เหย้าบาหยัน>> บทที่ ๕ >> สาปสาง

กระทู้สนทนา
เปิดกล่องย้อนอดีค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

คู่มือการอ่าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บทที่ ๕
สาปสาง




             เศษเส้นผมสากสั้นสีดำอำพรางไว้ในล็อคเก็ตอย่างเป็นปริศนา  หาข้อพิสูจน์แน่แท้ไม่ได้ว่า ใครกันคือเจ้าของมัน  สันนิษฐานได้เพียงเบื้องต้นว่า มันคงเป็นผมของเจ้าของล็อคเก็ต นั่นก็คือ’เทียดบาหยัน’  แต่จะเก็บมันไว้เพื่ออะไร  และผงขาวสีขุ่นเทาเหล่านั้นคืออะไร ทำไมของประหลาดทั้งสองต้องถูกซ่อนเร้นไร้เหตุผลหาคำอธิบายไม่ได้

             ในตอนนี้ มีเพียง’คุณย่าสังวน’คนที่มอบสร้อยล็อคเก็ตเส้นนี้กับแก้วก่อนเดินทาง อาจจะให้คำตอบที่กระจ่างมากขึ้น แก้วจึงไม่รอช้าที่จะรีบโทรศัพท์ กลับไปเมืองไทย  พอคุณย่ารับสายฟังสิ่งที่หลานสาวเจอในล็อคเก็ต  คำแรกทีย่าพูดกลับไปก็คือ  

              “ กลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด ”

              “ หนูยังกลับไม่ได้ค่ะย่า ”  หลานสาวพูดตอบกลับไปช้าๆอย่างชัดถ้อยชัดคำที่สุด เพราะเนื่องจากย่าแก่ชรามากแล้ว เหลืออีกไม่กี่วันก็อายุครบหนึ่งร้อยหนึ่งปี  

              “ อย่าห่วงเรื่องงานนักเลยหลานเอ้ย กลับบ้านเราเถอะนะหลานนะ ” หญิงชราพูดช้าๆด้วยโทนเสียงต่ำ เหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง

              “ เรื่องงานก็ส่วนหนึ่ง แต่หนูยังมีเรื่องอื่นๆที่ต้องจัดการด้วยค่ะ ”

              “ ถ้าหลานไม่กลับ ย่าจะไม่ยอมกินยา ”  ฝ่ายย่าเริ่มเรียกร้องความสนใจ ด้วยการใช้อุบายเดิมทำให้หลานสาวเป็นห่วง  เพื่อที่จะได้ยอมทำตาม

              “ หนูจะกลับ ต่อเมื่อคุณย่าอธิบายหนูมาก่อนว่า เส้นผมกับผงพวกเนี้ย มันไปอยู่ในล็อคเก็ตได้ยังไงกัน ”

              “ ย่าไม่รู้ ย่าก็รับช่วงต่อมาอีกที  ไม่เคยแกะหรือกระเทาะออกมาดูเลย  ”

              “ แล้วสร้อยเส้นนี้ คุณย่าพอจะรู้ไหมคะว่าคุณเทียดทำมาจากไหน และมีกี่อันคะ ”

              “ ย่าไม่รู้อะไรเลย รู้อย่างเดียวว่า คุณทวดของหลานสั่งนักสั่งหนา  ถ้าลูกหลานในตระกูลคนไหนเป็นผู้หญิง จะต้องได้สร้อยเส้นนี้เป็นมรดกตกทอดคอยคุ้มครองคุ้มภัย  ”

              “ แปลกจริง ทำไมต้องเป็นยังงั้นด้วย แล้วตอนที่คุณย่ารับมาใส่ครั้งแรก คุณย่าเจออะไรแปลกๆไหมคะ ”

              “ ตอนใส่ไม่เจอ แต่ตอนไม่ใส่กลับเจอ ” หญิงชราพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง เหมือนหวาดกลัวกำลังสิ่งที่กำลังพูด

              “ ที่เจอ คือเจออะไรคะ ”

              “ เสียงผู้หญิงเอื้อนทำนองไทยเดิม ฟังแล้วคล้ายกับเสียงเพลงกล่อมเด็ก ”

              เมื่อได้ยินสิ่งที่ย่าเล่า แก้วก็นึกถึงเสียงที่เธอได้ยินทุกคืนตั้งแต่มาพักแรมอยู่ที่เมืองซีแอตเทิ้ล มันเป็นเสียงผู้หญิงสาวเอื้อนทำนองไทยเดิมที่ไม่คำร้องใดๆ นึกถึงทีไรก็ขนลุกสยองเย็นวาบไปทั้งตัวทุกที

               “ น่อย น้อย หน้อย...น๋อย  น่อย นอย...”  
             ย่าสังวนเอื้อนทำนองนี้ให้แก้วฟังช้าๆ ซึ่งเป็นที่มั่นใจได้ว่า มันคือเสียงลักษณะเดียวกัน ที่เธอเคยได้ยินมา

              “ คุณย่าคะ แก้วเคยได้ยินเสียงแบบเดียวกันนี้เลยค่ะ ”

              “ ย่าบอกแล้วไงว่าให้หลานใส่สร้อยติดตัวอยู่ตลอด ถ้าใส่สร้อยแล้วหลานจะไม่ได้ยินเสียงแบบนั้นอีก  ”

              “ ก่อนหน้านี้ที่อยู่ไทย แก้วก็ไม่เคยใส่ และก็ไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้  แล้วทำไมจู่ๆคุณย่าถึงให้สร้อยเส้นนี้กับแก้วก่อนเดินทางมาที่นี่คะ ”

              “ ย่าฝันเห็นคุณย่าบาหยัน ท่านมาบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่เหลนของท่านจะต้องใส่มัน ลางสังหรณ์ย่าไม่ผิดจริงๆ ต้องเป็นท่านแน่ๆที่ตามหลานไปถึงนั่น  ”

              “ คุณเทียดบาหยันน่ะเหรอคะตามหนูมา ”

              “ ไม่ใช่….”

             หญิงชราเงียบไป มีเสียงลมหายใจหอบด้วยความตื่นเต้นระคนกลัวก่อนที่จะกล้าพูดกลับไปว่า

             “ย่าหมายถึง…..คุณย่ายิหวา ”

             เมื่อได้ยินชื่อ’ยิหวา’เทียดแฝดพี่น้องท้องเดียวกับ’บาหยัน’  แก้วก็ตกใจ  เพราะชื่อนี้ น้อยครั้งนักที่จะได้ถูกเอ่ยถึงหรือเล่าให้ฟังว่าเป็นใครหรือมาจากไหน  ไม่เคยมีใครจะปริปากเล่าว่า ‘เทียดยิหวา’นั้นหายไปไหน แม้แต่รูปถ่ายสักใบก็ไม่เคยเห็น

             “ เทียดยิหวา!  เทียดยิหวามาเกี่ยวอะไรด้วยคะ ”

             “ ถ้าหลานได้ยินเสียงแบบที่ได้ยิน เสียงเสียงนั้นก็คือเสียงเอื้อนของคุณย่ายิหวา ”

             เสียงหญิงสาวปริศนาที่มาทุกค่ำคืน ได้ชัดแจ้งแล้วว่าเป็นใคร แต่ทำไมเทียดยิหวาต้องติดตามแก้วมาถึงที่นี้ด้วย  มีอะไรอยากจะสื่อบอก หรือแค่ต้องการจะหลอกหลอนกันให้หวาดกลัวเท่านั้น เหมือนกับที่ย่าสังวนเป็นอยู่ในขณะนี้

             “ แก้วไม่เข้าใจค่ะ ว่าคุณเทียดยิหวาจะตามมาที่นี้ทำไม และต้องการอะไร ทำไมต้องมาส่งเสียงหลอกให้ประสาทเสียแบบนี้ ” หญิงสาวเริ่มพูดด้วยอารมณ์โกรธอย่างไม่เกรงกลัว เพราะในเมื่อเป็นบรรพบุรุษแท้ๆ ทำไมต้องทำให้ลูกหลานต้องรู้สึกกลัวตัวเองด้วย

              “ อย่าเอ็ดไปแก้ว เดี๋ยวท่านได้ยิน กลับมาเดี๋ยวนี้เลย เชื่อย่านะหลานนะ ”  หญิงชราพูดอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงที่วิตกกังวล

               เมื่อเห็นบุคคลปลายสายออกอาการเป็นห่วงมากขึ้น ฝ่ายหลานจึงสทนากลับด้วยน้ำเสียงที่สดใส “ แก้วกลับไปทันวันเกิดครอบรอบหนึ่งร้อยหนึ่งปีคุณย่าแน่นอนค่ะไม่ต้องห่วง ”

               “ ย่าไม่ได้ห่วงว่าหลานจะมาวันเกิดย่าหรือเปล่า ย่าห่วงว่าหลานจะไม่ปลอดภัย ฟังย่านะ ต่อไปนี้ต้องใส่สร้อยล็อคเก็ตของคุณเทียดบาหยันตลอดเวลา ห้ามถอดเข้าใจไหม ”

               “ สร้อยเส้นนี้ที่มีเส้นผมกับผงประหลาดอยู่ข้างในเนี้ยนะคะ ”  หญิงสาวนั่งยองๆที่พื้น ก้มดูวัตถุสยองในสร้อยล็อคเก็ตด้วยความสะพรึงกลัว  

               “ แก้วฟังย่านะ ตอนนี้เก็บมันเข้าที่เดิมและปิดล็อคไว้เหมือนเดิม แล้วใส่มันซะ ”

               การที่จะหยิบมันเก็บเข้าใส่เหมือนเดิมกลายเป็นเรื่องยาก เพราะยังไงมันก็คือของคนที่ตายไปแล้ว แต่ในเมื่อมันจะช่วยทำให้รอดปลอดภัยตามคำที่ผู้ใหญ่บอก  แก้วเลยกลั้นใจโกยเศษผมและผงแป้งสีขาวขุ่นเทาเก็บเข้าช่องของล็อคเก็ต และปิดผนึกล็อคไว้เหมือนเดิม  

               “ แก้วจะใส่ตามที่คุณย่าบอกค่ะ ไม่ต้องห่วง ”

                หญิงสาวไม่ได้สวมสร้อยมาใส่ตามที่ย่าบอก  เพียงแค่หยิบล็อคเก็ตมาพิจารณาดูรอบๆขอบอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าวัตถุข้างในจะไม่หลุดออกมาให้หลอนอีก  แต่แล้วความสงสัยก็เพิ่มเข้ามาอีก ในเมื่อมันไม่มีสลักล็อคหรือตะขอดึงเลย รูรอบขอบก็เรียบ ไม่มีช่องให้แคะแงะได้เลยสักนิด  ถ้าจะเปิดอีกครั้งก็ต้องโยนลงพื้นอีกครั้งเท่านั้น  ซึ่งแก้วคงไม่ทำอีกแน่นอน

                 “ เท่านี้ย่าก็หายห่วงไปครึ่งนึง ถ้าจะให้หมดห่วงกว่านี้ หลานต้องกลับไทยวันพรุ่งนี้ ”

                 “ พรุ่งนี้เลยเหรอคะ ”

                 “ กลับมาก่อน...ก่อนที่จะไม่วันพรุ่งนี้ให้กลับนะแก้วเอ้ย ” ย่าพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

                 “ คุณย่าพูดซะน่ากลัวเลยค่ะ เหตุการ์ณมันจะเลวร้ายมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ ”

                 “ ย่าไม่รู้ แต่ย่ารู้สึกใจคอไม่ดี เมื่อกี้ก่อนหลานโทรมา คนเฝ้าเหย้าบาหยันเค้าโทรมาบอกแต่เช้าว่า ห้องใต้บันไดโดนรื้อ น่าจะเป็นไอ้พวกขี้ยา เพราะไม่มีของมีค่าหาย มีเพียงของชิ้นสองชิ้นที่ถูกขโมยไป ”

               “ อะไรถูกขโมยไปคะ และขโมยไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แก้วไม่คิดว่าเราจะยังมีคนกล้าเฝ้าเหย้าบาหยันอีก  ”

                “ คนเฝ้าคนเก่านั้นแหละ ย่าให้เค้าเข้าไปทำความสะอาดเดือนละครั้ง ส่วนของที่หายก็คือรูปกรอบใหญ่ และข้าวของบางอย่างของคุณย่ายิหวา.... ” หญิงชราเผลอพลั้งปากเล่าไปโดยไม่ตั้งใจ จะแก้คำหรือเลี่ยงประเด็นก็สายไปแล้ว เพราะหลานสาวแทรกถามเข้ามาทันที

              “ รูปคุณเทียดยิหวา กรอบใหญ่ด้วย ทำไมแก้วไม่เคยรู้ว่าเรามีรูปท่าน  ไหนใครๆก็บอกว่ารูปหายไปแล้วไงคะ มันยังไงกันแน่คะคุณย่า  ”

              “ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ย่าก็จะบอกความจริงให้หลานได้รู้ มันสมควรแก่เวลาแล้วที่หลานจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และทำไมทุกคนใน’ตระกูลเจริญจิตโอสถ’ถึงไม่มีใครกล้าพูดเรื่องคุณย่ายิหวาเลย  เรื่องมันอาจจะยาว หลานอยากจะฟังไหมล่ะ ”

               “ เล่ามาเลยค่ะ แก้วอยากรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ”

              หญิงสาวเดินมานั่งที่เตียง เหยียดขายาวออกให้คลายเมื่อย หลังพิงพนักเตียง เอียงหัวเล็กน้อยที่หมอนรอง เตรียมพร้อมกับฟังเรื่องราวที่ย่าเตรียมจะเล่า  พลางมองดู’ดรีมแคชเชอร์’ โมบายอินเดียแดงที่แขวนอยู่ มันกำลังหมุนพริ้วลิ่วไปมาจากลมที่พัดเข้ามาจากระเบียง

               ถึงแม้ย่าสังวนจะเป็นอัมพาตด้านล่าง และมีโรคประจำตัวรุมเร้า แต่ความจำทุกอย่างยังดีเลิศเหมือนเดิมทุกอย่าง โดยธรรมชาติของคนชรา สิ่งที่ชอบทำที่สุด ก็คือการเล่าเรื่องเก่าๆให้คนอื่นฟังแก้เหงา ซึ่งหลานสาวอย่างแก้วก็เป็นผู้ฟังขาประจำมาตั้งแต่เด็ก  เพียงแต่ครั้งนี้ ต่างกันตรงที่ มันไม่ใช่นิทานหรือนิยายที่คุณย่าชอบเล่าให้ฟังก่อนนอน แต่นี้คือเรื่องจริงจากตระกูลเธอ ที่เกี่ยวกับเทียดยิหวาและเทียดบาหยันโดยตรง

              “ คุณแม่ของย่าท่านเคยเล่าไว้ว่า คุณย่ายิหวาและคุณย่าบาหยัน หรือที่หลานเรียกว่าเทียดนั้นแหละ จริงๆแล้ว ท่านเป็นบุตรีบุญธรรมของหลวงเจริญจิตโอสถ ซึ่งแน่ล่ะ หลวงจิตก็คือบรรพบุรุษเชื้อสายของเราโดยสายเลือด แต่คุณหลวงท่านไม่มีลูก เนื่องจากภรรยาคุณหญิงแย้มมีโรคประจำตัวที่ไม่สามารถมีลูกได้ แต่ไม่รู้ว่าฟ้าเป็นใจหรือนรกกลั่นแกล้ง ถึงนำพาโชคชะตาให้ส่งเด็กแฝดมาในกลางดึกคืนวันฝนตก ปีจอฉศก …. ”


+++++++++

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่