรื่นชื่นตาแห่งอนันตานคร
พระเจ้ากรุงเถมรูและพระราชินี เสด็จประทับอยู่ในพลับพลา ทอดพระเนตรองค์หญิงสุบินสวรรค์ พระราชธิดาวัย 7 พระชันษา กำลังทรงวิ่งเล่นอยู่ในแปลงดอกไม้นานาพันธุ์
ครากระนั้น พระเจ้ากรุงอนันตา เสด็จยังพระราชอุทยานแห่งนั้นพร้อมด้วยพระโอรสวัย 9 พระชันษาผู้องอาจสง่างามทรงพระนามว่า องค์ชายมูรตี
องค์ชายมูรตีทรงเงยพระพักตร์มองพระราชบิดาครู่หนึ่งจึ่งตรัส
" ทูลกระหม่อมพ่อ ลูกขอไปเล่นกับพระน้องนางสุบินสวรรค์จะได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ "
" ไปสิลูก "
พระเจ้ากรุงอนันตาทรงทอดพระเนตรองค์ชายมูรตีเสด็จพระดำเนินไปยังองค์หญิงสุบินสวรรค์ก่อนจะทรงผินพระพักตร์มายังพระเจ้ากรุงเถมรูและพระราชินี ซึ่งประทับอยู่ในพลับพลาริมสระใหญ่กลางอุทยาน
พระเจ้ากรุงอนันตาค่อยๆเสด็จพระดำเนินไปยังพลับพลาแห่งนั้น นางกำนัลสองนางรีบอัญเชิญเครื่องประกอบพระอิสริยยศตามติดจนชิดพระองค์
พระราชินีในพระเจ้ากรุงเถมรูทรงลุกขึ้นจากพระที่ก่อนน้อมองค์ลงถวายบังคม
" ทรงพระเจริญเพคะ "
" ตามสบายเถิดพระนาง "
พระเจ้ากรุงอนันตาทรงประทับนั่งเคียงข้างพระเจ้ากรุงเถมรู เหล่านางกำนัลต่างหมอบคลานเข้าถวายอยู่งานรับใช้ บ้างก็อยู่งานพระแส้ปัด บ้างก็อยู่งานพระวาลวิชนี บ้างก็อยู่งานพระสุพรรณศรี บ้างก็อยู่งานพระสุพรรณราช
" องค์ชายมูรตีทรงงดงามองอาจดุจพญาสีหราช เช่นนี้เป็นบุญอันมหาศาลแก่อนันตาประเทศ "
พระเจ้ากรุงเถมรูตรัสพลางทรงยิ้มก่อนจะทรงยื่นพระหัตถาไปหยิบถ้วยพระสุธารสที่นางกำนัลผู้หนึ่งทูลเสนอ
ฝ่ายพระเจ้ากรุงอนันตาทรงพระสรวลคราหนึ่งจึ่งตรัสตอบ
" กระนั้นอยู่... แต่ก็ยังดูเยาว์วัยเกินกว่าจะรับผิดชอบการงานบ้านเมืองอันใดได้ แม้กระทั่งเรื่องความรักก็ตาม "
พระเจ้ากรุงเถมรูทรงจิบพระสุธารสพลางหยุดชะงักก่อนมีพระดำรัสขึ้น
" ลูกหญิงสุบินสวรรค์ของหม่อมฉันก็เช่นกัน "
ทันใด
โหราจารย์แห่งเถมรูผู้นิ่งเงียบอยู่นานก็ทูลสวนขึ้นทันควันในครานั้นว่า
" หากแต่ดวงพระชะตาของพระหน่อเนื้อทองทั้งสองพระองค์นั้นต้องกัน มาตรแม้นเทพบุตรคู่เทพธิดาก็มิปาน เช่นนี้ ในภายภาคหน้าเมื่อทรงเคียงคู่สมัครสมานไมตรีแล้วไซร้ คงไม่แคล้วจะช่วยเสริมสร้างพระบุญญาธิการแห่งสองพระราชอาณาจักรให้เชิดชูโชติช่วงไปทั่วดินแดนเกวลทวีปเป็นแม่นมั่น "
พระเจ้ากรุงอนันตาทรงพระสรวลคราใหญ่จึงทรงหันมาทางพระเจ้ากรุงเถมรูพลางตรัสขึ้น
[นิยายแนววาย] เจ้าฟ้ามูรตี : ปฐมบท และ บทที่ 1
บทประพันธ์ ด๋ง
*********
ปฐมบท
บนสรวงสวรรค์อันตระการ...
ในเพลาหนึ่ง...
ขณะที่องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เทพเจ้าสูงสุดแห่งโลกได้เสด็จมาในนภากาศพร้อมพรั่งด้วยเหล่าเทพบุตรแลเทพธิดาทั้งหลาย
ทันใด... บังเกิดเกลียวพายุแสงสีรุ้งพุ่งเสียดฟ้าเข้าปะทะกระบวนเสด็จแห่งองค์เทพเจ้าจนเหล่าบรรดาทวยเทพพากันกระเด็นกระดอนลอยละลิ่วแตกกระจายกันไปคนละทิศละทาง
เทพยดาทุกองค์ต่างพากันตะตะลึงพรึงเพริดในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นที่ยิ่ง พลางจับกลุ่มกันซุบซิบนินทาจนเสียงอึงอลไปทั่วทั้งท้องฟ้า
องค์เทวาผู้เป็นประมุขแห่งสวรรค์ทรงมีพระบัญชาให้ สุบินเทพ เทพบุตรผู้สง่าเร่งรีบติดตามเกลียวพายุสีรุ้งสายนั้นไปโดยไม่ชักช้า
เทพบุตรผู้ได้รับมอบหมายพระบัญชาได้ติดตามเกลียวพายุสายนั้นมาจนกระทั่งถึงภูผาใหญ่ จึงได้สดับเสียงสนทนาพาทีหยอกล้อต่อกระซิกระริกระรี้กันระหว่างบุรุษสองผู้ที่แผ่วผิวออกมาจากซอกหลืบหนึ่งของหน้าผา
สุบินเทพผู้นั้นหมายใจจะรู้แจ้งเห็นจริงถึงต้นกำเนิดเสียง จึงค่อยๆเหาะเลียบเข้าไปอย่างช้าๆ และแอบซุ่มดูอยู่ไม่ไกลนัก
ทันใดกันนั้นเอง...
ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาได้ทำให้สุบินเทพถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดเปิดตาอ้าปากค้างในทันที
บุรุษหนุ่มฉกรรจ์ใบหน้างดงามหยดย้อยสองผู้กำลังกอดตระกองประคองโอบรัดพรมจุมพิตกันเองอย่างดื่มด่ำฉ่ำชุ่มราวกับเป็นคู่รักหนุ่มสาวกระนั้น
สุบินเทพจดจำได้เป็นแม่นมั่นว่า บุรุษผู้หนึ่งนั้นคือ มูรตีเทพ ส่วนอีกหนึ่งคือ ฉกรรณเทพ จึงได้รีบนำความกลับมากราบบังคมทูลองค์เทวาในบัดดล
เมื่อกาลทุกอย่างเป็นประจักษ์แจ้งดั่งนั้น องค์เทวาผู้ยิ่งใหญ่จึงทรงลงทัณฑ์เทพบุตรทั้งสองโดยให้ไปบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ ณ ภูผาแห่งนั้นไปตลอดกาล
ราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดจะจบลงด้วยดี แต่แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่
หลังจากนั้น...
สุบินเทพ หวนระลึกถึงภาพการอภิรมย์รักแห่งมูรตีเทพและฉกรรณเทพแล้ว ก็สุดจะหักห้ามใจอันใดได้ เนื่องจากเพราะตนเองก็พิสมัยในรสพิศวาสเช่นนี้อยู่เช่นกัน แต่มิกล้าเผยความปรารถนาเบื้องลึกให้ผู้ใดได้ล่วงรู้มาก่อนเก่า
ดังนั้น...
ในวันหนึ่ง สุบินเทพผู้สง่า จึงได้เหาะมายังภูผาอันเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรภาวนาของมูรตีเทพและฉกรรณเทพ ก่อนจะแอบลักลอบมีสัมพันธ์รักอย่างดูดดื่มหวานชื่นกับเทพบุตรทั้งสองอยู่ถึงเจ็ดทิวาราตรีกาลติดต่อกัน
ความทราบถึงองค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เทพเจ้าเบื้องสูง จึงทรงมีพระบัญชาให้เรียกหาเทพบุตรทั้งสามมาสอบถามเอาความ เมื่อกาลเป็นจริงดังนั้นแล องค์เทวาจึงทรงลงทัณฑ์ โดบอัปเปหิเทพบุตรทั้งสามออกจากสรวงสวรรค์ในทันใด แลให้กลับลงไปจุติยังโลกมนุษย์อีกคราเพื่อบำเพ็ญเพียรภาวนาใหม่
ในขณะที่เทพบุตรทั้งสามลงสู่โลกมนุษย์นั้น ผิวกายได้ต้องอากาศธาตุบังเกิดเป็นอนูเพลิงส่องประกายแสงสีรุ้งออกมาอย่างมหาศาล ก่อนพลังแสงจะแตกออกเป็นสามสายแล้วพุ่งลงสู่สามราชอาณาจักรบนแผ่นพื้นพสุธาเกวลทวีปอันลี้ลับและกว้างใหญ่ในทันที
อนึ่ง... เกวลทวีปในครานั้น เป็นผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล อยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรอันลี้ลับที่ไม่สามารถรุบุได้แน่ชัดว่าอยู่หนใดในโลกา
บนเกวลทวีปแห่งนี้มีอาณาจักรแลนครรัฐอยู่มากมาย หากแต่มีเพียงสามราชอาณาจักรใหญ่ที่โดดเด่นเสมอกันอันได้แก่ อนันตา ละวิรัฐ และเถมรู
มาตรว่า มูรตีเทพ นั้น ได้มาประสูติเป็นพระราชโอรสพระเจ้ากรุงอนันตา ส่วนฉกรรณเทพ ได้มาประสูติเป็นพระราชโอรสพระเจ้ากรุงละวิรัฐ และสุบินเทพ ได้มาประสูติเป็นพระราชธิดาพระเจ้ากรุงเถมรูกระนั้นแล
จากผลกรรมที่ได้กระทำร่วมกันมาเมื่อครั้งอยู่บนสรวงสวรรค์ จึงดลบันดาลให้เทพทั้งสามผู้จุติเป็นมนุษย์ ต้องดำเนินชีวิตไปตามครรลองพระลิขิตแห่งองค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ นับแต่บัดนั้น
* * * * * * * * *
บทที่ 1
ชานกรุงอนันตา...
กระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคอันตระการตาได้ยุรยาตรอย่างสง่างามมาตามลำเนาป่าละเมาะอย่างช้าๆ ท่ามกลางเหล่าสิงสาราสัตว์นานานับที่กรูกันมาแอบชำเลืองมองอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้สองข้างทาง
กวางน้อยตัวหนึ่งชูคอไสวพลางกลอกกลิ้งนัยน์ตาอันเป็นมันระยับจ้องไปยังเหล่ามนุษย์แปลกๆเหล่านั้น แม้นว่ามันจะหาเข้าใจถึงกิจกรรมที่ได้ประสบพบไม่ แต่ประสาทสัมผัสของมันก็สั่งการให้เท้าทั้งคู่ขยับเขยื้อนเข้าไปดูให้ถนัดตา
โหมง..ง..ง..ง... หง่าง..ง..ง
เสียงฆ้อง กลองมโหระทึก ดังกึกก้องกังวาลจนสรรพสัตว์บนดินพากันกระโจนหนีไปสิ้น...
อีกทั้งเหล่าปักษิณก็โผผินบินกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง ราวกับมหันตภัยร้ายมาเยี่ยมเยือน
มโหรีนำกระบวนขับประโคมบรรเลงท่วงทำนองอันไพเราะเสนาะโสต ประกอบพยุหยาตราในครานั้นอันประกอบไปด้วยเหล่าข้าราชบริพารทั้งชายหญิงในชุดเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับทั้งทอง เงิน นาค และอัญมณีอันแปลกประหลาดละลานตาน่าชมพิสมัยเป็นยิ่งนัก
เหล่านางกำนัลสวยสะคราญแลอ้อนแอ้นอรชร สวมผ้านุ่งที่ยาวแลปล่อยชายผ้าด้านหลังให้ยาวระพื้นเดินอัญเชิญเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศแห่งองค์พระมหากษัตริย์นำหน้า และตามหลังพระเสลี่ยงทองคำอันตระการตาอันเป็นที่ประทับแห่งพระเจ้ากรุงเถมรูผู้มากด้วยพระชนมายุ
ไกลออกไปในป่านั้น...
พลันปรากฏทหารอนันตาผู้ห้าวหาญ ควบอาชาตะบึงตรงมายังกระบวนพยุหยาตราที่ยุรยาตรมาตามทาง จนนางกำนัลผู้หนึ่งถึงกับตกประหวั่นรีบสืบบาทถลาฉับไวเข้าประชิดพระเสลี่ยงที่ประทับก่อนกราบบังคมทูลด้วยเสียงอันดัง
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวเถมรู ณ บัดนี้ มีทหารอนันตาควบอาชาตรงมายังกระบวนพยุหะเพคะ "
" จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงแห่งเราอยู่หนใด "
สิ้นพระสุรเสียงอันแหบพร่าแห่งพระเจ้ากรุงเถมรูซึ่งลอดผ่านพระวิสูตรที่กางกั้นนั้นออกมา
ฉบัดนั้นเอง ปรากฏร่างอิสตรีผู้สูงวัยในชุดเครื่องแต่งกายอันสูงศักดิ์สุดอลังการ ขยับเข้ามาใกล้พระเสลี่ยงพลางน้อมเศียรลง
" เพคะ พระอยู่หัวเจ้า "
" จงสานสรรพสิ่งอย่าได้ช้า "
" น้อมเหนือเศียรเพคะ "
จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัยหกสิบชันษาถลาไปยังอาชาอนันตาพลันเอาร่างเข้าขวางพลางตวาด
" ช้าก่อน... เจ้าทหาร มิไยจึงบังอาจควบตะบึงฝ่าเข้าหากระบวนพยุหพระเจ้าอยู่หัวแห่งเรา ฤ อยากถูกปลิดชีวีให้อาสัญ "
ทหารหนุ่มหยุดอาชาแน่นิ่งอึงจึงถาม
" มิทราบว่าเป็นกระบวนจากแห่งหนใด ข้าจักได้ทูลสนององค์พระอยู่หัวเจ้าอนันตาแห่งข้าให้แจ้งชัด "
" พระเจ้าแผ่นดินกรุงเถมรูและพระราชินี เสด็จพร้อมองค์หญิงสุบินสวรรค์พระราชธิดา หมายเจริญพระราชไมตรีสองพระหน่อราชอาณาจักรให้กระเดื่องแดนดิน "
" ถวิลหวัง ขออัญเชิญเสด็จที่ท้องพระโรงใหญ่ในพระบรมมหาราชวังในบัดดล "
จบพจนารถ ทหารหนุ่มตวัดกายควบอาชานำหน้ากระบวนพยุหยาตราอย่างกระวีกระวาด
- - - - - - - - -
ณ ท้องพระโรงพระบรมมหาราชวังอนันตาอันโอ่อ่าอลังการ
เพลานั้น กำลังเป็นมหาสมาคมแห่งบรรดาขุนนาง อำมาตย์ แลข้าราชบริพารทั้งน้อยใหญ่ที่เรียงรายหมอบราบกราบถวายบังคมอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดินผู้ผ่านพิภพไอศูรย์สมบัติพิพัฒน์ผล
เบื้องในสุดแห่งท้องพระโรงแห่งนี้เป็นบุษบกบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมาน อันสูงค่าและศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางทรัพย์สมบัติพัสถานอันล้ำค่าและเครื่องมหาราชูปโภคบรมราชกกุฏภัณฑ์แห่งพระมหากษัตริย์
ข้างแท่นพระบรมราชบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมานนั้น เหล่านางพัดวีโบกปัดพัดทองอยู่เนืองๆ ภายใต้ร่มมหาสุวรรณฉัตรแปดสิบเจ็ดชั้น อันหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินอนันตาองค์ปัจจุบัน อันเป็นองค์ที่แปดสิบเจ็ดแห่งพระราชวงศ์
ฉับพลันทันใด มหาดเล็กถลาเข้าสู่ท้องพระโรง ฝ่าเหล่าขุนนาง อำมาตย์ และข้าราชบริพารก่อนคุกเข่าลงกราบถวายบังคมทูลแถลง
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ณ บัดนี้ กระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค แห่งพระเจ้าแผ่นดินกรุงเถมรู ได้เสด็จพร้อมพระราชินีและพระราชธิดา ถึงพระทวารพระราชวังแล้ว พระพุทธเจ้าข้าขอรับ "
" เชิญเสด็จที่อุทยาน "
พระเจ้ากรุงอนันตาพระดำรัสจบ มหาดเล็กถอยกลับออกไป ในขณะที่มหาอำมาตย์เอกเบี่ยงกายเข้ามาใกล้องค์พลางทูลกระซิบ
" มิแคล้วจะทรงปรึกษาหารือเรื่องงานอภิเษกพระราชธิดาเป็นแม่นมั่น "
" ดูกระนั้นอยู่ "
ตรัสจบ โหราจารย์ขยับกายเข้ามาบ้างพลางทูลสนอง
" แต่ดวงพระราชธิดาเถมรูอาจฉุดรั้งพระทูลกระหม่อมแห่งอนันตาให้หม่นมัวสลัวมืดตะพึดตะพือได้นะพระเจ้าข้า "
" น่าตรองตริได้ต้องใจเรานัก พระโอรสเราก็เป็นหน่อเนื้อเชื้อองค์เทวามาแต่ก่อน ครั้นจะให้ผูกสมัครสมานไมตรีเป็นหนึ่งเดียวกับพระราชธิดาแห่งเจ้ากรุงเถมรูเห็นจะไม่เหมาะ อาจทำให้องค์เทวาบนเบื้องสรวงทรงเคืองขัดกระนั้นได้ "
ปุโรหิตรีบสอดถ้อยแถลงพลางทำตามีเลศนัย
" มิไยไม่ถวายพระราชทรัพย์แล้วส่งเสด็จให้ระเห็จกลับเถมรูราชธานีไปเล่าพระเจ้าข้า "
บัดดล... มโหรีประจำท้องพระโรงวังหลวงรัวฉาบดังสนั่นลั่นไปถึงมหาปราสาท พระเจ้ากรุงอนันตา มหาอำมาตย์ และโหราจารย์ต่างสานสรรพเสียงเป็นทำนองตามลำดับชั้น
" กระไรได้ ปุโรหิตข้า "
" วาจาช่างร้ายนัก "
" หักด้ามฆ้อนด้วยขา ครานี้จะเกิดศึก "
" นึกไม่ถึง นึกไม่ถึง ขอกราบอภัย "
ปุโรหิตซุกหน้าลงพื้นในทันที ในขณะที่โหราจารย์กลับเงยหน้าสลอนพร้อมทำสีหน้ากรุ้มกริ่มพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
" ทางที่ถูก เราน่าจะเก็บเหล่านางกำนัลอันสวยสะคราญเอาไว้ใช้สอยในพระราชสำนักจะเหมาะกว่า "
" โหราจารย์.. ??? "
ทุกผู้หันมามองท่านเป็นจุดเดียวพลางตวาดใส่ จนโหราจารย์ทนอับอายมิได้ ต้องซุกหน้าลงกับพื้น
" ตื่นเถิดพวกเรา "
มหาอำมาตย์กล่าวด้วยน้ำเสียงขรึมพลางลุกขึ้นยืนแล้วยกหัตถ์ขวาชูขึ้นเหนือเศียร จนบุคคลที่เหลือหน้าตาฉงนกันสิ้น
" กาลจะเป็นเช่นไร องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เท่านั้นที่จะเป็นผู้ชี้แนะหนทางสว่าง พวกเราจงริอย่าไปตื่นตระหนกจนเกินกาลเลย "
- - - - - - - - -
ภายในพระราชอุทยานอันร่มรื่นชื่นตาแห่งอนันตานคร
พระเจ้ากรุงเถมรูและพระราชินี เสด็จประทับอยู่ในพลับพลา ทอดพระเนตรองค์หญิงสุบินสวรรค์ พระราชธิดาวัย 7 พระชันษา กำลังทรงวิ่งเล่นอยู่ในแปลงดอกไม้นานาพันธุ์
ครากระนั้น พระเจ้ากรุงอนันตา เสด็จยังพระราชอุทยานแห่งนั้นพร้อมด้วยพระโอรสวัย 9 พระชันษาผู้องอาจสง่างามทรงพระนามว่า องค์ชายมูรตี
องค์ชายมูรตีทรงเงยพระพักตร์มองพระราชบิดาครู่หนึ่งจึ่งตรัส
" ทูลกระหม่อมพ่อ ลูกขอไปเล่นกับพระน้องนางสุบินสวรรค์จะได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ "
" ไปสิลูก "
พระเจ้ากรุงอนันตาทรงทอดพระเนตรองค์ชายมูรตีเสด็จพระดำเนินไปยังองค์หญิงสุบินสวรรค์ก่อนจะทรงผินพระพักตร์มายังพระเจ้ากรุงเถมรูและพระราชินี ซึ่งประทับอยู่ในพลับพลาริมสระใหญ่กลางอุทยาน
พระเจ้ากรุงอนันตาค่อยๆเสด็จพระดำเนินไปยังพลับพลาแห่งนั้น นางกำนัลสองนางรีบอัญเชิญเครื่องประกอบพระอิสริยยศตามติดจนชิดพระองค์
พระราชินีในพระเจ้ากรุงเถมรูทรงลุกขึ้นจากพระที่ก่อนน้อมองค์ลงถวายบังคม
" ทรงพระเจริญเพคะ "
" ตามสบายเถิดพระนาง "
พระเจ้ากรุงอนันตาทรงประทับนั่งเคียงข้างพระเจ้ากรุงเถมรู เหล่านางกำนัลต่างหมอบคลานเข้าถวายอยู่งานรับใช้ บ้างก็อยู่งานพระแส้ปัด บ้างก็อยู่งานพระวาลวิชนี บ้างก็อยู่งานพระสุพรรณศรี บ้างก็อยู่งานพระสุพรรณราช
" องค์ชายมูรตีทรงงดงามองอาจดุจพญาสีหราช เช่นนี้เป็นบุญอันมหาศาลแก่อนันตาประเทศ "
พระเจ้ากรุงเถมรูตรัสพลางทรงยิ้มก่อนจะทรงยื่นพระหัตถาไปหยิบถ้วยพระสุธารสที่นางกำนัลผู้หนึ่งทูลเสนอ
ฝ่ายพระเจ้ากรุงอนันตาทรงพระสรวลคราหนึ่งจึ่งตรัสตอบ
" กระนั้นอยู่... แต่ก็ยังดูเยาว์วัยเกินกว่าจะรับผิดชอบการงานบ้านเมืองอันใดได้ แม้กระทั่งเรื่องความรักก็ตาม "
พระเจ้ากรุงเถมรูทรงจิบพระสุธารสพลางหยุดชะงักก่อนมีพระดำรัสขึ้น
" ลูกหญิงสุบินสวรรค์ของหม่อมฉันก็เช่นกัน "
ทันใด
โหราจารย์แห่งเถมรูผู้นิ่งเงียบอยู่นานก็ทูลสวนขึ้นทันควันในครานั้นว่า
" หากแต่ดวงพระชะตาของพระหน่อเนื้อทองทั้งสองพระองค์นั้นต้องกัน มาตรแม้นเทพบุตรคู่เทพธิดาก็มิปาน เช่นนี้ ในภายภาคหน้าเมื่อทรงเคียงคู่สมัครสมานไมตรีแล้วไซร้ คงไม่แคล้วจะช่วยเสริมสร้างพระบุญญาธิการแห่งสองพระราชอาณาจักรให้เชิดชูโชติช่วงไปทั่วดินแดนเกวลทวีปเป็นแม่นมั่น "
พระเจ้ากรุงอนันตาทรงพระสรวลคราใหญ่จึงทรงหันมาทางพระเจ้ากรุงเถมรูพลางตรัสขึ้น