วันนี้ (30 ส.ค.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กล่าวในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ว่า หลังจากยุติบทบาทแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า สิ่งแรกที่ตนทำก็คือเรียกประชุมทีมงานเอเอสทีวีทั้งหมด และประกาศเป็นนโยบายชัดเจนเลยว่าจากนี้ไปเอเอสทีวีจะเป็นหัวหอกในการนำองค์ความรู้ให้ประชาชนในการเปลี่ยนประเทศไทย เพื่อคนไทย 65 ล้านคน มันเป็นการตกผลึกของตนในการต่อสู้มา เห็นแล้วว่าปัญหาของชาติที่มันเกิดขึ้น ก็เพราะระบบการเมืองที่อุบาทว์
นายสนธิ กล่าวต่อว่า อำนาจรัฐนั้น นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ต้องแยกออกจากกัน แต่สำหรับประทศไทยบริหารกับนิติบัญญัติมันอยู่เป็นเนื้อเดียวกันมาทุกยุคทุกสมัย ตนเลยสรุปว่าเราโดนประชาธิปไตยหลอก นี่คือประชาธิปไตยจอมปลอม เมื่อนิติบัญญัติรวมเป็นเนื้อเดียวกับบริหาร แล้วประธานสภาฯ ก็เป็นคนของ ฝ่ายพรรครัฐบาล ถ้าอย่างนั้นเราจะมีสภาไปทำไม เพราะว่าสภามันกลายเป็นสภาคณิตศาสตร์ ส.ส.ก็คือตัวเลขเท่านั้นเอง ไม่มีจิตวิญญาณ เวลาหาเสียงรับปากชาวบ้านโน่นนี่แต่พอเข้ามาก็ไม่สนใจ ด้วยเหตุนี้แล้วถึงบอกว่าประเทศไทยในขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองชั่วช้าสามานย์ผสมกับทุนที่สามานย์ มันก็เลยทำให้ในสภาเป็นสภาเดรัจฉาน เพราะฉะนั้นแล้วเมืองไทยจะอยู่ต่อไปอย่างนี้ไม่ได้ บ้านเมืองจะ
หมด
ชีวิตที่เหลือของตนต้องทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม ถามว่ายากไหม ยาก
แต่ต้องทำ เพราะถ้ามัวมานั่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วทุกคนหยุด เราจะไปไหนไม่รอดเลยแม้แต่นิดเดียว
"ผมตั้งปณิธาน สัจจะวาจากับตัวผมเองว่าจะอุทิศตัวที่เหลือของชีวิตรุกในการให้ปัญญา ระดมคนเพื่อจะเปลี่ยนประเทศ ผมต้องการเปลี่ยนประเทศให้กับคนไทย 65 ล้านคน" นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ตนจะสู้ในเรื่องคุณภาพการศึกษา ให้ช่องว่างการศึกษาในเมืองกับนอกเมืองแคบที่สุดเท่าที่จะแคบได้ ให้คนมีโอกาสทำมาหากินอย่างเป็นธรรม ให้มีทักษะในการที่จะเรียนรู้วิธีทำมาหากิน ยืนอยู่บนลำแข้งตัวเองได้ เปิดโอกาสเข้าสู่ทุนได้โดยที่ไม่ลำบาก ให้การเกษตรเป็นหลักของประเทศไม่ใช่อุตสาหกรรม ทำสิ่งต่างๆที่ผิดให้ถูก เช่น อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ปทุมธานี ไม่ใช่พื้นที่อุตสาหกรรมแต่เป็นพื้นที่เกษตรเป็นที่ทาน้ำผ่าน ฉะนั้นอุตสาหกรรมที่อยู่แถวนั้นต้องออกไปให้หมด ปทต.ต้องกลับมาเป็นของประเทศไทย พัฒนาการเมืองท้องถิ่นให้เข้มแข็งขึ้น งบประมาณท้องถิ่นต้องลงไปสู่ท้องถิ่นให้จัดการตัวเอง โรงเรียนที่เคยสังกัดกระทรวงศึกษาตามจังหวัดต่างๆต้องขึ้นกับจังหวัด โดยโอนงบประมาณของกระทรวงศึกษาไปให้จังหวัดนั้นๆเลย กระทรวงศึกษาฯเพียงทำหน้าที่ควบคุมมาตรฐานเด็กที่จบการศึกษาในแต่ละชั้น นอกจากนั้นต้องคุมนักการเมืองท้องถิ่น ตำรวจท้องถิ่นให้ขึ้นกับจังหวัด ไม่จำเป็นต้องสู้แข่งขั้นถึงยศพลตำรวจโท พลตำรวจเอก พวกยศใหญ่ๆตรงส่วนกลางพอเกษียณก็ไม่ต้องตั้งเพิ่ม กฎหมายการคอร์รัปชั่นต้องไม่มีอายุความ หลายอันที่หมดอายุความไปแล้วต้องมีสิทธิเอากลับมาใหม่ สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างบางส่วนที่ตนยกมาเพื่อการเปลี่ยนประเทศไทย เพื่อคนไทย 65 ล้านคน การเมืองต้องเปลี่ยนใหม่หมด
นายสนธิ กล่าวด้วยว่า วิธีที่จะทำให้คนมีคุณภาพสูงขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือเผยแพร่ความรู้ โดยใช้เอเอสทีวีเป็นหัวหอกในการเดินเส้นทางสายนี้ ถ้าใครเห็นด้วยกับเรามาร่วมกับเรา และนั่นคือสิ่งที่ตนจะเริ่ม คือเปิดชั้นเรียนมหาวิทยาลัยเอเอสทีวี หรือว่าจำลองมาจากมหาวิทยาลัยราชดำเนิน ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 10 โมงครึ่งถึงเที่ยงครึ่ง โดยมีหัวข้อการสอนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเขาพระวิหาร เรื่องน้ำมัน เรื่องสุขภาพ ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ทางการเมือง ปรัชญาทางการเมือง เชิญคนโน้นคนนี้มาให้ความรู้ แล้วเราจะรับสมัครคนพันธมิตรฯเข้ามาฟังได้ครั้งละไม่เกิน 40 คน วันนี้ตนขอเอาเฉพาะพวกพันธมิตรฯก่อน ให้เขามีความรู้ เพราะยิ่งมีความรู้สูงเท่าไหร่ยิ่งไปกระจายต่อได้ตลอดเวลาทุกเมื่อ โดยการไม่เสียค่าใช้จ่ายและก็มีอาหารว่างให้กิน แทนที่จะเดินสายไปตามจังหวัดต่างๆ เราจะใช้เอเอสทีวีเป็นศูนย์ และยิงออกไปข้างนอก นี่คือการจุดเทียนครั้งที่ 2 โดยจะเริ่มประมาณปลายเดือนตุลาคม
อดีตแกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า หลังจากยุติบทบาท แกนนำฯทุกคนก็ต่างไปทำหน้าที่ของตัวเอง บางครั้งความเห็นอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ตนเชื่อว่าพวกเราทุกคนล้วนแล้วแต่เอาชาติเป็นตัวตั้งทั้งสิ้น แต่ตนเรียนให้รู้ก่อนว่าตนจะไม่ประท้วงเป็นรายประเด็น ไม่ประท้วงระบอบทักษิณ ไม่ประท้วง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะว่าทั้งหมดนี้มันคือส่วนย่อยของระบบที่อุบาทว์ แต่จะสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ ใครจะมาร่วมกับตนได้ แต่ต้องเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ถ้าเสื้อแดงจะมาร่วม ก็ไม่ขัดข้อง แต่ต้องก้าวข้าม 3 เรื่อง คือ 1. ก้าวข้ามทักษิณให้ได้ 2.ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังต้องการสถาบันกษัตริย์ 3.ต้องยึดหลักนิติรัฐ ถ้าเขาก้าวข้าม 3 เรื่องนี้ได้ และต้องการสู้เพื่อลดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน สู้เพื่อคนด้อยโอกาส นั่นคือการสู้เหมือนกับตน ตนไม่ได้สู้เพื่อพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้สู้เพื่อพรรคเพื่อไทย และไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง
"วันนี้ผมเกิดใหม่แล้ว ผมรู้ผมเกิดมาเพื่อทำอะไร ผมจะทำงานใหญ่กว่าการสู้เพื่อไล่ระบอบทักษิณ ส่วนใครจะไปร่วมกับใครผมไม่ห้าม แต่ถ้าจะร่วมกับผมขอให้รู้ว่า ผมไม่ได้สู้รายประเด็น ผมไม่ได้สู้โน้นนี่นั่นแล้ว ผมจะสู้เป็นส่วนรวม เอาชาติเป็นตัวตั้ง ผมจะสู้เพื่อเปลี่ยนประเทศไทย เพื่อคนไทย 65 ล้านคน" นายสนธิ ระบุ
"สนธิ" ลั่นอุทิศชีวิตที่เหลือรุกให้ปัญญาคนไทยเพื่อเปลี่ยนประเทศ เผยเตรียมเปิดมหาวิทยาลัย ASTV
นายสนธิ กล่าวต่อว่า อำนาจรัฐนั้น นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ต้องแยกออกจากกัน แต่สำหรับประทศไทยบริหารกับนิติบัญญัติมันอยู่เป็นเนื้อเดียวกันมาทุกยุคทุกสมัย ตนเลยสรุปว่าเราโดนประชาธิปไตยหลอก นี่คือประชาธิปไตยจอมปลอม เมื่อนิติบัญญัติรวมเป็นเนื้อเดียวกับบริหาร แล้วประธานสภาฯ ก็เป็นคนของ ฝ่ายพรรครัฐบาล ถ้าอย่างนั้นเราจะมีสภาไปทำไม เพราะว่าสภามันกลายเป็นสภาคณิตศาสตร์ ส.ส.ก็คือตัวเลขเท่านั้นเอง ไม่มีจิตวิญญาณ เวลาหาเสียงรับปากชาวบ้านโน่นนี่แต่พอเข้ามาก็ไม่สนใจ ด้วยเหตุนี้แล้วถึงบอกว่าประเทศไทยในขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองชั่วช้าสามานย์ผสมกับทุนที่สามานย์ มันก็เลยทำให้ในสภาเป็นสภาเดรัจฉาน เพราะฉะนั้นแล้วเมืองไทยจะอยู่ต่อไปอย่างนี้ไม่ได้ บ้านเมืองจะหมด
ชีวิตที่เหลือของตนต้องทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม ถามว่ายากไหม ยาก แต่ต้องทำ เพราะถ้ามัวมานั่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วทุกคนหยุด เราจะไปไหนไม่รอดเลยแม้แต่นิดเดียว
"ผมตั้งปณิธาน สัจจะวาจากับตัวผมเองว่าจะอุทิศตัวที่เหลือของชีวิตรุกในการให้ปัญญา ระดมคนเพื่อจะเปลี่ยนประเทศ ผมต้องการเปลี่ยนประเทศให้กับคนไทย 65 ล้านคน" นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ตนจะสู้ในเรื่องคุณภาพการศึกษา ให้ช่องว่างการศึกษาในเมืองกับนอกเมืองแคบที่สุดเท่าที่จะแคบได้ ให้คนมีโอกาสทำมาหากินอย่างเป็นธรรม ให้มีทักษะในการที่จะเรียนรู้วิธีทำมาหากิน ยืนอยู่บนลำแข้งตัวเองได้ เปิดโอกาสเข้าสู่ทุนได้โดยที่ไม่ลำบาก ให้การเกษตรเป็นหลักของประเทศไม่ใช่อุตสาหกรรม ทำสิ่งต่างๆที่ผิดให้ถูก เช่น อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ปทุมธานี ไม่ใช่พื้นที่อุตสาหกรรมแต่เป็นพื้นที่เกษตรเป็นที่ทาน้ำผ่าน ฉะนั้นอุตสาหกรรมที่อยู่แถวนั้นต้องออกไปให้หมด ปทต.ต้องกลับมาเป็นของประเทศไทย พัฒนาการเมืองท้องถิ่นให้เข้มแข็งขึ้น งบประมาณท้องถิ่นต้องลงไปสู่ท้องถิ่นให้จัดการตัวเอง โรงเรียนที่เคยสังกัดกระทรวงศึกษาตามจังหวัดต่างๆต้องขึ้นกับจังหวัด โดยโอนงบประมาณของกระทรวงศึกษาไปให้จังหวัดนั้นๆเลย กระทรวงศึกษาฯเพียงทำหน้าที่ควบคุมมาตรฐานเด็กที่จบการศึกษาในแต่ละชั้น นอกจากนั้นต้องคุมนักการเมืองท้องถิ่น ตำรวจท้องถิ่นให้ขึ้นกับจังหวัด ไม่จำเป็นต้องสู้แข่งขั้นถึงยศพลตำรวจโท พลตำรวจเอก พวกยศใหญ่ๆตรงส่วนกลางพอเกษียณก็ไม่ต้องตั้งเพิ่ม กฎหมายการคอร์รัปชั่นต้องไม่มีอายุความ หลายอันที่หมดอายุความไปแล้วต้องมีสิทธิเอากลับมาใหม่ สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างบางส่วนที่ตนยกมาเพื่อการเปลี่ยนประเทศไทย เพื่อคนไทย 65 ล้านคน การเมืองต้องเปลี่ยนใหม่หมด
นายสนธิ กล่าวด้วยว่า วิธีที่จะทำให้คนมีคุณภาพสูงขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือเผยแพร่ความรู้ โดยใช้เอเอสทีวีเป็นหัวหอกในการเดินเส้นทางสายนี้ ถ้าใครเห็นด้วยกับเรามาร่วมกับเรา และนั่นคือสิ่งที่ตนจะเริ่ม คือเปิดชั้นเรียนมหาวิทยาลัยเอเอสทีวี หรือว่าจำลองมาจากมหาวิทยาลัยราชดำเนิน ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 10 โมงครึ่งถึงเที่ยงครึ่ง โดยมีหัวข้อการสอนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเขาพระวิหาร เรื่องน้ำมัน เรื่องสุขภาพ ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ทางการเมือง ปรัชญาทางการเมือง เชิญคนโน้นคนนี้มาให้ความรู้ แล้วเราจะรับสมัครคนพันธมิตรฯเข้ามาฟังได้ครั้งละไม่เกิน 40 คน วันนี้ตนขอเอาเฉพาะพวกพันธมิตรฯก่อน ให้เขามีความรู้ เพราะยิ่งมีความรู้สูงเท่าไหร่ยิ่งไปกระจายต่อได้ตลอดเวลาทุกเมื่อ โดยการไม่เสียค่าใช้จ่ายและก็มีอาหารว่างให้กิน แทนที่จะเดินสายไปตามจังหวัดต่างๆ เราจะใช้เอเอสทีวีเป็นศูนย์ และยิงออกไปข้างนอก นี่คือการจุดเทียนครั้งที่ 2 โดยจะเริ่มประมาณปลายเดือนตุลาคม
อดีตแกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า หลังจากยุติบทบาท แกนนำฯทุกคนก็ต่างไปทำหน้าที่ของตัวเอง บางครั้งความเห็นอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ตนเชื่อว่าพวกเราทุกคนล้วนแล้วแต่เอาชาติเป็นตัวตั้งทั้งสิ้น แต่ตนเรียนให้รู้ก่อนว่าตนจะไม่ประท้วงเป็นรายประเด็น ไม่ประท้วงระบอบทักษิณ ไม่ประท้วง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะว่าทั้งหมดนี้มันคือส่วนย่อยของระบบที่อุบาทว์ แต่จะสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ ใครจะมาร่วมกับตนได้ แต่ต้องเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ถ้าเสื้อแดงจะมาร่วม ก็ไม่ขัดข้อง แต่ต้องก้าวข้าม 3 เรื่อง คือ 1. ก้าวข้ามทักษิณให้ได้ 2.ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังต้องการสถาบันกษัตริย์ 3.ต้องยึดหลักนิติรัฐ ถ้าเขาก้าวข้าม 3 เรื่องนี้ได้ และต้องการสู้เพื่อลดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน สู้เพื่อคนด้อยโอกาส นั่นคือการสู้เหมือนกับตน ตนไม่ได้สู้เพื่อพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้สู้เพื่อพรรคเพื่อไทย และไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง
"วันนี้ผมเกิดใหม่แล้ว ผมรู้ผมเกิดมาเพื่อทำอะไร ผมจะทำงานใหญ่กว่าการสู้เพื่อไล่ระบอบทักษิณ ส่วนใครจะไปร่วมกับใครผมไม่ห้าม แต่ถ้าจะร่วมกับผมขอให้รู้ว่า ผมไม่ได้สู้รายประเด็น ผมไม่ได้สู้โน้นนี่นั่นแล้ว ผมจะสู้เป็นส่วนรวม เอาชาติเป็นตัวตั้ง ผมจะสู้เพื่อเปลี่ยนประเทศไทย เพื่อคนไทย 65 ล้านคน" นายสนธิ ระบุ