สวัสดีครับ เรื่องที่ผมจะนำมาเล่า เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และยังคิดหาทางออกที่ดีๆไม่ค่อยจะได้
เพราะมันเกิดขึ้นตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งทุกวันนี้ จึงอยากขอความเห็นจากทุกๆคนครับ
ปล.เนื้อเรื่องอาจจะมีความรุนแรงไปบ้างนะครับ แต่ก็อยากเล่าไปตามความจริงที่เกิดขึ้น
ผมเองเป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิดครับ แต่ว่าพ่อกับแม่ต้องทำงานทั้งคู่ จึงนำไปฝากญาติที่ต่างจังหวัดเลี้ยงดูตั้งแต่หย่านมแม่
ผมโตที่ต่างจังหวัดครับ และเมื่อขึ้นชั้นม.ต้น พ่อกับแม่ก็มารับกลับไปอยู่ที่กรุงเทพ เพื่อเรียนต่อระดับมัธยม
ผมยอมรับว่า ความรักที่ผมมีให้พ่อแม่นั้นน้อยมากครับ เมื่อเทียบกับ ผุ้ที่เลี้ยงดูผมมาตลอดตั้งแต่เด็กยันจบป.6
แต่ผมก็ไม่เคยอกตัญญูพ่อกับแม่นะครับ เป็นเด็กที่ดีเรียบร้อยมาตลอด
ผมเองมีน้องชาย 1 คนครับ อายุห่างกัน 8 ปี ซึ่งพ่อกับแม่คงไม่อยากให้ผมเหงา เมื่อมาอยุ่ที่กรุงเทพ เลยมีน้องอีกคน
แรกๆผมยังไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่ครับ กับชีวิตของคนกรุง แต่ก็พยายามปรับตัว
พ่อผมทำงานบริษัท แม่เป็นแม่ค้า ขายเสื้อผ้า ทุกเย็นพ่อจะขับรถจากบริษัทแวะมารับแม่กลับบ้านพร้อมกัน
วันไหนที่เป็นเสาร์ อาทิตย์ หรือปิดเทอม แม่ก็จะพาผมไปที่ร้านด้วย หรือบางทีก็พอไปซื้อเสื้อผ้าเข้าร้าน
ทำให้ผมได้เดินทางและรู้จักเส้นทางในกรุงเทพเร็วขึ้น ส่วนน้องชายก็จะมียายคอยช่วยเลี้ยงอยุ่ที่บ้านครับ
ซึ่งมองรวมๆแล้วผมคิดว่าครอบครัวของผมนั้นอบอุ่นที่สุดเลยนะครับ ทุกอาทิตย์จะกลับต่างจังหวัด เหมือนวันรวมญาติกัน
บางครั้งผมก็ขอค้างอยุ่ที่ต่างจังหวัดต่อ เพราะอยากอยู่กับอาโก อาม่า ที่เลี้ยงดูผมมา แล้ววันอาทิตย์ หรือเปิดเทอมก็ค่อยมารับกลับ
พ่อผมเป็นคนที่ค่อนข้างประหยัด เพราะเป็นลูกคนจีน แล้วก็รักดูแลครอบครัวทุกคนเป็นอย่างดี ส่วนแม่จะค่อนข้างมั่นๆนิดหน่อย
ที่บ้านผมที่กรุงเทพเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ครับ มี 2 ห้องนอน ห้องใหญ่ พ่อกับแม่ผมจะนอนกับน้อง
ส่วนผมจะนอนอีกห้องเป็นห้องส่วนตัวไปเลย ส่วนยายจะขอนอนที่ชั้นล่างครับ เพราะแกไม่อยากเดินขึ้นลงบันได
ด้วยความที่คิดว่ามันน่าจะสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ทำให้ผมคิดว่า เรื่องจริงนั้นยิ่งกว่าละคร เพราะแม้แต่บางครั้งผู้กำกับละครก็คงยังต้องอึ้งกับชีวิตจริงครับ
ในช่วงที่ผมเรียนชั้นมัธยมต้นนั้น ผมเองก็เป็นเด็กที่เรียนค่อนข้างดีครับ แต่.....
ผมลืมบอกไปอย่างนึงครับ ว่าผมเป็นเกย์
เนื่องจากที่ๆผมโตมานั้น ไม่ค่อยมีเด็กผุ้ชายสักเท่าไหร่ บรรดาเพื่อนๆ และพี่ๆน้องๆแถวบ้านส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กผุ้หญิง
สิ่งนั้นคงเป็นเหตุให้ผมซึมซับมา แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าการเป็นเกย์นั้นไม่ดีนะครับ เพราะเพื่อนๆผมสมัยประถมต่างก็ชอบผม
ที่เป็นคนร่าเริง คุยเก่ง ก็จะมีโดนแซวบ้างจากเด็กผู้ชาย แต่ก็แหย่กันเล่นๆครับ
กลับมาที่เรื่องของผม ซึ่ง ณ ตอนนี้อยุ่ที่กรุงเทพ
ในช่วง ม.1 ม.2 เหตุการณ์ก็ปกติดีครับ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นในช่วงตอน ม.3 ซึ่งผมอายุ 15 ปี
ทุกๆคนคงรู้ดีว่าในช่วงวัยนี้ เป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโต และเป็นช่วงที่จิตใจสับสน/เปลี่ยนแปลงได้ง่าย
ในคืนหนึ่งที่ผมนอนอยุ่ดีๆ ผมตื่นมาพร้อมพบว่ามีมือของคนๆหนึ่ง กำลังจับอยุ่ที่น้องชายของผมพร้อมทั้งขยับขึ้นลงตามจังหวะ
ในความมืด + กับแสงที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างผมก็รุ้ได้ว่ามือนั้นเป็นของพ่อผม ผมตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูกไม่กล้าโวยวาย
ไม่กล้าทำเป็นตื่นหรือรู้สึกตัว ผมแกล้งทำเป็นนอนหลับต่อ จนกระทั่งพ่อผมใช้มือทำให้จนเสร็จ
เหตุการณ์ที่นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของสิ่งต่างๆในชีวิตผมก็เริ่มเกิดขึ้น
ตอนเช้าผมเริ่มตั้งสติ และคิดอยู่นาน ว่าทำไมๆๆๆๆๆๆ
ผมเป็นคนที่มักจะมองโลกในแง่ดีก่อนครับ และประกอบกับช่วงที่ผมเรียนตอนนั้นก็เป็นช่วงต่อที่ผมจะเข้าในสายวิทย์-คณิต
ผมจึงค่อนข้างเป็นคนคิดอะไรที่มีหลักการ ผมคิดว่า เพราะพ่ออาจเห็นว่าผมโตแล้วก็ได้ เลยอยากสอนให้ช่วยตัวเองเป็น
แต่ผมก็นั่งคิดต่อ ว่าทำไม....ทำไมต้องเป็นตอนกลางคืน ทำไมต้องเป็นตอนที่ผมหลับ ทำไม.....
ทำไม....พ่อถึงทำกับผมแบบนี้??
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็ระวังตัวเองมากขึ้น โดยการล็อคประตูห้องนอน แต่นั้นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ฝันร้ายกำลังมาเยือนผม
คืนนั้นผมหลับปกติ แต่ได้ยินเสียงแว่วคือมีคนไขประตูเข้ามา และก็จริงอย่างที่คิด พ่อไขประตูเข้ามา แล้วก็เดินไปเดินมาแถวๆเตียง
สักพักก็นั่งที่เตียงแล้วเอามือมาจับที่น้องชายผม ครั้งนี้ผมไม่ยอม เลยแกล้งทำเป็นนอนดิ้น แล้วนอนตะแคงไปกอดหมอนข้าง
แต่พ่อก็พยายามยกขาของผมของออกจากหมอน และเอามือมาจับของผมให้ได้ คืนนั้นผมลองปล่อยไป แล้วก็ให้เขาทำจนเสร็จ
อารมณ์ผมโกรธมาก แต่ไม่อยากที่จะเสียงดังออกไป เพราะคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ทุกคืนผมจะล็อคประตุ ทุกครั้ง แล้วพ่อก็ไขประตูเข้ามาทุกครั้ง เหตุการณ์ดำเนินมาเป็นระยะเวลา 1 เดือน
บางครั้งที่พ่อไม่เข้ามา ผมก็มักจะได้ยินเสียงแว่วของการไขลูกบิดประตู และจะจ้องที่ลุกบิดอยุ่นาน เมื่อผมเห็นว่าไม่มีอะไรก็พยายามนอนต่อแต่ผมก็นอนได้น้อยมากครับ เพราะอาการดังกล่าว และส่งผลมาถึงปัจจุบัน ผมเป็นคนที่นอนหลับไม่สนิทเลย ถัามีเสียงหรืออะไรขยับนิดหน่อยผมก็จะรุ้สึกตัวและนอนต่อไม่ค่อยหลับ
ผมเริ่มกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด และเก็บตัวเวลาอยุ่ที่บ้าน แต่พออยุ่ข้างนอกผมสามารถใช้ชีวิตกับคนรอบข้างได้เป็นปกติ ยิ้มแย้ม พุดคุยเก่งเหมือนเดิม เหตุการณ์ดำเนินต่อมาเป็นเดือนๆ แต่ผมไม่ได้ให้พ่อทำ ผมมักจะแกล้งหลับแล้วทำเป็นนอนดิ้นเหมือนจะตื่น หรือไม่ก็นอนคว่ำไปเลย แต่ทุกครั้งพ่อจะพยายามสอดมือ หรือจับขาผมยกออก เพื่อจะทำให้ได้ ผมเริ่มเก็บความรุ้สึกไม่ไหวแล้ว คืนนั้นผมระเบิดโทสะออก อาละวาดไปทั่วบ้าน ด่าทั้งคำหยาบ และทำลายข้าวของ (ผมมั่นใจว่าละแวกบ้านผมได้ยินกันทั่ว เพราะเช้ามาคอผมเจ็บมากแทบพูดออกมาไม่มีเสียงเลย) แม่กับยายก็พากันตื่น และแล้วความก็แตก เมื่อแม่รู้ แม่รับไม่ได้กับสิ่งที่พ่อทำ แต่น้องยังเด็กเลยไม่ค่อยรุ้เรื่องอะไร
คืนนั้นผมเก็บกระเป๋าและออกมาจากบ้าน ผมไปขอความช่วยเหลือจากคนในอินเตอร์เนตเรื่องที่พัก
รุ่งเช้าผมก็ไปเรียนต่อ แต่มันก็เป็นเรื่องลำบาก เพราะผมไม่มีรายได้เงินที่ำพกออกมาก็เริ่มหมด ผมจึงปรึกษากับครูประจำชั้น
และได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านเพื่อนในห้อง ผมออกจากบ้านมาเป็นเวลา 7 วัน แล้วก็ตัดสินใจกลับบ้าน
ทุกๆอย่างเริ่มเปลี่ยนไป.....
ผมเริ่มเป็นคนเก็บตัวมากขึ้นกลับถึงบ้านก็จะรีบเก็บตัวอยุ่แต่ในห้อง และเริ่มก้าวร้าวกับพุดตะคอกเสียงเวลาอยุ่ที่บ้าน
แต่กลับกันเมื่อออกจากบ้าน ผมก้ใช้ชีวิตเข้ากับคนอื่นๆได้ในชีวิตประจำวันเหมือนปกติ
ส่วนแม่ก็เริ่มกินเหล้า กินเบียร์ และเริ่มใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และแม่ก็คอยถามผมอยุ่ตลอดว่า พ่อยังเข้ามาทำอยุ่หรือไม่
ช่วงที่เกิดเรื่องพ่อก็ไม่ได้เข้ามาทำเรื่องอย่างนั้นกับผมแล้ว พ่อก็ดูแลครอบครัวตามปกติ
แต่แม่ที่ท่าทางจะหาทางกลับไม่เจอแล้ว บวกกับเจอเพื่อนใหม่ๆ ที่พากันไปในทางที่ไม่ดีด้วย แต่ยังไม่มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นครับ
เหมือนเรื่องจะซาๆลงไปบ้าง จากเหตุการณ์ที่ผมอาละวาดครั้งใหญ่ แต่มันก็กลับมาเกิดขึ้นอีก (ไม่รุ้ว่าเป็นเวรกรรมอะไรของผม)
เรื่องนี้ผมไม่อาจให้ทางบ้านที่ต่างจังหวัดทราบได้ เพราะอาโก อาม่าผม จิตใจอ่อนแอ หรือมีอาการทางประสาทอ่อนๆ ไม่สามารถรับเรื่องที่กระทบต่อจิตใจแรงๆได้ แต่ทั้ง 2 คน รักษาตัวจนเป็นปกติแล้ว ผมเก็บเรื่องนี้เอาไว้เพียงคนเดียว และต้องทนกับอาการนอนไม่หลับ บวกกับความวิตกกังวลยามค่ำคืน อย่างที่ได้กล่าวไป ส่วนแม่ผมบางครั้งก็จะคอยตื่นมาช่วงดึก เพื่อดูพ่อแต่บางครั้งก็ไม่ดู ส่วนพ่อผมก็พยายามที่จะเข้ามา ผมตัดสินใจเปลี่ยนล็อคประตูเป็นแบบลงกลอน แต่พ่อก็มาแกะออกไป โดยให้เหตุผลว่า ห้องรกจะเข้ามาเก็บกวาด
เมื่อผมขึ้นม.ปลาย ผมกลายเป็นคนที่มี 2 บุคลิกไปโดยปริยาย สังคมภายนอกจะรับรุ้ว่าผมเป็นคนที่ร่าเริง แจ่มใส คุยเก่ง เข้ากับคนง่าย และเป็นที่รักของใครหลายๆคน แต่เมื่ออยุ่บ้านทุกสิ่งจะกลับกันโดยสิ้นเชิง ส่วนพ่อก็ยังคงแอบเ้ข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่ง....
ผมสังเกตุความเปลี่ยนแปลงของแม่ ซึ่งอ้วนขึ้น แต่ไม่ได้อ้วนแบบคนทั่วไป.......
6เดือน ต่อมาผมทราบว่าแม่มีน้อง แต่ไม่ได้มีกับพ่อ หลังจากนั้นแม่ก็แยกทางไป พร้อมทิ้งหนี้ก้อนโตที่สร้างไว้โดยที่ไม่ใครรู้ และ....
แทบจะไม่กลับมาอีกเลย......
ครึ่งนึง ผมมองเห็นความดีของพ่อนะ ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ดุแลค่าใช้จ่ายทุกอย่างแบบไม่มีปัญหาเลย ทั้งยังต้องดูแลผมกับน้องและยายซึ่งเป็นแม่ของแม่ บวกกับต้องตามใช้หนี้ที่แม่ไปก่อไว้ จนหนี้หมด
แต่สิ่งที่ผมรับไม่ได้อย่างเดียวคือ ทำไมเขาเลิกไม่ได้ ที่จะเข้ามาจับน้องชายผมแล้วสำเร็จความใคร่ให้ผม???
เมื่อผมขึ้นมหาลัย ผมเริ่มกล้าที่จะพูด ผมคุยกับพ่อตรงๆ ว่าทำไมถึงไม่เลิกซะที ผมอยากให้พ่อ เหมือนกับพ่อคนอื่นๆทั่วไป
ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ถ้ามีอารมณ์ จะไปหาเมียใหม่ หรือ ไปทำกับใครก็ไปทำสิ ทำไมต้องมาทำกับลูก ??
สิ่งที่พ่อบอกผมมันทำให้ผมรับไม่ได้เป็นอย่างมาก นั่นคือ.....
"พ่อก็รักลูกแบบลูกนะ รักที่สุดด้วย แต่มันก็รักแบบคนรักด้วย พ่อก็หักห้ามใจมาตลอดนะ แต่ ทำไมถึงทำไม่ได้ก็ไม่รู้"
คำตอบนี้เหมือนเป็นจุดจบของคำว่าพ่อลูกไปเลย สำหรับผม ผมไม่คิดไม่ฝันเลยว่าคนเป็นพ่อ จะคิดกับลูกได้ถึงเพียงนี้
และที่สำคัญลูกตัวเองก็เป็นเพศเดียวกัน..............
อ้อผมลืมบอกไปครับ ทุกวันนี้น้องยังคงนอนที่ห้องใหญ่ กับพ่อ ซึ่งไม่มีแม่แล้ว ผมเลยถามเขาไปว่า แล้วได้ทำอย่างนี้กับน้องไหม
พ่อตอบว่าไม่เคยเลย แล้วผมก็เคยแกล้งถามน้องผม ว่าพ่อเคยทำอะไรทะลึ่งๆด้วยมั้ย ซึ่งน้องก็บอกว่าไม่...
แล้วผมก็ได้แต่คิด ... ว่าทำไม... ทำไม....
หลายๆคน คงมองว่าผมเป็นคนอกตัญญู แต่ผมก็ยอมรับนะว่าผมยอมตวาด ยอมตะคอก พูดไม่ดีด้วย เพื่อทำให้เขาเลิกยุ่ง
แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผลเลย เขาก็ยังคงทำเหมือนเดิม ไขกุญแจเข้ามา เดินด้อมๆมองๆ เอามือมาลูบๆ ถ้าผมพลิกตัวหรือทำท่าจะตื่น (ซึ่งผมแกล้ง เพราะผมตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงลูกบิดแล้ว) เขาก็จะเดินออกไป แล้วสักพักก็จะเข้ามาใหม่
ผมเคยเอาลูกกุญแจไปซ่อนนะ ในตู้เสื้อผ้าผม เขาก็เข้ามารื้อตอนที่ผมไม่อยู่ห้องแล้วเอากุญแจไป...
เหตุการณ์เหล่านี้วนเวียนในชีวิตผมจนเกือบจบจากรั้วมหาลัย แล้วอาการบางอย่างก็ปรากฏ ผมมักจะมีไข้อ่อนๆ บางครั้งก็ตัวร้อนจัด
ทานอาหารก็อาเจียนออกมา หลังจากนั้นก็จะแน่นหน้าอก หายใจไม่ออกและหอบ จนถึงขั้น ตัวเกร็ง
เมื่อไปหาหมอ หมอกลับบอกว่า ไม่พบไข้ และอาการผิดปกติอะไร??? ซึ่งในระหว่างที่หมอบอก ผมเองยังรู้สึกอยุ่เลยถึงความร้อนของตัวที่แผ่ออกมา เหมือนคนไข้ขึ้นสูง
แต่ก็อย่างที่บอกครับ ผมยังสามารถใช้ชีวิตภายนอกบ้านได้อย่างปกติ ยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีเหมือนคนที่มีความสุขทั่วไป
จนวันนี้ผมทำงานแล้ว แต่พ่อของผมก็ยังไม่ยอมเลิก ทั้งๆที่ผมรู้สึกหงุดหงิดมาก แต่ไม่อยากอาละวาดให้เหมือนครั้งนั้น อาจเป็นเพราะผมโตขึ้น และเริ่มทำใจให้สงบได้มากขึ้นด้วย
และช่วงนี้ผมเองก็พยายามเปลี่ยนล็อคกุญแจ แต่เขาก็หาทางงัดเข้ามา และผมก็หงุดหงิดใส่เขา เขาก็พูดเสมอว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีก เขาขอโทษผม แต่ผ่านไปได้แค่ 2-3 วัน ก็วนกลับมาเป็นแบบเดิมเหมือนม้วนเทปที่หมุนย่อนกลับมาเล่นฉากเดิมๆ
จนวันนี้ผมทนไม่ไหว ด่าเขาให้ไปหาจิตแพทย์
ผมบอกว่า จะไปหาจิตแพทย์ หรือจะเิลิกเอง หรือจะต้องให้อาละวาดอีกครั้ง
ทำไมมันถึงเลิกไม่ได้ซะที ???
ตั้งแต่ครั้งนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านมาทั้งหมด 8 ปี แล้วครับ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าผมควรทำอย่างไรต่อไป????
อาการของพ่อผมเป็นอาการทางจิตหรือเปล่า????
แล้วอาการที่ผมเป็นมันคืออะไรกันแน่????
ผมหรือใครกันที่ควรต้องรีบรักษา??? 18+++
เพราะมันเกิดขึ้นตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งทุกวันนี้ จึงอยากขอความเห็นจากทุกๆคนครับ
ปล.เนื้อเรื่องอาจจะมีความรุนแรงไปบ้างนะครับ แต่ก็อยากเล่าไปตามความจริงที่เกิดขึ้น
ผมเองเป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิดครับ แต่ว่าพ่อกับแม่ต้องทำงานทั้งคู่ จึงนำไปฝากญาติที่ต่างจังหวัดเลี้ยงดูตั้งแต่หย่านมแม่
ผมโตที่ต่างจังหวัดครับ และเมื่อขึ้นชั้นม.ต้น พ่อกับแม่ก็มารับกลับไปอยู่ที่กรุงเทพ เพื่อเรียนต่อระดับมัธยม
ผมยอมรับว่า ความรักที่ผมมีให้พ่อแม่นั้นน้อยมากครับ เมื่อเทียบกับ ผุ้ที่เลี้ยงดูผมมาตลอดตั้งแต่เด็กยันจบป.6
แต่ผมก็ไม่เคยอกตัญญูพ่อกับแม่นะครับ เป็นเด็กที่ดีเรียบร้อยมาตลอด
ผมเองมีน้องชาย 1 คนครับ อายุห่างกัน 8 ปี ซึ่งพ่อกับแม่คงไม่อยากให้ผมเหงา เมื่อมาอยุ่ที่กรุงเทพ เลยมีน้องอีกคน
แรกๆผมยังไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่ครับ กับชีวิตของคนกรุง แต่ก็พยายามปรับตัว
พ่อผมทำงานบริษัท แม่เป็นแม่ค้า ขายเสื้อผ้า ทุกเย็นพ่อจะขับรถจากบริษัทแวะมารับแม่กลับบ้านพร้อมกัน
วันไหนที่เป็นเสาร์ อาทิตย์ หรือปิดเทอม แม่ก็จะพาผมไปที่ร้านด้วย หรือบางทีก็พอไปซื้อเสื้อผ้าเข้าร้าน
ทำให้ผมได้เดินทางและรู้จักเส้นทางในกรุงเทพเร็วขึ้น ส่วนน้องชายก็จะมียายคอยช่วยเลี้ยงอยุ่ที่บ้านครับ
ซึ่งมองรวมๆแล้วผมคิดว่าครอบครัวของผมนั้นอบอุ่นที่สุดเลยนะครับ ทุกอาทิตย์จะกลับต่างจังหวัด เหมือนวันรวมญาติกัน
บางครั้งผมก็ขอค้างอยุ่ที่ต่างจังหวัดต่อ เพราะอยากอยู่กับอาโก อาม่า ที่เลี้ยงดูผมมา แล้ววันอาทิตย์ หรือเปิดเทอมก็ค่อยมารับกลับ
พ่อผมเป็นคนที่ค่อนข้างประหยัด เพราะเป็นลูกคนจีน แล้วก็รักดูแลครอบครัวทุกคนเป็นอย่างดี ส่วนแม่จะค่อนข้างมั่นๆนิดหน่อย
ที่บ้านผมที่กรุงเทพเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ครับ มี 2 ห้องนอน ห้องใหญ่ พ่อกับแม่ผมจะนอนกับน้อง
ส่วนผมจะนอนอีกห้องเป็นห้องส่วนตัวไปเลย ส่วนยายจะขอนอนที่ชั้นล่างครับ เพราะแกไม่อยากเดินขึ้นลงบันได
ด้วยความที่คิดว่ามันน่าจะสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ทำให้ผมคิดว่า เรื่องจริงนั้นยิ่งกว่าละคร เพราะแม้แต่บางครั้งผู้กำกับละครก็คงยังต้องอึ้งกับชีวิตจริงครับ
ในช่วงที่ผมเรียนชั้นมัธยมต้นนั้น ผมเองก็เป็นเด็กที่เรียนค่อนข้างดีครับ แต่.....
ผมลืมบอกไปอย่างนึงครับ ว่าผมเป็นเกย์
เนื่องจากที่ๆผมโตมานั้น ไม่ค่อยมีเด็กผุ้ชายสักเท่าไหร่ บรรดาเพื่อนๆ และพี่ๆน้องๆแถวบ้านส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กผุ้หญิง
สิ่งนั้นคงเป็นเหตุให้ผมซึมซับมา แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าการเป็นเกย์นั้นไม่ดีนะครับ เพราะเพื่อนๆผมสมัยประถมต่างก็ชอบผม
ที่เป็นคนร่าเริง คุยเก่ง ก็จะมีโดนแซวบ้างจากเด็กผู้ชาย แต่ก็แหย่กันเล่นๆครับ
กลับมาที่เรื่องของผม ซึ่ง ณ ตอนนี้อยุ่ที่กรุงเทพ
ในช่วง ม.1 ม.2 เหตุการณ์ก็ปกติดีครับ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นในช่วงตอน ม.3 ซึ่งผมอายุ 15 ปี
ทุกๆคนคงรู้ดีว่าในช่วงวัยนี้ เป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโต และเป็นช่วงที่จิตใจสับสน/เปลี่ยนแปลงได้ง่าย
ในคืนหนึ่งที่ผมนอนอยุ่ดีๆ ผมตื่นมาพร้อมพบว่ามีมือของคนๆหนึ่ง กำลังจับอยุ่ที่น้องชายของผมพร้อมทั้งขยับขึ้นลงตามจังหวะ
ในความมืด + กับแสงที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างผมก็รุ้ได้ว่ามือนั้นเป็นของพ่อผม ผมตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูกไม่กล้าโวยวาย
ไม่กล้าทำเป็นตื่นหรือรู้สึกตัว ผมแกล้งทำเป็นนอนหลับต่อ จนกระทั่งพ่อผมใช้มือทำให้จนเสร็จ
เหตุการณ์ที่นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของสิ่งต่างๆในชีวิตผมก็เริ่มเกิดขึ้น
ตอนเช้าผมเริ่มตั้งสติ และคิดอยู่นาน ว่าทำไมๆๆๆๆๆๆ
ผมเป็นคนที่มักจะมองโลกในแง่ดีก่อนครับ และประกอบกับช่วงที่ผมเรียนตอนนั้นก็เป็นช่วงต่อที่ผมจะเข้าในสายวิทย์-คณิต
ผมจึงค่อนข้างเป็นคนคิดอะไรที่มีหลักการ ผมคิดว่า เพราะพ่ออาจเห็นว่าผมโตแล้วก็ได้ เลยอยากสอนให้ช่วยตัวเองเป็น
แต่ผมก็นั่งคิดต่อ ว่าทำไม....ทำไมต้องเป็นตอนกลางคืน ทำไมต้องเป็นตอนที่ผมหลับ ทำไม.....
ทำไม....พ่อถึงทำกับผมแบบนี้??
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็ระวังตัวเองมากขึ้น โดยการล็อคประตูห้องนอน แต่นั้นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ฝันร้ายกำลังมาเยือนผม
คืนนั้นผมหลับปกติ แต่ได้ยินเสียงแว่วคือมีคนไขประตูเข้ามา และก็จริงอย่างที่คิด พ่อไขประตูเข้ามา แล้วก็เดินไปเดินมาแถวๆเตียง
สักพักก็นั่งที่เตียงแล้วเอามือมาจับที่น้องชายผม ครั้งนี้ผมไม่ยอม เลยแกล้งทำเป็นนอนดิ้น แล้วนอนตะแคงไปกอดหมอนข้าง
แต่พ่อก็พยายามยกขาของผมของออกจากหมอน และเอามือมาจับของผมให้ได้ คืนนั้นผมลองปล่อยไป แล้วก็ให้เขาทำจนเสร็จ
อารมณ์ผมโกรธมาก แต่ไม่อยากที่จะเสียงดังออกไป เพราะคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ทุกคืนผมจะล็อคประตุ ทุกครั้ง แล้วพ่อก็ไขประตูเข้ามาทุกครั้ง เหตุการณ์ดำเนินมาเป็นระยะเวลา 1 เดือน
บางครั้งที่พ่อไม่เข้ามา ผมก็มักจะได้ยินเสียงแว่วของการไขลูกบิดประตู และจะจ้องที่ลุกบิดอยุ่นาน เมื่อผมเห็นว่าไม่มีอะไรก็พยายามนอนต่อแต่ผมก็นอนได้น้อยมากครับ เพราะอาการดังกล่าว และส่งผลมาถึงปัจจุบัน ผมเป็นคนที่นอนหลับไม่สนิทเลย ถัามีเสียงหรืออะไรขยับนิดหน่อยผมก็จะรุ้สึกตัวและนอนต่อไม่ค่อยหลับ
ผมเริ่มกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด และเก็บตัวเวลาอยุ่ที่บ้าน แต่พออยุ่ข้างนอกผมสามารถใช้ชีวิตกับคนรอบข้างได้เป็นปกติ ยิ้มแย้ม พุดคุยเก่งเหมือนเดิม เหตุการณ์ดำเนินต่อมาเป็นเดือนๆ แต่ผมไม่ได้ให้พ่อทำ ผมมักจะแกล้งหลับแล้วทำเป็นนอนดิ้นเหมือนจะตื่น หรือไม่ก็นอนคว่ำไปเลย แต่ทุกครั้งพ่อจะพยายามสอดมือ หรือจับขาผมยกออก เพื่อจะทำให้ได้ ผมเริ่มเก็บความรุ้สึกไม่ไหวแล้ว คืนนั้นผมระเบิดโทสะออก อาละวาดไปทั่วบ้าน ด่าทั้งคำหยาบ และทำลายข้าวของ (ผมมั่นใจว่าละแวกบ้านผมได้ยินกันทั่ว เพราะเช้ามาคอผมเจ็บมากแทบพูดออกมาไม่มีเสียงเลย) แม่กับยายก็พากันตื่น และแล้วความก็แตก เมื่อแม่รู้ แม่รับไม่ได้กับสิ่งที่พ่อทำ แต่น้องยังเด็กเลยไม่ค่อยรุ้เรื่องอะไร
คืนนั้นผมเก็บกระเป๋าและออกมาจากบ้าน ผมไปขอความช่วยเหลือจากคนในอินเตอร์เนตเรื่องที่พัก
รุ่งเช้าผมก็ไปเรียนต่อ แต่มันก็เป็นเรื่องลำบาก เพราะผมไม่มีรายได้เงินที่ำพกออกมาก็เริ่มหมด ผมจึงปรึกษากับครูประจำชั้น
และได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านเพื่อนในห้อง ผมออกจากบ้านมาเป็นเวลา 7 วัน แล้วก็ตัดสินใจกลับบ้าน
ทุกๆอย่างเริ่มเปลี่ยนไป.....
ผมเริ่มเป็นคนเก็บตัวมากขึ้นกลับถึงบ้านก็จะรีบเก็บตัวอยุ่แต่ในห้อง และเริ่มก้าวร้าวกับพุดตะคอกเสียงเวลาอยุ่ที่บ้าน
แต่กลับกันเมื่อออกจากบ้าน ผมก้ใช้ชีวิตเข้ากับคนอื่นๆได้ในชีวิตประจำวันเหมือนปกติ
ส่วนแม่ก็เริ่มกินเหล้า กินเบียร์ และเริ่มใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และแม่ก็คอยถามผมอยุ่ตลอดว่า พ่อยังเข้ามาทำอยุ่หรือไม่
ช่วงที่เกิดเรื่องพ่อก็ไม่ได้เข้ามาทำเรื่องอย่างนั้นกับผมแล้ว พ่อก็ดูแลครอบครัวตามปกติ
แต่แม่ที่ท่าทางจะหาทางกลับไม่เจอแล้ว บวกกับเจอเพื่อนใหม่ๆ ที่พากันไปในทางที่ไม่ดีด้วย แต่ยังไม่มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นครับ
เหมือนเรื่องจะซาๆลงไปบ้าง จากเหตุการณ์ที่ผมอาละวาดครั้งใหญ่ แต่มันก็กลับมาเกิดขึ้นอีก (ไม่รุ้ว่าเป็นเวรกรรมอะไรของผม)
เรื่องนี้ผมไม่อาจให้ทางบ้านที่ต่างจังหวัดทราบได้ เพราะอาโก อาม่าผม จิตใจอ่อนแอ หรือมีอาการทางประสาทอ่อนๆ ไม่สามารถรับเรื่องที่กระทบต่อจิตใจแรงๆได้ แต่ทั้ง 2 คน รักษาตัวจนเป็นปกติแล้ว ผมเก็บเรื่องนี้เอาไว้เพียงคนเดียว และต้องทนกับอาการนอนไม่หลับ บวกกับความวิตกกังวลยามค่ำคืน อย่างที่ได้กล่าวไป ส่วนแม่ผมบางครั้งก็จะคอยตื่นมาช่วงดึก เพื่อดูพ่อแต่บางครั้งก็ไม่ดู ส่วนพ่อผมก็พยายามที่จะเข้ามา ผมตัดสินใจเปลี่ยนล็อคประตูเป็นแบบลงกลอน แต่พ่อก็มาแกะออกไป โดยให้เหตุผลว่า ห้องรกจะเข้ามาเก็บกวาด
เมื่อผมขึ้นม.ปลาย ผมกลายเป็นคนที่มี 2 บุคลิกไปโดยปริยาย สังคมภายนอกจะรับรุ้ว่าผมเป็นคนที่ร่าเริง แจ่มใส คุยเก่ง เข้ากับคนง่าย และเป็นที่รักของใครหลายๆคน แต่เมื่ออยุ่บ้านทุกสิ่งจะกลับกันโดยสิ้นเชิง ส่วนพ่อก็ยังคงแอบเ้ข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่ง....
ผมสังเกตุความเปลี่ยนแปลงของแม่ ซึ่งอ้วนขึ้น แต่ไม่ได้อ้วนแบบคนทั่วไป.......
6เดือน ต่อมาผมทราบว่าแม่มีน้อง แต่ไม่ได้มีกับพ่อ หลังจากนั้นแม่ก็แยกทางไป พร้อมทิ้งหนี้ก้อนโตที่สร้างไว้โดยที่ไม่ใครรู้ และ....
แทบจะไม่กลับมาอีกเลย......
ครึ่งนึง ผมมองเห็นความดีของพ่อนะ ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ดุแลค่าใช้จ่ายทุกอย่างแบบไม่มีปัญหาเลย ทั้งยังต้องดูแลผมกับน้องและยายซึ่งเป็นแม่ของแม่ บวกกับต้องตามใช้หนี้ที่แม่ไปก่อไว้ จนหนี้หมด
แต่สิ่งที่ผมรับไม่ได้อย่างเดียวคือ ทำไมเขาเลิกไม่ได้ ที่จะเข้ามาจับน้องชายผมแล้วสำเร็จความใคร่ให้ผม???
เมื่อผมขึ้นมหาลัย ผมเริ่มกล้าที่จะพูด ผมคุยกับพ่อตรงๆ ว่าทำไมถึงไม่เลิกซะที ผมอยากให้พ่อ เหมือนกับพ่อคนอื่นๆทั่วไป
ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ถ้ามีอารมณ์ จะไปหาเมียใหม่ หรือ ไปทำกับใครก็ไปทำสิ ทำไมต้องมาทำกับลูก ??
สิ่งที่พ่อบอกผมมันทำให้ผมรับไม่ได้เป็นอย่างมาก นั่นคือ.....
"พ่อก็รักลูกแบบลูกนะ รักที่สุดด้วย แต่มันก็รักแบบคนรักด้วย พ่อก็หักห้ามใจมาตลอดนะ แต่ ทำไมถึงทำไม่ได้ก็ไม่รู้"
คำตอบนี้เหมือนเป็นจุดจบของคำว่าพ่อลูกไปเลย สำหรับผม ผมไม่คิดไม่ฝันเลยว่าคนเป็นพ่อ จะคิดกับลูกได้ถึงเพียงนี้
และที่สำคัญลูกตัวเองก็เป็นเพศเดียวกัน..............
อ้อผมลืมบอกไปครับ ทุกวันนี้น้องยังคงนอนที่ห้องใหญ่ กับพ่อ ซึ่งไม่มีแม่แล้ว ผมเลยถามเขาไปว่า แล้วได้ทำอย่างนี้กับน้องไหม
พ่อตอบว่าไม่เคยเลย แล้วผมก็เคยแกล้งถามน้องผม ว่าพ่อเคยทำอะไรทะลึ่งๆด้วยมั้ย ซึ่งน้องก็บอกว่าไม่...
แล้วผมก็ได้แต่คิด ... ว่าทำไม... ทำไม....
หลายๆคน คงมองว่าผมเป็นคนอกตัญญู แต่ผมก็ยอมรับนะว่าผมยอมตวาด ยอมตะคอก พูดไม่ดีด้วย เพื่อทำให้เขาเลิกยุ่ง
แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผลเลย เขาก็ยังคงทำเหมือนเดิม ไขกุญแจเข้ามา เดินด้อมๆมองๆ เอามือมาลูบๆ ถ้าผมพลิกตัวหรือทำท่าจะตื่น (ซึ่งผมแกล้ง เพราะผมตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงลูกบิดแล้ว) เขาก็จะเดินออกไป แล้วสักพักก็จะเข้ามาใหม่
ผมเคยเอาลูกกุญแจไปซ่อนนะ ในตู้เสื้อผ้าผม เขาก็เข้ามารื้อตอนที่ผมไม่อยู่ห้องแล้วเอากุญแจไป...
เหตุการณ์เหล่านี้วนเวียนในชีวิตผมจนเกือบจบจากรั้วมหาลัย แล้วอาการบางอย่างก็ปรากฏ ผมมักจะมีไข้อ่อนๆ บางครั้งก็ตัวร้อนจัด
ทานอาหารก็อาเจียนออกมา หลังจากนั้นก็จะแน่นหน้าอก หายใจไม่ออกและหอบ จนถึงขั้น ตัวเกร็ง
เมื่อไปหาหมอ หมอกลับบอกว่า ไม่พบไข้ และอาการผิดปกติอะไร??? ซึ่งในระหว่างที่หมอบอก ผมเองยังรู้สึกอยุ่เลยถึงความร้อนของตัวที่แผ่ออกมา เหมือนคนไข้ขึ้นสูง
แต่ก็อย่างที่บอกครับ ผมยังสามารถใช้ชีวิตภายนอกบ้านได้อย่างปกติ ยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีเหมือนคนที่มีความสุขทั่วไป
จนวันนี้ผมทำงานแล้ว แต่พ่อของผมก็ยังไม่ยอมเลิก ทั้งๆที่ผมรู้สึกหงุดหงิดมาก แต่ไม่อยากอาละวาดให้เหมือนครั้งนั้น อาจเป็นเพราะผมโตขึ้น และเริ่มทำใจให้สงบได้มากขึ้นด้วย
และช่วงนี้ผมเองก็พยายามเปลี่ยนล็อคกุญแจ แต่เขาก็หาทางงัดเข้ามา และผมก็หงุดหงิดใส่เขา เขาก็พูดเสมอว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีก เขาขอโทษผม แต่ผ่านไปได้แค่ 2-3 วัน ก็วนกลับมาเป็นแบบเดิมเหมือนม้วนเทปที่หมุนย่อนกลับมาเล่นฉากเดิมๆ
จนวันนี้ผมทนไม่ไหว ด่าเขาให้ไปหาจิตแพทย์
ผมบอกว่า จะไปหาจิตแพทย์ หรือจะเิลิกเอง หรือจะต้องให้อาละวาดอีกครั้ง
ทำไมมันถึงเลิกไม่ได้ซะที ???
ตั้งแต่ครั้งนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านมาทั้งหมด 8 ปี แล้วครับ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าผมควรทำอย่างไรต่อไป????
อาการของพ่อผมเป็นอาการทางจิตหรือเปล่า????
แล้วอาการที่ผมเป็นมันคืออะไรกันแน่????