'จุดพีค'SIRI กำลังมา..!!?'เศรษฐา' ทุ่ม 500 ล้านซื้อหุ้นตัวเอง

'จุดพีค'SIRI กำลังมา..!!?'เศรษฐา' ทุ่ม 500 ล้านซื้อหุ้นตัวเอง

          ผ่านมา 8 เดือน "เสี่ยนิด-เศรษฐา ทวีสิน" ทุ่มทรัพย์กว่า "ห้าร้อยล้านบาท" ซื้อหุ้น แสนสิริ สัญญาณนี้บ่งบอกอะไรบางอย่าง แม้ภาพจะยังลางๆ แต่ "วันจักร์ บุรณศิริ" คนสนิทการันตีผ่านตัวเลข "กำไร" ปีนี้โต 10%
          "ควักเงินทยอยซื้อหุ้นตัวเองกว่า 500 กว่าล้าน"!!!
          ปฎิบัติการณ์ซื้อดะ!! "หุ้น แสนสิริ" หรือ SIRI  ของ "เสี่ยนิด" เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ถูก "จุดพลุ" มาตั้งแต่ปี 2555 ต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้ ทั้งการช้อนซื้อในกระดาน และขอซื้อต่อจาก "บริษัท ที.เอส.สตาร์ จำกัด"หุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง 9.20% แม้กระทั่งใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น (SIRI-W1) พี่ท่านยังกวาดเรียบ...
          ผ่านมา 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) "เสี่ยนิด"ทุ่มเงินช้อนหุ้น แสนสิริ อย่างบ้าคลั่ง!! ราคาหุ้นแสนสิริ สูงถึง 4.93 บาท เอ็มดีรายนี้ยังสอยมาแล้ว รุกเร้าเยี่ยงนี้..เสมือนว่า ต้องการส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง...
          ล่าสุด สำนักงาน เอินส์ท แอนด์ ยัง จำกัดในฐานะผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เลขทะเบียน 3182 ของ "แสนสิริ" ระบุ ในรายงานการสอบทาน และงบการเงินระหว่างกาลสำหรับงวด 3 เดือน และ6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2556 ว่า กลุ่ม"เศรษฐา ทวีสิน" ถือหุ้น แสนสิริ 12.95% รองจาก "ไทยเอ็นวีดีอาร์" ที่ถือหุ้น 6.81%
          นอกจากจะ "ไล่กวาด" หุ้นตัวเองแล้วเขายังทยอยโอนหุ้น แสนสิริ ออกให้ลูกชายคนโต "น็อบ-ณภัทร ทวีสิน" มาตั้งแต่ปี 2555
          เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2556 "เสี่ยนิด" ได้โอนหุ้น แสนสิริ อีกจำนวน 7.61% ให้กับ "น็อบ-ณภัทร" ด้วยการทำรายการผ่าน บล.ไทยพาณิชย์ ส่งผลให้เอ็มดีใหญ่เหลือหุ้น แสนสิริI ในมือเพียง 0.48% ขณะที่ลูกชายคนโตขึ้นแท่นหุ้นใหญ่อันดับ 2 รองจาก "ที เอส สตาร์" และ "ไทย เอ็นวีดีอาร์"
          ครานั้น "เศรษฐา ทวีสิน" แจกแจงเรื่องนี้ว่า "โอนหุ้นให้ลูกชายด้วยใจเสน่หา มิได้มีนัยพิเศษอะไร และไม่ได้คิดค่าตอบแทนด้วย แม้ไม่ได้ถือหุ้นเหมือนเดิม แต่ไม่ได้กระทบต่อการบริหารงานแน่นอน ผมยังคงทำงานตามปกติ บริษัทยังคงเดินหน้าต่อไปตามแผนที่วางไว้"
          "วันจักร์ บุรณศิริ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ "แสนสิริ" ในฐานะ "คนสนิท"เสี่ยนิด ขอเคลียร์เรื่องนี้สั้นๆ อีกครั้งว่า "ไม่มีอะไรในก่อไผ่จริงๆ" แม้คุณเศรษฐา จะถือหุ้นไม่มากเหมือนก่อน แต่ทุกวันนี้เขายังนั่งทำงานในบริษัทเหมือนเดิม ไม่ได้ออกไปไหน โอนหุ้นให้ลูกชายก็แค่เปลี่ยนมือเท่านั้น อย่าคิดเยอะ!!
          เรามาใส่ใจเรื่อง "ยุทธศาสตร์" กันดีกว่า...เมื่อต้นปี 2556 "เศรษฐา ทวีสิน" เคยลั่นวาจาว่า "เราพร้อมแย่งชิง "มาร์เก็ตแชร์" จากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รรายใหญ่"ทุกระดับราคา" และ "ทุกประเภท" ณ วันนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตแค่ปีละ 10% ฉะนั้นหากบริษัทต้องการขยายยอดขายสู่ตัวเลข 48,000 ล้านบาท เพื่อเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ 34,000-36,000 ล้านบาท เราต้องกินส่วนแบ่งการตลาดของคนอื่น"
          ผ่านมา 8 เดือน "ไม่น่ามีอะไรพลาดเป้า!"คำยืนยันของ "วันจักร์"
          "แสนสิริ" จะดีทั้งในแง่ของ "ยอดขายยอดรับรู้รายได้-กำไรสุทธิ" โดยเฉพาะในแง่ของ "กำไรสุทธิ" โอกาสขยายตัว 10% จากปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 3,019 ล้านบาท มีสูงบอกเลย หลายคนอาจไม่เชื่อ หลังเห็น "กำไรสุทธิ" 6 เดือนแรกของปี 2556 ที่ทำได้เพียง434.49 ล้านบาท "จะไหวเหรอ"!!
          ครึ่งปีแรกเราเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตรึม! เดี๋ยวครึ่งปีหลังจะผุดอีก 20 แห่ง มูลค่าประมาณ 22,000 ล้านบาท แผนเปิดโครงการใหม่ทั้งปีอยู่ที่ 47 แห่ง มูลค่า 60,000 ล้านบาท เมื่อเราเปิดโครงการได้ตามแผนรับรองยอดขายระดับ 48,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 34,000-36,000 ล้านบาท ทำได้ชัวร์...
          6 เดือนหลัง บริษัทมียอดรับรู้จ่อคิวบุ๊คเพียบ ไตรมาส 3/56 น่าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 7,500-8,000 ล้านบาท และไตรมาส 4/56 ประมาณ 14,000 ล้านบาท กลยุทธ์ปีนี้ คือ ครึ่งปีแรกเน้นเรื่องยอดขาย และ 6 เดือนหลัง ชูเรื่องรับรู้รายได้ เราแบ่งทุกอย่างชัดเจน

          ในช่วงไตรมาส 2/56 บริษัทมีกำไรสุทธิ 521 ล้านบาท ยอดขาย 8,000 ล้านบาท และรายได้ 7,703 ล้านบาท เติบโต 49% จากไตรมาส 1/56 และเพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้หลักมาจากที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม 58% ของรายได้จากการขายทั้งหมด
          ถามถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ 6 เดือนหลัง "วันจักร์" ทำนายว่า คงเห็นภาพชะลอตัว แถมจะต่อเนื่องไปถึงปี 2557 หลังสัญญาณเศรษฐกิจไม่ค่อยสวยชัดเจนขึ้น และยิ่งชัดหนักเมื่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับแนวโน้ม GDP ปี 2556 เหลือ 3.8-4.3% ลดลงจากเดิมที่ประเมินไว้ 4.2-5.2%
          แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะไม่ค่อยราบรื่น แต่นักลงทุนไม่ต้องเป็นห่วง "แสนสิริ" เราปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนและปรับราคาขายขึ้นเฉลี่ย 1-3% รวมถึงเพิ่มวงเงินดาวน์ขั้นต่ำของลูกค้าระดับล่างจาก 5-6% เป็น 12% ถือเป็นการคัดกรองลูกค้าระดับหนึ่ง
          "โครงการคอนโดมิเนียม EDGE สุขุมวิท 23, โครงการคอนโดมิเนียม THE BASE และโครงการคอนโดมิเนียม D Condo แบรนด์เหล่านี้ถือเป็นหัวหอกในการขยายธุรกิจในตลาดต่างจังหวัด เขาทำยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกได้ถึง 29,000 ล้านบาท หรือ 40% ของยอดขายทั้งหมด"
          ถามถึงแผนธุรกิจในปี 2557 "ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ" บอกว่า ในแง่ของตัวเลข เราตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ที่ 40,000 ล้านบาท ถามว่าจะทำอย่างไร ตอบเลยตอนนี้เรามียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 61,867 ล้านบาท ถือเป็น "ตัวเลขสูงสุด" ในอุตสาหกรรม บริษัทจะรับรู้รายได้ในปี 2556 ประมาณ 15,307 ล้านบาท ปีหน้า 21,089 ล้านบาท
          ดูจากยอด Backlog เราอยู่ได้สบายๆ2 ปี!!
          ส่วนในแง่ของยอดขาย ยอมรับว่า ปี 2557 อาจไม่เติบโตเท่าไร เพราะเราจะเปิดโครงการใหม่เท่ากับปี 2556 แต่หากภาครัฐบาลผุดโครงการเมกะโปรเจค มูลค่า 2.2 ล้านล้านบาทโดยเฉพาะโครงการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท เชื่อว่าจะตัวกระตุ้นเศรษฐกิจให้คึกคักมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการดีดคืนมา ฉะนั้นยอดขายน่าจะดีขึ้น
          "กลยุทธ์ปีหน้า คงเพิ่มสัดส่วนกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง 3-5% ปัจจุบันลูกค้าต่างชาติเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้ว เชื่อว่าจะเห็นภายในปี 2556 ฉะนั้นสัดส่วนปีนี้อาจอยู่ระดับ 7-8%"
          "วันจักร์" ทิ้งท้ายเรื่องราคาหุ้น SIRI ที่ปรับตัวลดลงว่า ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกลตลาด ราคาหุ้น แสนสิริ เข้าสู่โซนแดงก็จริง แต่ต้องมาดูว่าหนักกว่าคนอื่นมั้ย ถ้า
ไม่ถือเป็นเรื่องปกติ (ยิ้ม)

          บรรยายใต้ภาพ
          วันจักร์ บุรณศิริ
          เศรษฐา ทวีสิน--จบ--

          ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่