[นิยายแนววาย] เจ้าฟ้ามูรตี : ปฐมบท และ บทที่ 1

กระทู้สนทนา
เจ้าฟ้ามูรตี

บทประพันธ์ ด๋ง

*********


ปฐมบท


บนสรวงสวรรค์อันตระการ...

ในเพลาหนึ่ง...

ขณะที่องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เทพเจ้าสูงสุดแห่งโลกได้เสด็จมาในนภากาศพร้อมพรั่งด้วยเหล่าเทพบุตรแลเทพธิดาทั้งหลาย

ทันใด... บังเกิดเกลียวพายุแสงสีรุ้งพุ่งเสียดฟ้าเข้าปะทะกระบวนเสด็จแห่งองค์เทพเจ้าจนเหล่าบรรดาทวยเทพพากันกระเด็นกระดอนลอยละลิ่วแตกกระจายกันไปคนละทิศละทาง

เทพยดาทุกองค์ต่างพากันตะตะลึงพรึงเพริดในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นที่ยิ่ง พลางจับกลุ่มกันซุบซิบนินทาจนเสียงอึงอลไปทั่วทั้งท้องฟ้า

องค์เทวาผู้เป็นประมุขแห่งสวรรค์ทรงมีพระบัญชาให้ สุบินเทพ เทพบุตรผู้สง่าเร่งรีบติดตามเกลียวพายุสีรุ้งสายนั้นไปโดยไม่ชักช้า

เทพบุตรผู้ได้รับมอบหมายพระบัญชาได้ติดตามเกลียวพายุสายนั้นมาจนกระทั่งถึงภูผาใหญ่ จึงได้สดับเสียงสนทนาพาทีหยอกล้อต่อกระซิกระริกระรี้กันระหว่างบุรุษสองผู้ที่แผ่วผิวออกมาจากซอกหลืบหนึ่งของหน้าผา

สุบินเทพผู้นั้นหมายใจจะรู้แจ้งเห็นจริงถึงต้นกำเนิดเสียง จึงค่อยๆเหาะเลียบเข้าไปอย่างช้าๆ และแอบซุ่มดูอยู่ไม่ไกลนัก

ทันใดกันนั้นเอง...

ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาได้ทำให้สุบินเทพถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดเปิดตาอ้าปากค้างในทันที

บุรุษหนุ่มฉกรรจ์ใบหน้างดงามหยดย้อยสองผู้กำลังกอดตระกองประคองโอบรัดพรมจุมพิตกันเองอย่างดื่มด่ำฉ่ำชุ่มราวกับเป็นคู่รักหนุ่มสาวกระนั้น

สุบินเทพจดจำได้เป็นแม่นมั่นว่า บุรุษผู้หนึ่งนั้นคือ มูรตีเทพ ส่วนอีกหนึ่งคือ ฉกรรณเทพ จึงได้รีบนำความกลับมากราบบังคมทูลองค์เทวาในบัดดล

เมื่อกาลทุกอย่างเป็นประจักษ์แจ้งดั่งนั้น องค์เทวาผู้ยิ่งใหญ่จึงทรงลงทัณฑ์เทพบุตรทั้งสองโดยให้ไปบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ ณ ภูผาแห่งนั้นไปตลอดกาล

ราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดจะจบลงด้วยดี แต่แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่

หลังจากนั้น...

สุบินเทพ หวนระลึกถึงภาพการอภิรมย์รักแห่งมูรตีเทพและฉกรรณเทพแล้ว ก็สุดจะหักห้ามใจอันใดได้ เนื่องจากเพราะตนเองก็พิสมัยในรสพิศวาสเช่นนี้อยู่เช่นกัน แต่มิกล้าเผยความปรารถนาเบื้องลึกให้ผู้ใดได้ล่วงรู้มาก่อนเก่า

ดังนั้น...

ในวันหนึ่ง สุบินเทพผู้สง่า จึงได้เหาะมายังภูผาอันเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรภาวนาของมูรตีเทพและฉกรรณเทพ ก่อนจะแอบลักลอบมีสัมพันธ์รักอย่างดูดดื่มหวานชื่นกับเทพบุตรทั้งสองอยู่ถึงเจ็ดทิวาราตรีกาลติดต่อกัน

ความทราบถึงองค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เทพเจ้าเบื้องสูง จึงทรงมีพระบัญชาให้เรียกหาเทพบุตรทั้งสามมาสอบถามเอาความ เมื่อกาลเป็นจริงดังนั้นแล องค์เทวาจึงทรงลงทัณฑ์ โดบอัปเปหิเทพบุตรทั้งสามออกจากสรวงสวรรค์ในทันใด แลให้กลับลงไปจุติยังโลกมนุษย์อีกคราเพื่อบำเพ็ญเพียรภาวนาใหม่

ในขณะที่เทพบุตรทั้งสามลงสู่โลกมนุษย์นั้น ผิวกายได้ต้องอากาศธาตุบังเกิดเป็นอนูเพลิงส่องประกายแสงสีรุ้งออกมาอย่างมหาศาล ก่อนพลังแสงจะแตกออกเป็นสามสายแล้วพุ่งลงสู่สามราชอาณาจักรบนแผ่นพื้นพสุธาเกวลทวีปอันลี้ลับและกว้างใหญ่ในทันที

อนึ่ง... เกวลทวีปในครานั้น เป็นผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล อยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรอันลี้ลับที่ไม่สามารถรุบุได้แน่ชัดว่าอยู่หนใดในโลกา

บนเกวลทวีปแห่งนี้มีอาณาจักรแลนครรัฐอยู่มากมาย หากแต่มีเพียงสามราชอาณาจักรใหญ่ที่โดดเด่นเสมอกันอันได้แก่ อนันตา ละวิรัฐ และเถมรู

มาตรว่า มูรตีเทพ นั้น ได้มาประสูติเป็นพระราชโอรสพระเจ้ากรุงอนันตา ส่วนฉกรรณเทพ ได้มาประสูติเป็นพระราชโอรสพระเจ้ากรุงละวิรัฐ และสุบินเทพ ได้มาประสูติเป็นพระราชธิดาพระเจ้ากรุงเถมรูกระนั้นแล

จากผลกรรมที่ได้กระทำร่วมกันมาเมื่อครั้งอยู่บนสรวงสวรรค์ จึงดลบันดาลให้เทพทั้งสามผู้จุติเป็นมนุษย์ ต้องดำเนินชีวิตไปตามครรลองพระลิขิตแห่งองค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ นับแต่บัดนั้น


* * * * * * * * *


บทที่ 1


ชานกรุงอนันตา...

กระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคอันตระการตาได้ยุรยาตรอย่างสง่างามมาตามลำเนาป่าละเมาะอย่างช้าๆ ท่ามกลางเหล่าสิงสาราสัตว์นานานับที่กรูกันมาแอบชำเลืองมองอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้สองข้างทาง

กวางน้อยตัวหนึ่งชูคอไสวพลางกลอกกลิ้งนัยน์ตาอันเป็นมันระยับจ้องไปยังเหล่ามนุษย์แปลกๆเหล่านั้น แม้นว่ามันจะหาเข้าใจถึงกิจกรรมที่ได้ประสบพบไม่ แต่ประสาทสัมผัสของมันก็สั่งการให้เท้าทั้งคู่ขยับเขยื้อนเข้าไปดูให้ถนัดตา

โหมง..ง..ง..ง... หง่าง..ง..ง

เสียงฆ้อง กลองมโหระทึก ดังกึกก้องกังวาลจนสรรพสัตว์บนดินพากันกระโจนหนีไปสิ้น...

อีกทั้งเหล่าปักษิณก็โผผินบินกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง ราวกับมหันตภัยร้ายมาเยี่ยมเยือน

มโหรีนำกระบวนขับประโคมบรรเลงท่วงทำนองอันไพเราะเสนาะโสต ประกอบพยุหยาตราในครานั้นอันประกอบไปด้วยเหล่าข้าราชบริพารทั้งชายหญิงในชุดเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับทั้งทอง เงิน นาค และอัญมณีอันแปลกประหลาดละลานตาน่าชมพิสมัยเป็นยิ่งนัก

เหล่านางกำนัลสวยสะคราญแลอ้อนแอ้นอรชร สวมผ้านุ่งที่ยาวแลปล่อยชายผ้าด้านหลังให้ยาวระพื้นเดินอัญเชิญเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศแห่งองค์พระมหากษัตริย์นำหน้า และตามหลังพระเสลี่ยงทองคำอันตระการตาอันเป็นที่ประทับแห่งพระเจ้ากรุงเถมรูผู้มากด้วยพระชนมายุ

ไกลออกไปในป่านั้น...

พลันปรากฏทหารอนันตาผู้ห้าวหาญ ควบอาชาตะบึงตรงมายังกระบวนพยุหยาตราที่ยุรยาตรมาตามทาง จนนางกำนัลผู้หนึ่งถึงกับตกประหวั่นรีบสืบบาทถลาฉับไวเข้าประชิดพระเสลี่ยงที่ประทับก่อนกราบบังคมทูลด้วยเสียงอันดัง

" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวเถมรู ณ บัดนี้ มีทหารอนันตาควบอาชาตรงมายังกระบวนพยุหะเพคะ "

" จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงแห่งเราอยู่หนใด "

สิ้นพระสุรเสียงอันแหบพร่าแห่งพระเจ้ากรุงเถมรูซึ่งลอดผ่านพระวิสูตรที่กางกั้นนั้นออกมา

ฉบัดนั้นเอง ปรากฏร่างอิสตรีผู้สูงวัยในชุดเครื่องแต่งกายอันสูงศักดิ์สุดอลังการ ขยับเข้ามาใกล้พระเสลี่ยงพลางน้อมเศียรลง

" เพคะ พระอยู่หัวเจ้า "

" จงสานสรรพสิ่งอย่าได้ช้า "

" น้อมเหนือเศียรเพคะ "

จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัยหกสิบชันษาถลาไปยังอาชาอนันตาพลันเอาร่างเข้าขวางพลางตวาด

" ช้าก่อน... เจ้าทหาร มิไยจึงบังอาจควบตะบึงฝ่าเข้าหากระบวนพยุหพระเจ้าอยู่หัวแห่งเรา ฤ อยากถูกปลิดชีวีให้อาสัญ "

ทหารหนุ่มหยุดอาชาแน่นิ่งอึงจึงถาม

" มิทราบว่าเป็นกระบวนจากแห่งหนใด ข้าจักได้ทูลสนององค์พระอยู่หัวเจ้าอนันตาแห่งข้าให้แจ้งชัด "

" พระเจ้าแผ่นดินกรุงเถมรูและพระราชินี เสด็จพร้อมองค์หญิงสุบินสวรรค์พระราชธิดา หมายเจริญพระราชไมตรีสองพระหน่อราชอาณาจักรให้กระเดื่องแดนดิน "

" ถวิลหวัง ขออัญเชิญเสด็จที่ท้องพระโรงใหญ่ในพระบรมมหาราชวังในบัดดล "

จบพจนารถ ทหารหนุ่มตวัดกายควบอาชานำหน้ากระบวนพยุหยาตราอย่างกระวีกระวาด

- - - - - - - - -

ณ ท้องพระโรงพระบรมมหาราชวังอนันตาอันโอ่อ่าอลังการ

เพลานั้น กำลังเป็นมหาสมาคมแห่งบรรดาขุนนาง อำมาตย์ แลข้าราชบริพารทั้งน้อยใหญ่ที่เรียงรายหมอบราบกราบถวายบังคมอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดินผู้ผ่านพิภพไอศูรย์สมบัติพิพัฒน์ผล

เบื้องในสุดแห่งท้องพระโรงแห่งนี้เป็นบุษบกบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมาน อันสูงค่าและศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางทรัพย์สมบัติพัสถานอันล้ำค่าและเครื่องมหาราชูปโภคบรมราชกกุฏภัณฑ์แห่งพระมหากษัตริย์

ข้างแท่นพระบรมราชบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมานนั้น เหล่านางพัดวีโบกปัดพัดทองอยู่เนืองๆ ภายใต้ร่มมหาสุวรรณฉัตรแปดสิบเจ็ดชั้น อันหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินอนันตาองค์ปัจจุบัน อันเป็นองค์ที่แปดสิบเจ็ดแห่งพระราชวงศ์

ฉับพลันทันใด มหาดเล็กถลาเข้าสู่ท้องพระโรง ฝ่าเหล่าขุนนาง อำมาตย์ และข้าราชบริพารก่อนคุกเข่าลงกราบถวายบังคมทูลแถลง

" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ณ บัดนี้ กระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค แห่งพระเจ้าแผ่นดินกรุงเถมรู ได้เสด็จพร้อมพระราชินีและพระราชธิดา ถึงพระทวารพระราชวังแล้ว พระพุทธเจ้าข้าขอรับ "

" เชิญเสด็จที่อุทยาน "

พระเจ้ากรุงอนันตาพระดำรัสจบ มหาดเล็กถอยกลับออกไป ในขณะที่มหาอำมาตย์เอกเบี่ยงกายเข้ามาใกล้องค์พลางทูลกระซิบ

" มิแคล้วจะทรงปรึกษาหารือเรื่องงานอภิเษกพระราชธิดาเป็นแม่นมั่น "

" ดูกระนั้นอยู่ "

ตรัสจบ โหราจารย์ขยับกายเข้ามาบ้างพลางทูลสนอง

" แต่ดวงพระราชธิดาเถมรูอาจฉุดรั้งพระทูลกระหม่อมแห่งอนันตาให้หม่นมัวสลัวมืดตะพึดตะพือได้นะพระเจ้าข้า "

" น่าตรองตริได้ต้องใจเรานัก พระโอรสเราก็เป็นหน่อเนื้อเชื้อองค์เทวามาแต่ก่อน ครั้นจะให้ผูกสมัครสมานไมตรีเป็นหนึ่งเดียวกับพระราชธิดาแห่งเจ้ากรุงเถมรูเห็นจะไม่เหมาะ อาจทำให้องค์เทวาบนเบื้องสรวงทรงเคืองขัดกระนั้นได้ "

ปุโรหิตรีบสอดถ้อยแถลงพลางทำตามีเลศนัย

" มิไยไม่ถวายพระราชทรัพย์แล้วส่งเสด็จให้ระเห็จกลับเถมรูราชธานีไปเล่าพระเจ้าข้า "

บัดดล... มโหรีประจำท้องพระโรงวังหลวงรัวฉาบดังสนั่นลั่นไปถึงมหาปราสาท พระเจ้ากรุงอนันตา มหาอำมาตย์ และโหราจารย์ต่างสานสรรพเสียงเป็นทำนองตามลำดับชั้น

" กระไรได้ ปุโรหิตข้า "

" วาจาช่างร้ายนัก "

" หักด้ามฆ้อนด้วยขา ครานี้จะเกิดศึก "

" นึกไม่ถึง นึกไม่ถึง ขอกราบอภัย "

ปุโรหิตซุกหน้าลงพื้นในทันที ในขณะที่โหราจารย์กลับเงยหน้าสลอนพร้อมทำสีหน้ากรุ้มกริ่มพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย

" ทางที่ถูก เราน่าจะเก็บเหล่านางกำนัลอันสวยสะคราญเอาไว้ใช้สอยในพระราชสำนักจะเหมาะกว่า "

" โหราจารย์.. ??? "

ทุกผู้หันมามองท่านเป็นจุดเดียวพลางตวาดใส่ จนโหราจารย์ทนอับอายมิได้ ต้องซุกหน้าลงกับพื้น

" ตื่นเถิดพวกเรา "

มหาอำมาตย์กล่าวด้วยน้ำเสียงขรึมพลางลุกขึ้นยืนแล้วยกหัตถ์ขวาชูขึ้นเหนือเศียร จนบุคคลที่เหลือหน้าตาฉงนกันสิ้น

" กาลจะเป็นเช่นไร องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เท่านั้นที่จะเป็นผู้ชี้แนะหนทางสว่าง พวกเราจงริอย่าไปตื่นตระหนกจนเกินกาลเลย "

- - - - - - - - -

ภายในพระราชอุทยานอันร่มรื่นชื่นตาแห่งอนันตานคร

พระเจ้ากรุงเถมรูและพระราชินี เสด็จประทับอยู่ในพลับพลา ทอดพระเนตรองค์หญิงสุบินสวรรค์ พระราชธิดาวัย 7 พระชันษา กำลังทรงวิ่งเล่นอยู่ในแปลงดอกไม้นานาพันธุ์

ครากระนั้น พระเจ้ากรุงอนันตา เสด็จยังพระราชอุทยานแห่งนั้นพร้อมด้วยพระโอรสวัย 9 พระชันษาผู้องอาจสง่างามทรงพระนามว่า องค์ชายมูรตี

องค์ชายมูรตีทรงเงยพระพักตร์มองพระราชบิดาครู่หนึ่งจึ่งตรัส

" ทูลกระหม่อมพ่อ ลูกขอไปเล่นกับพระน้องนางสุบินสวรรค์จะได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ "

" ไปสิลูก "

พระเจ้ากรุงอนันตาทรงทอดพระเนตรองค์ชายมูรตีเสด็จพระดำเนินไปยังองค์หญิงสุบินสวรรค์ก่อนจะทรงผินพระพักตร์มายังพระเจ้ากรุงเถมรูและพระราชินี ซึ่งประทับอยู่ในพลับพลาริมสระใหญ่กลางอุทยาน

พระเจ้ากรุงอนันตาค่อยๆเสด็จพระดำเนินไปยังพลับพลาแห่งนั้น นางกำนัลสองนางรีบอัญเชิญเครื่องประกอบพระอิสริยยศตามติดจนชิดพระองค์

พระราชินีในพระเจ้ากรุงเถมรูทรงลุกขึ้นจากพระที่ก่อนน้อมองค์ลงถวายบังคม

" ทรงพระเจริญเพคะ "

" ตามสบายเถิดพระนาง "

พระเจ้ากรุงอนันตาทรงประทับนั่งเคียงข้างพระเจ้ากรุงเถมรู เหล่านางกำนัลต่างหมอบคลานเข้าถวายอยู่งานรับใช้ บ้างก็อยู่งานพระแส้ปัด บ้างก็อยู่งานพระวาลวิชนี บ้างก็อยู่งานพระสุพรรณศรี บ้างก็อยู่งานพระสุพรรณราช

" องค์ชายมูรตีทรงงดงามองอาจดุจพญาสีหราช เช่นนี้เป็นบุญอันมหาศาลแก่อนันตาประเทศ "

พระเจ้ากรุงเถมรูตรัสพลางทรงยิ้มก่อนจะทรงยื่นพระหัตถาไปหยิบถ้วยพระสุธารสที่นางกำนัลผู้หนึ่งทูลเสนอ

ฝ่ายพระเจ้ากรุงอนันตาทรงพระสรวลคราหนึ่งจึ่งตรัสตอบ

" กระนั้นอยู่... แต่ก็ยังดูเยาว์วัยเกินกว่าจะรับผิดชอบการงานบ้านเมืองอันใดได้ แม้กระทั่งเรื่องความรักก็ตาม "

พระเจ้ากรุงเถมรูทรงจิบพระสุธารสพลางหยุดชะงักก่อนมีพระดำรัสขึ้น

" ลูกหญิงสุบินสวรรค์ของหม่อมฉันก็เช่นกัน "

ทันใด

โหราจารย์แห่งเถมรูผู้นิ่งเงียบอยู่นานก็ทูลสวนขึ้นทันควันในครานั้นว่า

" หากแต่ดวงพระชะตาของพระหน่อเนื้อทองทั้งสองพระองค์นั้นต้องกัน มาตรแม้นเทพบุตรคู่เทพธิดาก็มิปาน เช่นนี้ ในภายภาคหน้าเมื่อทรงเคียงคู่สมัครสมานไมตรีแล้วไซร้ คงไม่แคล้วจะช่วยเสริมสร้างพระบุญญาธิการแห่งสองพระราชอาณาจักรให้เชิดชูโชติช่วงไปทั่วดินแดนเกวลทวีปเป็นแม่นมั่น "

พระเจ้ากรุงอนันตาทรงพระสรวลคราใหญ่จึงทรงหันมาทางพระเจ้ากรุงเถมรูพลางตรัสขึ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่