เนื่องจากชอบแต่งนิยายและอยากลงงานของตนเองบ้าง ก็เลยขอโอกาสนี้ฝากเรื่องสั้นที่เคยเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อน
เป็นหนึ่งในเรื่องแยกของ นิยายเรื่องยาวที่ตั้งในจะเขียน เรื่องสั้นนี้มี 2 ตอน อันนี้ตอนที่ 1 ความยาว 3 หน้ากระดาษ Word ครับ
แนว : สงคราม ดราม่า
ทุ่งหิมะสีเลือด
หากจะกล่าวถึง ‘ผม’ ในที่นี้ ของกล่าวสั้นๆว่า กำลังทำงานตัวเป็นเกลียว ผมไม่เคยคิดฝันว่าจะต้องมาทำเรื่องพรรค์นี้ แต่ก็นะครับคนเรามันเลือกงานไม่ได้นี่ และถึงแม้ผมจะไม่ปลื้มกับงานนี้สักเท่าไหร่ แต่พอทำมันได้ดีก็อดคิดไม่ได้ว่า เราก็มีฝีมือเหมือนกัน และตอนนี้ก็มีผลงานของผมนอนกองอยู่ตรงหน้า บนพื้นหิมะสีขาวสะอาดตา ในวงล้อมของผมและพรรคพวก สีแดงสดที่สาดเทอยู่บนกองหิมะ กับร่างไร้ชีวิตของเด็กชายคนหนึ่ง ราวกับจะเป็นเครื่องยืนยันให้ชัดเจนว่า ‘ผมฆ่าเขาเอง’
งานของผมในเมืองที่ร้างแห่งนี้คือ เฝ้าระวังผู้มีพิรุธหรือศัตรูทางการเมืองลักลอบเข้ามา มันเป็นงานง่ายๆกับอีแค่เล็งเป้าแล้วเหนี่ยวไก เสียงปืนไรเฟิลในมือดังขึ้น ยังไม่ทันจางหายไปจากโสตประสาท ร่างเป้าหมายที่ห่างไปอีกฝากของทุ่งหิมะ ก็ฝุบลงนอนแน่นิ่งไปราวกับสายฟ้าฟาด งานง่ายๆที่เป็นเหมือนการตื่นนอนมาล้างหน้าแปรงฟันของผม และไม่มีอะไรน่าวิตกไปกว่าการให้คะแนนความแม่นยำ กันในกลุ่มเพื่อนประจำหน่วยเพื่อหาผู้ชนะในทุกๆวัน เพียงแต่ปัญหามันเพิ่งจะเริ่มขึ้น ในช่วงเช้ามืดของวันนั้น
บ้าเอ๊ย....!!
เป็นคำอุทานอย่างอารมณ์เสีย และเหมือนว่าความวิตกจริตจะมาเยือน เมื่อผมและเพื่อนๆต้องไปตรวจดูเป้าหมาย ที่ยิงทิ้งไว้ในแต่ล่ะครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้ที่ผมค่อนข้างจะดีใจ เมื่อเหนี่ยวไกสังหารเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในชายป่าได้อย่างแม่นยำ ทั้งที่มีหมอกและแสงสว่างไม่อำนวย ที่ชายป่าซึ่งเป็นจุดแบ่งแยกเขตพื้นที่ระหว่างเรา กับกองทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมาตั้งค่ายอยู่ลึกเข้าไปเพื่อหาโอกาสบุกเมืองของเรา มีหลายคนบอกผมว่าทหารเดนตายของกองร้อยนี้ เป็นพวกรับจ้างทำสงครามเหมือนกับหลายๆกลุ่ม ที่ทำเพื่อความอยู่รอดในโลกที่โหดร้าย แต่ถึงกระนั้นผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่า กระสุนที่ผมระเบิดออกไปนั้น ได้สังหารเด็กหนุ่มคนนี้ไปแล้ว
บ้าจริง ท่าจะยังไม่ถึง 15 ซะด้วยสิ
หลังการตรวจสอบก็พบว่าน่าจะเป็นพวกทหารฝึกหัด ที่หลงมาจนถึงเส้นแบ่งเขตของเมืองนี้ ผมสั้นสีแดง ใบหน้าเกลี้ยงเนียนเหมือนเด็กผู้หญิง สีหน้าของเขาดูเรียบเฉย ราวกับนอนหลับลึกไปเท่านั้น ชุดทหารสีขาวพร้อมด้วยปืนไรเฟิลจู่โจมอัตโนมัติ บ่งบอกชัดเจนว่าเขาเป็นทหาร ซึ่งผมก็มีหน้าที่ขับไล่ศัตรูโดยเฉพาะในแนวหน้า ปกติเรื่องพวกนี้จะไม่สร้างผลกระทบให้ผมสักเท่าไหร่นักหรอก อย่างครั้งแรกๆก็แค่ซึมเศร้าไปไม่กี่วัน แต่ครั้งนี้มันต่างกัน เด็กหนุ่มอายุน้อยคนนี้ ไม่ควรจะจบชีวิตด้วยวัยเพียง 15 ปี เขาควรจะได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกมาก ในอกเสื้อของเขามีรูปถ่ายอยู่หนึ่งใบ ผมคิดว่าน่าจะเป็นของที่สำคัญมากของเขา เพราะดูเหมือนเขาจะเก็บมันไว้อย่างดี
“แด่ผู้เปรียบเสมือนครอบครัวที่สองของผม”
ในรูปถ่ายมีเด็กหนุ่มคนนี้ กับเด็กชายและหญิงที่น่าจะอายุน้อยกว่าอีกสองคน ก่อนเกิดเรื่องครั้งนี้ขึ้นการทำงานของผมไม่ค่อยจะเจออุปสรรคเท่าไหร่นัก มันไม่ทำให้ผมสูญเสียความเป็นตัวเอง กับการที่ต้องเหนี่ยวไกลั่นกระสุนสังหารผู้คนแปลกหน้า แต่จู่ๆการตายของเด็กหนุ่มที่ผมสังหารไปนั้น ที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้เลยแท้ๆ มันดันทำให้ผมจะเป็นจะตายยังไงชอบกล ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แม้ว่าวันนี้ผมเองก็ยังจะออกไปเฝ้าดูระวังภัยตามปกติอีกก็ตาม ณสถานที่แห่งความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักเมื่อวานนี้ ตึกร้างเก่าๆสูง 10 ชั้น เป็นที่ๆผมต้องไปประจำเพื่อคอยซุ่มยิงใครก็ตามที่บุกรุกเข้ามาไม่ว่าหน้าไหน บางทีอาจจะเรียกว่าบ้านได้เลยเชียวล่ะ ผมจะมานอนอยู่ที่ตึกนี้สามถึงสี่วัน และเปลี่ยนจุดซุ่มไปเรื่อยๆ นานทีเดียวกว่าจะมีโอกาสกลับบ้าน
อากาศอันหนาวเหน็บในช่วงท้ายปี แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของทุกคน ราวกับจะกัดกินเข้าไปถึงกระดูก แต่กับผมมันกัดกินทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆกัน ความหนาวเย็นสร้างภาระให้ร่างกายและสมาธิ แต่บาดแผลทางจิตใจมันเหมือนกับความผิดที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น มันบั่นทอนจิตใจของผมจนไม่อาจใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกต่อไป ราวกับว่าบางอย่างในจิตใจมันขาดตกบกพร่องไปซะเฉยๆ สมองไม่อาจะล่ะความคิดวุ่นวายเกี่ยวกับเด็กคนนั้นทิ้งไปได้ แม้ที่ผ่านมาผมจะเคยสังหารผู้คนมากมายหลากหลายปะปนกัน ผู้ชายเป็นส่วนมาก ผู้หญิงก็มีบ้างบางครั้ง คนแก่ก็ยังเคยมาแล้ว
หลังจากวันนั้นผมไม่สามารถเหนี่ยวไกปืนได้เหมือนเคย ทุกครั้งที่มีเป้าหมายเคลื่อนไหวเข้ามาในระยะเฝ้าระวังของผม สายตาผมจะจับจ้องราวกับของล้ำค่าที่ไม่อาจละสายตา สมาธิและนิ้วในโกร่งไกพร้อมที่จะระเบิดกระสุนในรังเพลิง ให้ทะยานออกจากปากกระบอกไรเฟิลประจำมือ พุ่งทะยานเข้าสู่เป้าหมายเพื่อดับชีวิตของคนผู้นั้นลง แต่ก็มีความรู้สึกบางส่วน หรือจะเรียกว่าจิตใต้สำนึกที่พะว้าพะวง กลัวจะเป็นผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จึงเป็นสาเหตุให้ภาระทั้งหมดตกไปอยู่กับเพื่อนๆในหน่วยแทน
ผมมองลอดผ่านช่องโหว่เล็กๆของกระจก ในห้องหนึ่งบนตึกที่ผมเฝ้าระวังอยู่นี้ หิมะแรกแย้มสีขาวบริสุทธิ์ ขอเดาว่าคงจะไม่ต่างไปจากจิตใจของเด็กหนุ่มคนนั้นซักเท่าไหร่ หากตอนนี้เขายังอยู่อาจจะคงกำลังมีชีวิตไปตามประสาเด็กหนุ่มที่กำลังเติบโตทั่วไปแน่ๆ ถึงแม้จะไม่ได้สวยงามอย่างเด็กทั่วไป แต่ก็คงจะมีความสุขได้ในโลกที่โหดร้ายอย่างเช่นทุกวันนี้
ขณะที่ยังคิดพะวงไปมานั้น ดูเหมือนจะมีมัจจุราชบุกประชิดเข้าถึงตัวผมและเพื่อนในหน่วย ราวกับสุนัขป่าจ้องมองเหยื่อและเข้าตะครุบโดยไม่ทันให้ตั้งตัว ในตึกมีหน่วยของผมประจำอยู่ในชั้นต่างๆกระจายกันไป ทุกคนบ้างก็ทำงานและนั่งคุยกันตามปกติในช่วงเช้า มีการสังเกตและเฝ้าระวังตอดเวลา ซึ่งก็คงแปลกใจไปตามๆกันที่มีคนบุกเข้ามาที่ตึกแห่งนี้ได้ โดยไม่สามารถสังเกตเห็นจากชายป่าอีกฝากหนึ่ง
วันนี้ผมอยู่ที่ชั้นบนสุดกับเพื่อนอีกสองคน ครั้งแรกก่อนที่ได้ยินเสียงเตือนจากช่องสื่อสารของหน่วย พวกเราต่างก็ประหลาดใจกับเสียงปืนไรเฟิลที่ดังก้องไปทั่วทุ่งหิมะ และมีเสียงเตือนจากช่องสื่อสาร จับใจความได้ว่า
‘มีสไนเปอร์จัดการเก็บพวกที่ชั้นสามและสี่ไปแล้ว’
และแล้วแค่อึดใจเดียวก็มีเสียงร้องอย่างโหยหวน ออกมาจากช่องสื่อสารของคนในหน่วย ผมคว้าไรเฟิลในมือที่ถืออย่างสบายๆขึ้น พานท้ายปืนประทับหัวไหล่เตรียมพร้อม และหลบตัวเองให้พ้นจากหน้าต่างทันที สายตาเพ่งมองสะท้อนเศษกระจกอันเล็กในมือที่ใช้ประจำ มองสะท้อนออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูลาดเลา กวาดมองหาพลซุ่มยิงที่อีกฝากของทุ่งหิมะ โดยสังเกตสิ่งผิดปกติต่างๆด้วยประสบการณ์
ผมเจอเป้าหมายอะไรอย่างหนึ่งที่ดูผิดสังเกต ก่อนจะค่อยๆขยับตัวย่อต่ำๆให้พ้นช่องว่างจากหน้าต่าง เปลี่ยนตำแหน่งในการซุ่มยิง และแล้วศัตรูปรากฏในกล้องซูมระยะสิบเท่าของคู่หูผม จากอีกห้องหนึ่งถัดมา ก่อนผมจะยกไรเฟิลขึ้นเล็งเป้าด้วยความพิถีพิถันและปรับลมหายใจเตรียมพร้อมลั่นไก พลชี้เป้าบอกรายละเอียดต่างๆที่ผมต้องการทราบทั้งหมด พร้อมกับสอดส่องรอบด้านเพื่อความปลอดภัยว่า จะไม่มีพลซุ่มยิงในจุดอื่นหรือใกล้เคียง
นิ้วชี้ค่อยๆสอดเข้าไปในโกร่งไก ผมออกแรงเพิ่มเข้าไปอย่างช้าๆ เพื่อหวังผลในความแม่นยำให้สูงขึ้น แต่แล้วจู่ๆก็รู้สึกเหมือนกับว่าไกปืนแข็งไม่ขยับเขยื่อน ราวถูกล็อคติดเอาไว้กับโกร่งไก ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองไม่สามารถเหนียวไกได้ในคราวนี้ คราวรู้สึกสับสนเรื่องเด็กชายคนนั้น เข้ามาขัดขวางการทำงานของผมอีกครั้ง กว่าผมจะรู้ตัวอีกที ชายในเป้ายิงของผมเริ่มเคลื่อนไหว และหายไปจากกล้องแล้ว โดยที่ผมไม่ได้มีสติรับรู้รอบข้างเลย แม้คู่หูที่เป็นคนคอยชี้เป้าจะตะโกนโหวกเหวกอยู่ข้างกายก็ตาม มันเหมือนจิตใต้สำนึกของผมมันเกิดการเสียสมดุล จนไม่อาจแยกแยะความรู้สึกส่วนตัวที่จมปลักในเรื่องนี้ได้ มันหดหู่โดยไร้สาเหตุ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยไม่สามารถสลัดให้ออกไปจากความคิดได้เลย
ก่อนที่ผมจะได้ทันรับรู้เรื่องราวรอบตัวหลังจากนั้นไม่กี่วินาที เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นและแสงสว่างจ้าจนไม่อาจลืมตามองได้ ที่กลางทุ่งหิมะ แสงมันเจิดจ้าราวกับแหงนตามองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าในวันที่ฟ้าสดใส แม้จะอยู่ในตัวอาคารที่มืดมิดไร้แสงสว่างจากไฟฟ้า ก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ ก่อนที่แสงสว่างนั้นจะมากมายจนไม่อาจมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว ดวงตาพร่ามัวขาวฌพลนและหูอื้ออึงที่ได้ยินแต่เสียง “วี้.....” ตามมาด้วยเสียงระเบิดที่เกิดขึ้นไปทั่วตึกหลังนี้ ซึ่งผมไม่สามารถตั้งตัวรับสถานการณ์ได้ทันเลย
แม้ภาพที่จำได้จะเลือนราง แต่มันก็ฝังแน่นอยู่ในหัวของผมมาตลอด มีการระเบิดขึ้นที่ห้องข้างๆของพวกเรา เศษฝุ่นและกำแพงกระเด็นเข้าใส่จนผมและเพื่อนล้มกลิ้งไปตามกัน ตามมาด้วยคนในชุดดำพร้อมอาวุธในมือ น่าจะเป็นปืนกลอัตโนมัติขนาดเล็ก พวกเขาสองคนพุ่งออกมาจากช่องโหว่ของกำแพงห้องข้างๆ ที่เป็นรูกว้างทรุดโทรมผลพวงจากสงคราม พวกเราที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมรับมือกับความสับสนอลหมาน ผมและเพื่อนไม่สามารถต่อกรอะไรกับคนทั้งสองได้เลย มีเพียงความเจ็บปวดที่ต้นคอถูกกระแทกด้วยของแข็งเย็นเฉียบ และเสียงสื่อสารจากวิทยุดังก้องไม่ได้ศัพท์จับใจความไม่ได้ จากนั้นผมก็ไม่ได้ยินหรือเห็นอะไรอีก เพราะว่าผมถูกซัดจนหลับไปหลังจากนั้น
เหมือนภาพในความฝันปรากฏชัดเจนใต้จิตสำนึกของผม ย้อนกลับไปในวันวานกลางทุ่งหิมะสีขาวบริสุทธิ์ ภาพมันเด่นชัดซะจนตัวผมเองไม่อยากจะมองมันเลย เด็กหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ข้างต้นไม้ที่ชายป่า ในชุดพรางสีขาวสะพายไรเฟิลจู่โจมหนึ่งกระบอก หากผมมองเห็นได้ชัดกว่านี้ตอนเหนี่ยวไก บางทีผมคงจะไม่ทนทุกข์ทนมารอย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้ก็ได้ ในเมื่อจิตใจของคนอย่างผมที่ทำงานในด้านนี้ ยังพอมีความรู้สึกของมนุษย์อยู่บ้าง
สงสาร ? โศกเศร้า ? ทุกข์ทนกับความรู้สึกผิด ?
ดีใจเหลือเกินที่ผมยังมีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่.....
หิมะสีเลือด 1/2 (นิยายเรื่องสั้น)
เป็นหนึ่งในเรื่องแยกของ นิยายเรื่องยาวที่ตั้งในจะเขียน เรื่องสั้นนี้มี 2 ตอน อันนี้ตอนที่ 1 ความยาว 3 หน้ากระดาษ Word ครับ
แนว : สงคราม ดราม่า
ทุ่งหิมะสีเลือด
หากจะกล่าวถึง ‘ผม’ ในที่นี้ ของกล่าวสั้นๆว่า กำลังทำงานตัวเป็นเกลียว ผมไม่เคยคิดฝันว่าจะต้องมาทำเรื่องพรรค์นี้ แต่ก็นะครับคนเรามันเลือกงานไม่ได้นี่ และถึงแม้ผมจะไม่ปลื้มกับงานนี้สักเท่าไหร่ แต่พอทำมันได้ดีก็อดคิดไม่ได้ว่า เราก็มีฝีมือเหมือนกัน และตอนนี้ก็มีผลงานของผมนอนกองอยู่ตรงหน้า บนพื้นหิมะสีขาวสะอาดตา ในวงล้อมของผมและพรรคพวก สีแดงสดที่สาดเทอยู่บนกองหิมะ กับร่างไร้ชีวิตของเด็กชายคนหนึ่ง ราวกับจะเป็นเครื่องยืนยันให้ชัดเจนว่า ‘ผมฆ่าเขาเอง’
งานของผมในเมืองที่ร้างแห่งนี้คือ เฝ้าระวังผู้มีพิรุธหรือศัตรูทางการเมืองลักลอบเข้ามา มันเป็นงานง่ายๆกับอีแค่เล็งเป้าแล้วเหนี่ยวไก เสียงปืนไรเฟิลในมือดังขึ้น ยังไม่ทันจางหายไปจากโสตประสาท ร่างเป้าหมายที่ห่างไปอีกฝากของทุ่งหิมะ ก็ฝุบลงนอนแน่นิ่งไปราวกับสายฟ้าฟาด งานง่ายๆที่เป็นเหมือนการตื่นนอนมาล้างหน้าแปรงฟันของผม และไม่มีอะไรน่าวิตกไปกว่าการให้คะแนนความแม่นยำ กันในกลุ่มเพื่อนประจำหน่วยเพื่อหาผู้ชนะในทุกๆวัน เพียงแต่ปัญหามันเพิ่งจะเริ่มขึ้น ในช่วงเช้ามืดของวันนั้น
บ้าเอ๊ย....!!
เป็นคำอุทานอย่างอารมณ์เสีย และเหมือนว่าความวิตกจริตจะมาเยือน เมื่อผมและเพื่อนๆต้องไปตรวจดูเป้าหมาย ที่ยิงทิ้งไว้ในแต่ล่ะครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้ที่ผมค่อนข้างจะดีใจ เมื่อเหนี่ยวไกสังหารเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในชายป่าได้อย่างแม่นยำ ทั้งที่มีหมอกและแสงสว่างไม่อำนวย ที่ชายป่าซึ่งเป็นจุดแบ่งแยกเขตพื้นที่ระหว่างเรา กับกองทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมาตั้งค่ายอยู่ลึกเข้าไปเพื่อหาโอกาสบุกเมืองของเรา มีหลายคนบอกผมว่าทหารเดนตายของกองร้อยนี้ เป็นพวกรับจ้างทำสงครามเหมือนกับหลายๆกลุ่ม ที่ทำเพื่อความอยู่รอดในโลกที่โหดร้าย แต่ถึงกระนั้นผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่า กระสุนที่ผมระเบิดออกไปนั้น ได้สังหารเด็กหนุ่มคนนี้ไปแล้ว
บ้าจริง ท่าจะยังไม่ถึง 15 ซะด้วยสิ
หลังการตรวจสอบก็พบว่าน่าจะเป็นพวกทหารฝึกหัด ที่หลงมาจนถึงเส้นแบ่งเขตของเมืองนี้ ผมสั้นสีแดง ใบหน้าเกลี้ยงเนียนเหมือนเด็กผู้หญิง สีหน้าของเขาดูเรียบเฉย ราวกับนอนหลับลึกไปเท่านั้น ชุดทหารสีขาวพร้อมด้วยปืนไรเฟิลจู่โจมอัตโนมัติ บ่งบอกชัดเจนว่าเขาเป็นทหาร ซึ่งผมก็มีหน้าที่ขับไล่ศัตรูโดยเฉพาะในแนวหน้า ปกติเรื่องพวกนี้จะไม่สร้างผลกระทบให้ผมสักเท่าไหร่นักหรอก อย่างครั้งแรกๆก็แค่ซึมเศร้าไปไม่กี่วัน แต่ครั้งนี้มันต่างกัน เด็กหนุ่มอายุน้อยคนนี้ ไม่ควรจะจบชีวิตด้วยวัยเพียง 15 ปี เขาควรจะได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกมาก ในอกเสื้อของเขามีรูปถ่ายอยู่หนึ่งใบ ผมคิดว่าน่าจะเป็นของที่สำคัญมากของเขา เพราะดูเหมือนเขาจะเก็บมันไว้อย่างดี
“แด่ผู้เปรียบเสมือนครอบครัวที่สองของผม”
ในรูปถ่ายมีเด็กหนุ่มคนนี้ กับเด็กชายและหญิงที่น่าจะอายุน้อยกว่าอีกสองคน ก่อนเกิดเรื่องครั้งนี้ขึ้นการทำงานของผมไม่ค่อยจะเจออุปสรรคเท่าไหร่นัก มันไม่ทำให้ผมสูญเสียความเป็นตัวเอง กับการที่ต้องเหนี่ยวไกลั่นกระสุนสังหารผู้คนแปลกหน้า แต่จู่ๆการตายของเด็กหนุ่มที่ผมสังหารไปนั้น ที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้เลยแท้ๆ มันดันทำให้ผมจะเป็นจะตายยังไงชอบกล ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แม้ว่าวันนี้ผมเองก็ยังจะออกไปเฝ้าดูระวังภัยตามปกติอีกก็ตาม ณสถานที่แห่งความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักเมื่อวานนี้ ตึกร้างเก่าๆสูง 10 ชั้น เป็นที่ๆผมต้องไปประจำเพื่อคอยซุ่มยิงใครก็ตามที่บุกรุกเข้ามาไม่ว่าหน้าไหน บางทีอาจจะเรียกว่าบ้านได้เลยเชียวล่ะ ผมจะมานอนอยู่ที่ตึกนี้สามถึงสี่วัน และเปลี่ยนจุดซุ่มไปเรื่อยๆ นานทีเดียวกว่าจะมีโอกาสกลับบ้าน
อากาศอันหนาวเหน็บในช่วงท้ายปี แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของทุกคน ราวกับจะกัดกินเข้าไปถึงกระดูก แต่กับผมมันกัดกินทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆกัน ความหนาวเย็นสร้างภาระให้ร่างกายและสมาธิ แต่บาดแผลทางจิตใจมันเหมือนกับความผิดที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น มันบั่นทอนจิตใจของผมจนไม่อาจใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกต่อไป ราวกับว่าบางอย่างในจิตใจมันขาดตกบกพร่องไปซะเฉยๆ สมองไม่อาจะล่ะความคิดวุ่นวายเกี่ยวกับเด็กคนนั้นทิ้งไปได้ แม้ที่ผ่านมาผมจะเคยสังหารผู้คนมากมายหลากหลายปะปนกัน ผู้ชายเป็นส่วนมาก ผู้หญิงก็มีบ้างบางครั้ง คนแก่ก็ยังเคยมาแล้ว
หลังจากวันนั้นผมไม่สามารถเหนี่ยวไกปืนได้เหมือนเคย ทุกครั้งที่มีเป้าหมายเคลื่อนไหวเข้ามาในระยะเฝ้าระวังของผม สายตาผมจะจับจ้องราวกับของล้ำค่าที่ไม่อาจละสายตา สมาธิและนิ้วในโกร่งไกพร้อมที่จะระเบิดกระสุนในรังเพลิง ให้ทะยานออกจากปากกระบอกไรเฟิลประจำมือ พุ่งทะยานเข้าสู่เป้าหมายเพื่อดับชีวิตของคนผู้นั้นลง แต่ก็มีความรู้สึกบางส่วน หรือจะเรียกว่าจิตใต้สำนึกที่พะว้าพะวง กลัวจะเป็นผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จึงเป็นสาเหตุให้ภาระทั้งหมดตกไปอยู่กับเพื่อนๆในหน่วยแทน
ผมมองลอดผ่านช่องโหว่เล็กๆของกระจก ในห้องหนึ่งบนตึกที่ผมเฝ้าระวังอยู่นี้ หิมะแรกแย้มสีขาวบริสุทธิ์ ขอเดาว่าคงจะไม่ต่างไปจากจิตใจของเด็กหนุ่มคนนั้นซักเท่าไหร่ หากตอนนี้เขายังอยู่อาจจะคงกำลังมีชีวิตไปตามประสาเด็กหนุ่มที่กำลังเติบโตทั่วไปแน่ๆ ถึงแม้จะไม่ได้สวยงามอย่างเด็กทั่วไป แต่ก็คงจะมีความสุขได้ในโลกที่โหดร้ายอย่างเช่นทุกวันนี้
ขณะที่ยังคิดพะวงไปมานั้น ดูเหมือนจะมีมัจจุราชบุกประชิดเข้าถึงตัวผมและเพื่อนในหน่วย ราวกับสุนัขป่าจ้องมองเหยื่อและเข้าตะครุบโดยไม่ทันให้ตั้งตัว ในตึกมีหน่วยของผมประจำอยู่ในชั้นต่างๆกระจายกันไป ทุกคนบ้างก็ทำงานและนั่งคุยกันตามปกติในช่วงเช้า มีการสังเกตและเฝ้าระวังตอดเวลา ซึ่งก็คงแปลกใจไปตามๆกันที่มีคนบุกเข้ามาที่ตึกแห่งนี้ได้ โดยไม่สามารถสังเกตเห็นจากชายป่าอีกฝากหนึ่ง
วันนี้ผมอยู่ที่ชั้นบนสุดกับเพื่อนอีกสองคน ครั้งแรกก่อนที่ได้ยินเสียงเตือนจากช่องสื่อสารของหน่วย พวกเราต่างก็ประหลาดใจกับเสียงปืนไรเฟิลที่ดังก้องไปทั่วทุ่งหิมะ และมีเสียงเตือนจากช่องสื่อสาร จับใจความได้ว่า
‘มีสไนเปอร์จัดการเก็บพวกที่ชั้นสามและสี่ไปแล้ว’
และแล้วแค่อึดใจเดียวก็มีเสียงร้องอย่างโหยหวน ออกมาจากช่องสื่อสารของคนในหน่วย ผมคว้าไรเฟิลในมือที่ถืออย่างสบายๆขึ้น พานท้ายปืนประทับหัวไหล่เตรียมพร้อม และหลบตัวเองให้พ้นจากหน้าต่างทันที สายตาเพ่งมองสะท้อนเศษกระจกอันเล็กในมือที่ใช้ประจำ มองสะท้อนออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูลาดเลา กวาดมองหาพลซุ่มยิงที่อีกฝากของทุ่งหิมะ โดยสังเกตสิ่งผิดปกติต่างๆด้วยประสบการณ์
ผมเจอเป้าหมายอะไรอย่างหนึ่งที่ดูผิดสังเกต ก่อนจะค่อยๆขยับตัวย่อต่ำๆให้พ้นช่องว่างจากหน้าต่าง เปลี่ยนตำแหน่งในการซุ่มยิง และแล้วศัตรูปรากฏในกล้องซูมระยะสิบเท่าของคู่หูผม จากอีกห้องหนึ่งถัดมา ก่อนผมจะยกไรเฟิลขึ้นเล็งเป้าด้วยความพิถีพิถันและปรับลมหายใจเตรียมพร้อมลั่นไก พลชี้เป้าบอกรายละเอียดต่างๆที่ผมต้องการทราบทั้งหมด พร้อมกับสอดส่องรอบด้านเพื่อความปลอดภัยว่า จะไม่มีพลซุ่มยิงในจุดอื่นหรือใกล้เคียง
นิ้วชี้ค่อยๆสอดเข้าไปในโกร่งไก ผมออกแรงเพิ่มเข้าไปอย่างช้าๆ เพื่อหวังผลในความแม่นยำให้สูงขึ้น แต่แล้วจู่ๆก็รู้สึกเหมือนกับว่าไกปืนแข็งไม่ขยับเขยื่อน ราวถูกล็อคติดเอาไว้กับโกร่งไก ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองไม่สามารถเหนียวไกได้ในคราวนี้ คราวรู้สึกสับสนเรื่องเด็กชายคนนั้น เข้ามาขัดขวางการทำงานของผมอีกครั้ง กว่าผมจะรู้ตัวอีกที ชายในเป้ายิงของผมเริ่มเคลื่อนไหว และหายไปจากกล้องแล้ว โดยที่ผมไม่ได้มีสติรับรู้รอบข้างเลย แม้คู่หูที่เป็นคนคอยชี้เป้าจะตะโกนโหวกเหวกอยู่ข้างกายก็ตาม มันเหมือนจิตใต้สำนึกของผมมันเกิดการเสียสมดุล จนไม่อาจแยกแยะความรู้สึกส่วนตัวที่จมปลักในเรื่องนี้ได้ มันหดหู่โดยไร้สาเหตุ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยไม่สามารถสลัดให้ออกไปจากความคิดได้เลย
ก่อนที่ผมจะได้ทันรับรู้เรื่องราวรอบตัวหลังจากนั้นไม่กี่วินาที เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นและแสงสว่างจ้าจนไม่อาจลืมตามองได้ ที่กลางทุ่งหิมะ แสงมันเจิดจ้าราวกับแหงนตามองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าในวันที่ฟ้าสดใส แม้จะอยู่ในตัวอาคารที่มืดมิดไร้แสงสว่างจากไฟฟ้า ก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ ก่อนที่แสงสว่างนั้นจะมากมายจนไม่อาจมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว ดวงตาพร่ามัวขาวฌพลนและหูอื้ออึงที่ได้ยินแต่เสียง “วี้.....” ตามมาด้วยเสียงระเบิดที่เกิดขึ้นไปทั่วตึกหลังนี้ ซึ่งผมไม่สามารถตั้งตัวรับสถานการณ์ได้ทันเลย
แม้ภาพที่จำได้จะเลือนราง แต่มันก็ฝังแน่นอยู่ในหัวของผมมาตลอด มีการระเบิดขึ้นที่ห้องข้างๆของพวกเรา เศษฝุ่นและกำแพงกระเด็นเข้าใส่จนผมและเพื่อนล้มกลิ้งไปตามกัน ตามมาด้วยคนในชุดดำพร้อมอาวุธในมือ น่าจะเป็นปืนกลอัตโนมัติขนาดเล็ก พวกเขาสองคนพุ่งออกมาจากช่องโหว่ของกำแพงห้องข้างๆ ที่เป็นรูกว้างทรุดโทรมผลพวงจากสงคราม พวกเราที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมรับมือกับความสับสนอลหมาน ผมและเพื่อนไม่สามารถต่อกรอะไรกับคนทั้งสองได้เลย มีเพียงความเจ็บปวดที่ต้นคอถูกกระแทกด้วยของแข็งเย็นเฉียบ และเสียงสื่อสารจากวิทยุดังก้องไม่ได้ศัพท์จับใจความไม่ได้ จากนั้นผมก็ไม่ได้ยินหรือเห็นอะไรอีก เพราะว่าผมถูกซัดจนหลับไปหลังจากนั้น
เหมือนภาพในความฝันปรากฏชัดเจนใต้จิตสำนึกของผม ย้อนกลับไปในวันวานกลางทุ่งหิมะสีขาวบริสุทธิ์ ภาพมันเด่นชัดซะจนตัวผมเองไม่อยากจะมองมันเลย เด็กหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ข้างต้นไม้ที่ชายป่า ในชุดพรางสีขาวสะพายไรเฟิลจู่โจมหนึ่งกระบอก หากผมมองเห็นได้ชัดกว่านี้ตอนเหนี่ยวไก บางทีผมคงจะไม่ทนทุกข์ทนมารอย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้ก็ได้ ในเมื่อจิตใจของคนอย่างผมที่ทำงานในด้านนี้ ยังพอมีความรู้สึกของมนุษย์อยู่บ้าง
สงสาร ? โศกเศร้า ? ทุกข์ทนกับความรู้สึกผิด ?
ดีใจเหลือเกินที่ผมยังมีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่.....