ต้นยางเป็นไม้พื้นเมืองพบมากในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ คนไปเจอเขาตั้งชื่อว่า “คาอุท์ซุค”-Caoutchouc มาจากภาษาพื้นเมืองแปลว่า “ต้นไม้ร้องไห้”
“โจเซฟ พริสลี่” เป็นผู้ค้นพบว่ายางสามารถลบรอยดำของดินสอได้โดยกระดาษไม่เสีย จึงเรียกว่ายางลบ Rubber ยางพันธุ์ Hevea Brasilliensisได้ชื่อว่าดีที่สุด ศูนย์กลางการซื้อขายยางอยู่ที่เมืองท่าชื่อ พารา-Para บนฝั่งแม่น้ำอเมซอน ประเทศบราซิล ต้นยางจึงถูกเรียกอีกชื่อว่า ยางพารา
ยางมีคุณสมบัติพิเศษคือ ยึดหยุ่น,กันน้ำได้, เป็นฉนวนกันไฟได้, เก็บและพองลมได้ดี ด้วยเหตุนี้ “ยางพารา” จึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ส่วนเมืองไทยยางพาราเป็นพืชการเมืองด้วย ตอนนี้ถูกทิ้งจนระทม ถูกทุบจนระทวย
ดูประวัติของยางพาราในไทยซึ่งเกี่ยวพันกับประวัติของกิตติรัตน์ ณ ระนอง
ต้นยางในไทยน่าจะปลูกในช่วงปี พ.ศ. 2442 โดยพระยารัษฏานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เจ้าเมืองตรังในขณะนั้น(บรรพบุรุษของกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ได้นำเมล็ดยางพารามาปลูกที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นครั้งแรก เวลานั้นชาวบ้านเรียกต้นยางชุดแรกนี้ว่า “ต้นยางเทศา” ตามบรรดาศักดิ์ท่านผู้ริเริ่ม ต่อมาได้มีการขยายพันธุ์ยางมาปลูกในบริเวณจังหวัดตรังและนราธิวาส จนขยายมาปลูกในจังหวัดจันทบุรี โดยหลวงราชไมตรี (ปูม ปุณศรี)
นับจากนั้นเป็นต้นมาได้มีการขยายพันธุ์ปลูกยางพาราไปทั่วทั้ง 14 จังหวัดในภาคใต้ และ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก นอกจากนี้ยังมีการขยายพันธุ์ยางมาปลูกในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ
ปัจจุบันยางพารากลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย และมีการผลิตเป็นอันดับหนึ่งของโลก ตามด้วยอินโดนีเซีย
ยางพารา สามารถทำรายได้การส่งออกเป็นอันดับสองของประเทศรองจากข้าว
ประเทศไทยมีการส่งออกยางธรรมชาติมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 เรื่อยมาจนในปี พ.ศ. 2554 ไทยมีพื้นที่กรีดยาง 12.7 ล้านไร่ ผลผลิตจากยางธรรมชาติประมาณ 3.24 ล้านตัน มีมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 4.4 แสนล้านบาท ตลาดส่งออกรายใหญ่อยู่ที่ จีน-มาเลเซีย-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้-อเมริกา และยุโรป...ขีดเส้นใต้ที่ “จีน” ลูกค้ารายใหญ่
ต้นยางทั้งต้นขายได้หมด ตั้งแต่น้ำยางดิบกวาดจนถึงยางก้นถ้วย สุดท้ายกรีดกันจนหมดน้ำยางแล้วก็โค่นต้นยางไปขายทำไม้ยางพาราได้อีก
หลายปีมานี้ความต้องการยางพาราในตลาดโลกมีสูงขึ้นมาก ราคาการซื้อยางก็สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว เมื่อไม่กี่ปีก่อน น้ำยางเคยพุ่งไปกิโลกรัมละ 180 บาท ยุคนั้นเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ทุบสถิติถอยรถกระบะวันละ 480 คัน
เกษตรกรชาวสวนยางบอกว่า ต้นยางเสมือนเป็นของขวัญจากพระเจ้า เหมือนต้นไม้ร้องไห้มีน้ำตาเป็นยางเหนียวข้นสีขาว กว่าจะได้น้ำยาง ต้นไม้ต้นหนึ่งถูดกรีดรอบต้นครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชาวสวนยางจึงพูดกันว่า การจับมีดกรีดยางที่ถูกต้อง เมื่อมองดูแล้วจะเหมือนพนมมือไหว้ และการก้มเก็บน้ำยางเหมือนก้มหัวคำนับต้นยาง ต้นยางคือมารดาที่ร้องไห้ออกมาเป็น ทองคำสีขาว พวกเขาจึงรักและเคารพต้นยางประดุจมารดาผู้หลั่งน้ำนมหล่อเลี้ยงชีวิต ชีวิตคนใต้จึงผูกพันกับต้นยางและสายน้ำแยกกันไม่ออก
เมื่อราคายางตกต่ำรูดลงมาน่าใจหาย พวกเขาร้องเรียนภาครัฐหลายรอบจนถอดใจ จึงพากันออกมาประท้วง ปิดถนน–ปิดศาลากลางจังหวัด และปิดอื่นๆ อีกเท่าที่จะคิดได้ จนถูกรัฐขนานนามว่าเป็น ม็อบยางการเมือง เป็นเกมนอกสภาล้มรัฐบาล และชี้เป้าไปที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” กับ พรรคประชาธิปัตย์
หนทางแก้เกมจึงไม่ใช่ใช้เงิน 6 หมื่นล้านบาท ไปรับซื้อยางมาเก็บไว้ขายภายหลัง แต่คือการใช้เงินฟาดหัวแกนนำบางคนจากภาคเหนือ-อีสานและบางคนในภาคใต้ แล้วสร้างหลักฐานรับเงินมาตลบหลัง
ม็อบยางสลายเกาะกลุ่มไม่ติด ขาดพลัง ไร้ข้อต่อรอง ส่วนที่เหลือก็ลอยแพปล่อยให้ประท้วงจนอ่อนแรงแยกย้ายไปกันเอง
ยิ่งประท้วงมากเท่าไร ชาวบ้านเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น ผลร้ายจะตกกับพรรคประชาธิปัตย์ เท่าๆ กัน
บ้านเมืองป่วนสารพัด แต่นายกรัฐมนตรีไม่นำพา ไม่รับผิดชอบ นี่ก็จะเอาภาษีไปผลาญด้วยทัวร์ไปต่างประเทศอีกแล้ว
เร็วๆ นี้ จะไปอิตาลีและสวิตเซอร์แลนด์ การเดินทางของเธอถูกจับตามอง และบันทึกให้ได้อาย แต่เธอไม่อายหายห่วง
ขณะนี้ ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของเธออยู่แถวๆ อิตาลี ไล่ๆ กับที่ยิ่งลักษณ์จะไปเยือนเหมือนจะพอดี จะพูดว่าไม่ได้นัดกันก็พูดได้ แต่เชื่อว่าไม่มีใครเชื่อคำพูดของยิ่งลักษณ์ ลมปากของเธอมีค่าไม่ต่างจากเสียงผายลมกลางทุ่งแร้งคอย
พวกชินวัตรใกล้เดินเข้าสู่จุดสำเร็จที่วาดหวังไว้ในการทวงคืนบัลลังก์อำนาจและเงินตรา
เพราะการโยกย้ายข้าราชการประจำและทหาร-ตำรวจฤดูกาลนี้ ยิ่งลักษณ์กระชับอำนาจในมือได้เด็ดขาดกว่าปีแรก เพราะเธอได้ตัวช่วยชั้นดี “พี่ทวี”ประสานสิบทิศจนหมดจดทั้งทหารและตำรวจ เว้นแต่อำนาจตุลาการที่อยากได้แต่ไม่เคยเอื้อมถึงและไม่มีวันเข้าถึง
ส่วนเวทีการเมืองเอาอยู่ ด้วยขี้ข้าม้าใช้เต็มสภาฯ พร้อมตายแทน ขอเพียงเงินถุง - ใจถึงเท่านั้นพอ
มีข่าวร้อนจากวงในเล่าว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานทูตจีนในไทยถูกเรียกตัวกลับปักกิ่งด่วน ข้อหาสบายแล้วเคยตัว ไม่ช่วยกันค้าขายให้ประเทศ จากนั้นส่งคนใหม่มาทำงานแทน เป็นคนที่รู้เรื่องเมืองไทย คนไทย น้อยเหลือเกิน แถมพูดไทยไม่ได้เลย ผิดธรรมเนียม!!!
วงการทูตคุยกันว่า จีนโกรธเรื่องโครงการแก้ปัญหาน้ำ 3.5 แสนล้าน ที่เกาหลีใต้คว้าไปแทบหมด ทั้งๆ ที่บริษัทเค วอต้ม ร่ำลือกันว่าถังแตกและไร้ความเป็นมืออาชีพ ดีอย่างเดียวคือ ทอนตังค์ได้ครบให้คนไกลในบัญชีต่างแดน นี่ก็ร่ำๆ ว่าเกาหลีอาจจะได้ 2.2 ล้านล้านบาท อีก กับการทำรถไฟสายไว้ขนผักสด ตังค์ที่ทอนไปเก็บไว้ดีๆ อย่าใช้หมดเดี๋ยวลูกติดยาไม่มีใช้ละเซ็งแย่
เมื่อจีนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ถูกคนหน้าเหลี่ยมมาหลอกลวง จึงหันมาส่งสัญญาณไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งที่จีนและฮ่องกง แล้วประกาศตามมา ไม่ซื้อยาง ไม่ซื้อข้าว, ยางร่วง-ข้าวเน่าคาโกดัง ด้วยเหตุนี้...พวกเราตาย มันได้ตังค์
แถมอีกเรื่องจากวาติกัน...เพราะนารีอยากแต่งตัวเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตปาปาสร้างภาพ ร้อนถึงคนสนิทต้องวิ่งไปติดต่อกับพระคาร์ดินัลท่านหนึ่ง ซึ่งรู้ทั้งรู้ว่าเกลียดทักษิณเข้าไส้ แต่พระดีจำต้องยอมประสานกับวาติกันด้วยภาระหน้าที่ ขณะที่กำลังสะสางเรื่องประเพณีการแต่งกายเข้าเฝ้าที่ต้องชุดยาวสีดำ ถุงมือยาวและผ้าคลุมหน้าสีดำสนิทในระยะเวลาแค่ 10 นาที จะพูดจะคุยจะมอบอะไร ขอดูขอถามก่อนเพื่อความเป็นระเบียบ ...
ไหนๆ จะได้เข้าวาติกันสักที คนหูกระต่ายตัวดีเลยยัดไส้คำถามว่า “วาติกันสนับสนุนงบประมาณให้คาทอลิกไทยปีละเท่าไรอยากรู้เผื่อได้ช่วยสมทบ?” ...บานละสิทีนี้...จาก 10 นาทีเลยตัดฉับ ได้แค่เข้าเฝ้า จับมือ มอบของที่ระลึก อำนวยอวยพร แล้วจากลา...
อยู่ดีไม่ว่าดี...กระเชอก้นรั่วแท้จริงเทียว....ของอย่างนี้โทษใครไม่ได้ คนแบบไหนก็รับใช้คนแบบนั้น โง่กับโง่เจอกันก็บรรลัยด้วยประการฉะนี้แล.....อาเมน
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/8485
ปล.ถ้าต้นไม้มันพูดได้ มันจะพูดว่าอะไรหนอ....เอิ๊ก ๆ ๆ
ต้นไม้ร้องไห้ที่ด้ามขวาน!
“โจเซฟ พริสลี่” เป็นผู้ค้นพบว่ายางสามารถลบรอยดำของดินสอได้โดยกระดาษไม่เสีย จึงเรียกว่ายางลบ Rubber ยางพันธุ์ Hevea Brasilliensisได้ชื่อว่าดีที่สุด ศูนย์กลางการซื้อขายยางอยู่ที่เมืองท่าชื่อ พารา-Para บนฝั่งแม่น้ำอเมซอน ประเทศบราซิล ต้นยางจึงถูกเรียกอีกชื่อว่า ยางพารา
ยางมีคุณสมบัติพิเศษคือ ยึดหยุ่น,กันน้ำได้, เป็นฉนวนกันไฟได้, เก็บและพองลมได้ดี ด้วยเหตุนี้ “ยางพารา” จึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ส่วนเมืองไทยยางพาราเป็นพืชการเมืองด้วย ตอนนี้ถูกทิ้งจนระทม ถูกทุบจนระทวย
ดูประวัติของยางพาราในไทยซึ่งเกี่ยวพันกับประวัติของกิตติรัตน์ ณ ระนอง
ต้นยางในไทยน่าจะปลูกในช่วงปี พ.ศ. 2442 โดยพระยารัษฏานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เจ้าเมืองตรังในขณะนั้น(บรรพบุรุษของกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ได้นำเมล็ดยางพารามาปลูกที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นครั้งแรก เวลานั้นชาวบ้านเรียกต้นยางชุดแรกนี้ว่า “ต้นยางเทศา” ตามบรรดาศักดิ์ท่านผู้ริเริ่ม ต่อมาได้มีการขยายพันธุ์ยางมาปลูกในบริเวณจังหวัดตรังและนราธิวาส จนขยายมาปลูกในจังหวัดจันทบุรี โดยหลวงราชไมตรี (ปูม ปุณศรี)
นับจากนั้นเป็นต้นมาได้มีการขยายพันธุ์ปลูกยางพาราไปทั่วทั้ง 14 จังหวัดในภาคใต้ และ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก นอกจากนี้ยังมีการขยายพันธุ์ยางมาปลูกในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ
ปัจจุบันยางพารากลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย และมีการผลิตเป็นอันดับหนึ่งของโลก ตามด้วยอินโดนีเซีย
ยางพารา สามารถทำรายได้การส่งออกเป็นอันดับสองของประเทศรองจากข้าว
ประเทศไทยมีการส่งออกยางธรรมชาติมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 เรื่อยมาจนในปี พ.ศ. 2554 ไทยมีพื้นที่กรีดยาง 12.7 ล้านไร่ ผลผลิตจากยางธรรมชาติประมาณ 3.24 ล้านตัน มีมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 4.4 แสนล้านบาท ตลาดส่งออกรายใหญ่อยู่ที่ จีน-มาเลเซีย-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้-อเมริกา และยุโรป...ขีดเส้นใต้ที่ “จีน” ลูกค้ารายใหญ่
ต้นยางทั้งต้นขายได้หมด ตั้งแต่น้ำยางดิบกวาดจนถึงยางก้นถ้วย สุดท้ายกรีดกันจนหมดน้ำยางแล้วก็โค่นต้นยางไปขายทำไม้ยางพาราได้อีก
หลายปีมานี้ความต้องการยางพาราในตลาดโลกมีสูงขึ้นมาก ราคาการซื้อยางก็สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว เมื่อไม่กี่ปีก่อน น้ำยางเคยพุ่งไปกิโลกรัมละ 180 บาท ยุคนั้นเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ทุบสถิติถอยรถกระบะวันละ 480 คัน
เกษตรกรชาวสวนยางบอกว่า ต้นยางเสมือนเป็นของขวัญจากพระเจ้า เหมือนต้นไม้ร้องไห้มีน้ำตาเป็นยางเหนียวข้นสีขาว กว่าจะได้น้ำยาง ต้นไม้ต้นหนึ่งถูดกรีดรอบต้นครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชาวสวนยางจึงพูดกันว่า การจับมีดกรีดยางที่ถูกต้อง เมื่อมองดูแล้วจะเหมือนพนมมือไหว้ และการก้มเก็บน้ำยางเหมือนก้มหัวคำนับต้นยาง ต้นยางคือมารดาที่ร้องไห้ออกมาเป็น ทองคำสีขาว พวกเขาจึงรักและเคารพต้นยางประดุจมารดาผู้หลั่งน้ำนมหล่อเลี้ยงชีวิต ชีวิตคนใต้จึงผูกพันกับต้นยางและสายน้ำแยกกันไม่ออก
เมื่อราคายางตกต่ำรูดลงมาน่าใจหาย พวกเขาร้องเรียนภาครัฐหลายรอบจนถอดใจ จึงพากันออกมาประท้วง ปิดถนน–ปิดศาลากลางจังหวัด และปิดอื่นๆ อีกเท่าที่จะคิดได้ จนถูกรัฐขนานนามว่าเป็น ม็อบยางการเมือง เป็นเกมนอกสภาล้มรัฐบาล และชี้เป้าไปที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” กับ พรรคประชาธิปัตย์
หนทางแก้เกมจึงไม่ใช่ใช้เงิน 6 หมื่นล้านบาท ไปรับซื้อยางมาเก็บไว้ขายภายหลัง แต่คือการใช้เงินฟาดหัวแกนนำบางคนจากภาคเหนือ-อีสานและบางคนในภาคใต้ แล้วสร้างหลักฐานรับเงินมาตลบหลัง
ม็อบยางสลายเกาะกลุ่มไม่ติด ขาดพลัง ไร้ข้อต่อรอง ส่วนที่เหลือก็ลอยแพปล่อยให้ประท้วงจนอ่อนแรงแยกย้ายไปกันเอง
ยิ่งประท้วงมากเท่าไร ชาวบ้านเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น ผลร้ายจะตกกับพรรคประชาธิปัตย์ เท่าๆ กัน
บ้านเมืองป่วนสารพัด แต่นายกรัฐมนตรีไม่นำพา ไม่รับผิดชอบ นี่ก็จะเอาภาษีไปผลาญด้วยทัวร์ไปต่างประเทศอีกแล้ว
เร็วๆ นี้ จะไปอิตาลีและสวิตเซอร์แลนด์ การเดินทางของเธอถูกจับตามอง และบันทึกให้ได้อาย แต่เธอไม่อายหายห่วง
ขณะนี้ ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของเธออยู่แถวๆ อิตาลี ไล่ๆ กับที่ยิ่งลักษณ์จะไปเยือนเหมือนจะพอดี จะพูดว่าไม่ได้นัดกันก็พูดได้ แต่เชื่อว่าไม่มีใครเชื่อคำพูดของยิ่งลักษณ์ ลมปากของเธอมีค่าไม่ต่างจากเสียงผายลมกลางทุ่งแร้งคอย
พวกชินวัตรใกล้เดินเข้าสู่จุดสำเร็จที่วาดหวังไว้ในการทวงคืนบัลลังก์อำนาจและเงินตรา
เพราะการโยกย้ายข้าราชการประจำและทหาร-ตำรวจฤดูกาลนี้ ยิ่งลักษณ์กระชับอำนาจในมือได้เด็ดขาดกว่าปีแรก เพราะเธอได้ตัวช่วยชั้นดี “พี่ทวี”ประสานสิบทิศจนหมดจดทั้งทหารและตำรวจ เว้นแต่อำนาจตุลาการที่อยากได้แต่ไม่เคยเอื้อมถึงและไม่มีวันเข้าถึง
ส่วนเวทีการเมืองเอาอยู่ ด้วยขี้ข้าม้าใช้เต็มสภาฯ พร้อมตายแทน ขอเพียงเงินถุง - ใจถึงเท่านั้นพอ
มีข่าวร้อนจากวงในเล่าว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานทูตจีนในไทยถูกเรียกตัวกลับปักกิ่งด่วน ข้อหาสบายแล้วเคยตัว ไม่ช่วยกันค้าขายให้ประเทศ จากนั้นส่งคนใหม่มาทำงานแทน เป็นคนที่รู้เรื่องเมืองไทย คนไทย น้อยเหลือเกิน แถมพูดไทยไม่ได้เลย ผิดธรรมเนียม!!!
วงการทูตคุยกันว่า จีนโกรธเรื่องโครงการแก้ปัญหาน้ำ 3.5 แสนล้าน ที่เกาหลีใต้คว้าไปแทบหมด ทั้งๆ ที่บริษัทเค วอต้ม ร่ำลือกันว่าถังแตกและไร้ความเป็นมืออาชีพ ดีอย่างเดียวคือ ทอนตังค์ได้ครบให้คนไกลในบัญชีต่างแดน นี่ก็ร่ำๆ ว่าเกาหลีอาจจะได้ 2.2 ล้านล้านบาท อีก กับการทำรถไฟสายไว้ขนผักสด ตังค์ที่ทอนไปเก็บไว้ดีๆ อย่าใช้หมดเดี๋ยวลูกติดยาไม่มีใช้ละเซ็งแย่
เมื่อจีนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ถูกคนหน้าเหลี่ยมมาหลอกลวง จึงหันมาส่งสัญญาณไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งที่จีนและฮ่องกง แล้วประกาศตามมา ไม่ซื้อยาง ไม่ซื้อข้าว, ยางร่วง-ข้าวเน่าคาโกดัง ด้วยเหตุนี้...พวกเราตาย มันได้ตังค์
แถมอีกเรื่องจากวาติกัน...เพราะนารีอยากแต่งตัวเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตปาปาสร้างภาพ ร้อนถึงคนสนิทต้องวิ่งไปติดต่อกับพระคาร์ดินัลท่านหนึ่ง ซึ่งรู้ทั้งรู้ว่าเกลียดทักษิณเข้าไส้ แต่พระดีจำต้องยอมประสานกับวาติกันด้วยภาระหน้าที่ ขณะที่กำลังสะสางเรื่องประเพณีการแต่งกายเข้าเฝ้าที่ต้องชุดยาวสีดำ ถุงมือยาวและผ้าคลุมหน้าสีดำสนิทในระยะเวลาแค่ 10 นาที จะพูดจะคุยจะมอบอะไร ขอดูขอถามก่อนเพื่อความเป็นระเบียบ ...
ไหนๆ จะได้เข้าวาติกันสักที คนหูกระต่ายตัวดีเลยยัดไส้คำถามว่า “วาติกันสนับสนุนงบประมาณให้คาทอลิกไทยปีละเท่าไรอยากรู้เผื่อได้ช่วยสมทบ?” ...บานละสิทีนี้...จาก 10 นาทีเลยตัดฉับ ได้แค่เข้าเฝ้า จับมือ มอบของที่ระลึก อำนวยอวยพร แล้วจากลา...
อยู่ดีไม่ว่าดี...กระเชอก้นรั่วแท้จริงเทียว....ของอย่างนี้โทษใครไม่ได้ คนแบบไหนก็รับใช้คนแบบนั้น โง่กับโง่เจอกันก็บรรลัยด้วยประการฉะนี้แล.....อาเมน
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/8485
ปล.ถ้าต้นไม้มันพูดได้ มันจะพูดว่าอะไรหนอ....เอิ๊ก ๆ ๆ