<Spoil> ยอดนักปรุงโซมะ (Shokugeki no Souma) 37 -รสราคะคาราอาเกะ(3)-



-หน้าปก



กลิ่นหอมเครื่องเทศล่องตามลมสัมผัสชิดแตะจมูก

เนื้อไก่นุ่มเหนียวเพลินปาก

รสอร่อยของเนื้อแผ่ซ่านชุ่มไปทั่วลิ้น

ด้วยอาหารที่เป็นที่ชื่นชอบของคนญี่ปุ่น อาหารที่เป็นสีสันให้โต๊ะอาหารเรื่อยมา

ดุจศร ดุจศักดิ

สมรภูมิรบแตกหักด้วยคาราอาเกะ ที่เดิมพันด้วยชีวิตของย่านการค้า ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!




-หน้าเปิดสี

-เปิดตอนมา บรรดาคนขายของในย่านการค้าก็มองดูเหล่าคนที่เดินผ่านหน้าร้านไปโดยไม่ซื้ออะไร โดยที่มือของคนเหล่านั้นถือถุงหิ้วช็อปปิ้งของร้านในสถานีมาด้วย ซึ่งหนึ่งในคนขายก็บ่นออกมา ไม่มีคนมาแลย่านการค้าเลยสักนิด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ลูกค้าเยอะที่สุดแล้วแท้ๆ ความได้เปรียบเรื่องสถานที่กับขนาดของห้างมันเป็นสิ่งที่สำคัญมากจริงๆด้วยสินะ ถึงโซมะจะพูดว่า จะทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาลูกค้ากลับมาก็เถอะ แต่จะทำได้จริงๆเหรอ

-ตัดกลับมาด้านโซมะ เขาก็เอ่ยถามทุกคนว่า มีวิธีไหนบ้างที่จะกินคาราอาเกะได้อย่างอร่อยที่สุด โดนถามมาแบบนี้ทุกคนก็ถึงกับงงก่อนที่นิคุมิจะพูดออกไปว่า ก็กินตอนทำเสร็จใหม่ๆน่ะสิ ซึ่งโซมะก็ตอบออกมาว่าใช่ และสิ่งนั้นเองก็คือสิ่งที่คาราอาเกะร้านโมสุยะทำไม่ได้ มายูมิเลยถามว่าเพราะอะไร โซมะเลยอธิบายว่า คาราอาเกะของร้านนั้น สำหรับลูกค้าที่มาซื้อโดยนั่งรถไฟ ทางร้านจะขายให้โดยใส่เอาไว้ในกล่องที่จะกักเก็บไม่ให้มีกลิ่นเล็ดรอดออกมารบกวนคนอื่น และเมื่อเป็นแบบนั้นจึงไม่สามารถที่จะทานคาราอาเกะในรถไฟหรือที่สถานีได้ สุดท้ายจึงเหลือทางเดียวนั้นก็คือ ได้กินคาราอาเกะต่อเมื่อกลับไปถึงบ้านแล้วนั้นเอง ซึ่งมายูมิพอได้ยินก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตอนแม่เธอซื้อคาราอาเกะของที่นั้นกลับมาบ้าน มันก็เย็นหมดแล้วแม่ก็เลยเอามาอุ่นด้วยไมโครเวฟซ้ำอีกรอบ

(ที่ญี่ปุ่นการใช้โทรศัพท์คุยหรือการทานอาหารในที่สาธารณะบางที่เป็นเรื่องที่ห้ามทำนะครับ เพราะเสียงหรือกลิ่นอาจจะไปรบกวนคนอื่น)

-โซมะบอกต่อว่า แต่ถ้าเป็นย่านการค้าก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ที่ย่านการค้าสามารถเดินกินได้อย่างสบาย และสามารถกินคาราอาเกะแบบใหม่ๆร้อนๆได้ด้วย รสชาติที่ได้ สัมผัสที่ได้ ก็จะเป็นคาราอาเกะเสร็จใหม่ๆแบบที่คาราอาเกะร้านโมสึยะเทียบไม่ได้นั้นเอง แถมถนนสายนี้ก็ยังมีบรรดานักเรียนหลายๆระดับชั้นพากันเดินกลับบ้านเป็นประจำ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าหลักอีกด้วย นิคุมิได้ยินแบบนี้จึงเข้าใจวิธีคิดของโซมะ นั้นก็คือการทำอาหารที่ตอบโต้การ"ซื้อกลับไปกินที่บ้าน"เป็น การทำอาหารที่"กินระหว่างทางกลับบ้าน"ได้นั้นเอง พอได้เป้าแบบนี้แล้วโซมะก็เลยเอ่ยว่า ถ้าทำคาราอาเกะที่สามารถเดินไปทานไปได้อย่างง่ายๆก็จะมีโอกาสชนะมากขึ้นใช่ไหมละ?



-ได้ยินแบบนั้นยูยะเจ้าของร้านเบนโตะก็กลับมีไฟขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับบอกว่าเขาเองก็เป็นเจ้าของร้านเบนโตะ เขาจะผนึกกำลังร้านของเขามาร่วมมือกับโซมะด้วย ว่าแล้วพอพูดจบก็วิ่งออกไปทันที จนโซมะเอ่ยไล่หลังออกมาแบบหน่ายๆว่าขอให้พยามเข้านะ ก่อนที่ตัวเองจะเริ่มไปตัดกล่องนมแล้วบอกว่า สำหรับกล่องที่จะใส่คาราอาเกะน่าจะเป็นประมาณนี้และต้องมีไม้จิ้มฟันหรืออะไรสักอย่างเป็นไม้จิ้มให้เดินกินไปได้ นอกจากนี้แล้วเขาจะลองทำคาราอาเกะแบบที่เด็กนักเรียนชอบขึ้นมาดู อาจจะใช้ผงกะหรี่หรือไม่ก็อาจจะมีการราดชีสเข้าไปเพิ่มด้วย

-ว่าแล้วก็ลองทำให้มายูมิกินดู ซึ่งเธอก็บอกออกมาตามตรงว่ายังเทียบของร้านโมสึยะไม่ได้ และดูเหมือนว่ายังไม่เข้าถึงแนวคิดที่จะให้เดินกินได้แบบสบายๆอีกด้วย ซึ่งโซมะก็เห็นด้วยแล้วบอกว่ากล่องใส่แบบนี้มันจะใหญ่เกินไป ถ้าจะทำให้เดินได้แบบสบายๆก็ต้องลดขนาดลงมาแทน แต่แบบนั้นก็จะแพ้เรื่องปริมาณกับทางร้านโมสุยะ นิคุมิจะเสริมออกมาอีกว่า การใช้ผงกะหรี่กับชีสจะทำให้ดึงรสชาติของวัตถุดิบออกมาได้อย่างเต็มที่ไม่ได้ด้วย มายูมิเลยเสนอไปต่อว่าถ้าแบบนั้นลองทำคาราอาเกะแบบที่เสียบไม้ดูบ้างไหม แต่โซมะก็บอกว่าแบบนั้นก็มีคนทำมาแล้วหลายที่ถ้าทำแบบนั้นก็จะรู้สึกไม่แปลกใหม่ละสิ

-ว่าแล้วโซมะก็คิดว่าจุดสำคัญตอนนี้ก็คือ รูปร่างของกล่องใส่ที่ต้องทำให้ออกมากินได้ง่ายๆและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนั้นรสชาติของคาราอาเกะก็ต้องสู้ของร้านโมสึยะได้อีกด้วย ถ้าสามารถทำทั้งสองอย่างนี้ออกมาแล้วเอามารวมกันได้ ก็จะชนะร้านโมสึยะได้ ว่าแล้วโซมะก็นึกได้ว่าเขาเคยมีสมุดจดอาหารที่ทำเอาไว้ตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กเก็บอยู่ที่ห้อง เขาจะลองไปหยิบมันมาดูหน่อยดีกว่าเพื่อจะนึกอะไรออก ซึ่งทั้งสองสาวพอได้ยินโซมะพูดถึงห้องก็เริ่มคิดเลยเถิด ว่าแล้วตอนนี้ที่ด้านล่างก็เหลือแต่นิคุมิกับมายูมิยืนอยู่กันสองคน

-ว่าแล้วมายูมิก็พยามจะชวนนิคุมิคุยโดยถามว่าโรงเรียนม.ปลายสนุกไหม แต่เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าจริงๆแล้วอยากจะถามว่าโซมะที่โรงเรียนม.ปลายเป็นยังไงบ้างมากกว่า แต่การที่เธอถามออกไปแบบนี้ก็เหมือนอาจารย์ที่เขียนจดหมายถามลูกศิษย์ที่จบไปแล้วของตัวเองเลยไม่ใช่หรือไง ส่วนนิคุมิเอง ในระหว่างที่มายูมิลนลานก็เหล่มาทางมายูมิแล้วคิดขึ้นมาว่า เธอคนนี้คือคนที่รู้จักโซมะมาตั้งแต่เรียนม.ต้นสินะ บางทีอาจจะเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กด้วย แบบนี้เองละมั้งเธอเลยรู้สึกหงุดหงิด



-มายูมิชมว่านิคุมิเนี่ยสุดยอดไปเลย เพราะได้เข้าเรียนโรงเรียนสอนทำอาหารหัวกะทิแบบนั้น ตัวเธอเองยังไม่มีความฝันหรือคิดจะไปเข้าเรียนในที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นเลย ซึ่งนิคุมิเองก็บอกว่ามันก็ไม่ใช่ที่ที่ดีอะไรเท่าไรหรอก เพราะก็ยังมีคนที่ไม่เก่งอยู่ที่นั้นเยอะเหมือนกัน แถมมีสุดยอดคนไม่ได้เรื่องอยู่ใกล้ๆฉันตลอดเลยด้วยละ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องดีเลยสักนิด(ที่แย่ๆนั้นพูดเรื่องประธานคานิจิอยู่) ก่อนที่นิคุมิจะหน้าแดงแล้วเอ่ยออกไปว่า แต่โซมะไม่ใช่พวกแบบนั้นหรอกนะ ทำให้มายูมิจับสังเกตได้ว่า บางทีนิคุมิเองอาจจะแอบชอบโซมะอยู่

-พอรู้แบบนั้นมายูมิก็ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างออกไป แต่แล้วโซมะก็โผล่มาพอดีแถมเผลอทำสมุดของตัวเองหล่นใส่นิคุมิอีก ทำให้เธอฉุนตวาดโซมะออกมา จนมายูมิคิดว่าเรื่องที่เธอนึกเมื่อครู่อาจจะเป็นแค่จินตนาการของเธอเอง ว่าแล้วทั้งหมดก็เริ่มวางแผนกันต่อ นิคุมิบอกว่าเนื้อที่ร้านโมสุยะใช้คือเนื้อส่วนอก ที่ไขมันต่ำและแครอลี่ต่ำเลยเป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิง แต่ถ้าอยากจะให้รสชาติออกมาดีตอนเอาไปทอดละก็ เธอแนะนำให้ใช้"เนื้อน่อง"ที่ชุ่มฉ่ำแล้วก็ยืดหยุ่นแทนน่าจะดีกว่า ซึ่งโซมะก็บอกว่า งั้นลองมาใช้เนื้อน่องทำคาราอาเกะกันเถอะ

-ว่าแล้วพอโซมะลองทำแล้วให้มายูมิชิม เธอก็บอกว่ามันอร่อยขึ้นกว่าเดิมจริงๆ เนื้อฉ่ำกว่าเดิมมากๆ ซึ่งนิคุมิก็อธิบายเสริมว่า เนื้อน่องพวกนี้มักจะเอาไปใช้ในอาหารทอดหรือร้านอาหารฟาสฟู๊ดหลากหลายที่ นอกจากนั้นยังเป็นรสชาติที่เด็กๆคุ้นเคย น่าจะจับกลุ่มนักเรียนได้ไม่ยากอีกด้วย โซมะก็ชมพร้อมกับเอ่ยว่า สมแล้วที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเนื้อ ก่อนที่จะถามนิคุมิต่อว่า แล้วซอสที่จะใช้ในการหมักละ จะเอายังไงดี นิคุมิก็เสนอว่าลองเป็นโชยุไม่ก็พวกผงคาเยนเปเปอร์ดูสิ แล้วแป้งที่ใช้ชุบก็ลองเป็นแป้งข้าวโพดดูน่าจะดีกว่า ซึ่งโซมะก็บอกว่าที่ร้านเขาไม่มีแป้งข้าวโพดอยู่เลย มายูมิเลยอาสาว่าจะไปซื้อให้เอง ซึ่งเธอก็รู้สึกว่า ถึงพวกเธอจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยมีแต่ไอเดีย แต่ก็รู้สึกว่ามันคืบหน้าไปกว่าเดิมเยอะและดูมีความหวังขึ้นมาเลยทีเดียว

(ผงคาเยนเปเปอร์ เป็นผงพริกชี้ฟ้าแบบหนึ่งใช้ประกอบในเมนูอาหารฝรั่งที่มีรสเผ็ด (เผ็ดสำหรับฝรั่งกับเผ็ดของคนไทย ก็รู้ๆกันอยู่นะ)

-ซึ่งมายูมิก็คิดว่าสองคนนี้เนี่ยสุดยอดเลยจริงๆ ซึ่งในที่สุด โซมะกับนิคุมิก็ทำจานที่พอใจเรื่องรสชาติออกมาได้ ซึ่งต่อไปก็ต้องหาวิธีการกินละ ในตอนนั้นเองยูยะเจ้าของร้านเบนโตะก็เข้ามาหาโซมะแล้วบอกว่าเขาคิดวิธีทำให้เดินไปกินไปได้แล้ว นั้นก็คือทำ"ข้าวปั้นคาราอาเกะ" (เป็นข้าวปั้นสามเหลี่ยมที่มีคาราอาเกะแปะติดไว้ด้านบน) แต่ก็โดนนิคุมิกับมายูมิขัดว่า ของแบบนี้มีคนคิดแล้ว แถมเธอเคยเห็นตามร้านขายของด้วย ทำให้ยูยะเฟลทันที

-ซึ่งยูยะก็บ่นว่า คาราอาเกะกับข้าวก็น่าจะเข้ากันแท้ๆ นั้นทำให้โซมะคิดอะไรขึ้นมาได้ รูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์เบาบางพกพาง่าย รสชาติอร่อยง่ายต่อการกิน จากทั้งสามหัวข้อนี้ โซมะก็เลยทดลองทำอะไรบางอย่างขึ้นมา ซึ่งพอทุกคนได้เห็นแล้วก็ถึงกับตกใจแล้วคิดว่าถ้าเป็นเจ้านี้ล่ะก็ชนะแน่ๆ

-ว่าแล้วยูยะก็วางแผนขายของชิ้นนี้ทันที โดยเขาบอกว่าการทำแพ็คเกจหรือป้ายโฆษนารวมๆแล้วเร็วที่สุดก็หนึ่งอาทิตย์แต่โซมะบอกว่าช้าไป พวกเขาต้องเริ่มขายคืนพรุ่งนี้เลย ซึ่งนั้นก็ทำให้ยูยะต้องไปเคาะร้านสั่งพิมม์ตอนกลางดึกทันที พร้อมกับเอ่ยขอร้องว่ามีเรื่องเร่งด่วนที่อยากจะให้ทำให้หน่อย ด้านนิคุมิเอง ก็โทรศัพท์สั่งเนื้อไก่และวัตถุดิบอื่นๆให้มาส่งให้

-ซึ่งนิคุมิบอกว่า เธอต้องได้ของก่อนตี5วันพรุ่งนี้ แต่ก็โดนปฏิเสธมาว่าทำให้ทันไม่ได้หรอก แต่นิคุมิก็ขู่ไปว่าถ้าเริ่มเตรียมตั้งแต่ตอนนี้ก็ทันแบบสบายๆ ถ้าขัดคำสั่งเธอคงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้ลูกน้องปลายสายของเธอต้องยอมปฏิบัติตามโดยไม่มีทางเลี่ยงทันที ด้านมายูมิเอง พอกลับมาถึงบ้านน้องชายก็เข้ามาหาแล้วสงสัยว่าเธอกำลังเขียนอะไรอยู่ ซึ่งมายูมิคิดจะช่วยทุกอย่างเท่าที่เธอพอจะทำได้ ก่อนจะลากน้องชายของเธอให้มาช่วยทำอีกแรงด้วย ด้านโซมะเองก็คิดว่านี้เป็นการจู่โจมอย่างฉับพลัน เพราะเวลาก่อนอาหารเย็นเป็นเวลาที่ของว่างอย่างคาราอาเกะจะขายดีที่สุด เขาต้องรีบชิงจังหวะนี้โจมตีอีกฝ่ายโดยไม่ให้เสียโอกาสทันที นี้เป็นการโจมตีโต้กลับและ



-บุกทลายฐานทัพของศัตรูให้แตกกระเจิงไปพร้อมกันเลย! เช้าวันรุ่งขึ้น คินุกำลังโทรศัพท์คุยกับใครบางคนอยู่ คนที่อยู่ปลายสายถามคินุว่าสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ซึ่งเธอก็ตอบออกไปว่าไปได้ดีไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอก แต่เสียงปลายสายก็ยังกังวลพร้อมกับบอกว่า ต้องรีบมองภาพรวมของตลาดให้ออกแล้วใช้กลยุทธ์กุมตลาดเอาไว้ทันที นี้คือกฎเหล็กของการทำธุรกิจ ซึ่งคินุก็โต้ไปว่า ไม่ต้องมาห่วงเธอหรอก คุณยังเด็กเกินไปที่จะมากังวลเรื่องแบบนี้ ถ้าจะมีอะไรก็เห็นจะมีแต่การกระทำที่ไร้ประโยชน์ของพวกเด็กอวดดีในย่านการค้าเท่านั้นแหละ ซึ่งปลายสายก็ทวนคำออกมาว่า อวดดี? แต่คินุก็บอกว่าเรื่องไร้ค่าแบบนั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่ใจรายงานไปหรอก

-ว่าแล้วเธอก็บอกว่าทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี รอดูวันที่เมืองนี้จะมีแต่ร้านของโมสุยะได้เลย แต่ปลายสายก็บอกว่าให้ไปตรวจสอบข้อมูลศัตรูมาแล้วรีบรายงานมาถ้ามีเหตุฉุกเฉินก่อนจะวางสายไป ซึ่งนั้นก็ทำให้คินุไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก พร้อมกับคิดว่าไอ้หมอนี้มันจะกังวลไม่เข้าเรื่องเกินไปแล้ว ซึ่งด้านของชายหนุ่มปลายสายเองก็ดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อย ก็จะได้ยินเสียงทักมาจากชายหนุ่มอีกคนหนึ่งว่า นายกำลังทำอะไรอยู่ในเวลาแบบนี้ แต่ชายหนุ่มที่คุยกับคินุก็บอกว่าหุบปากไปเถอะ เขารู้ว่ากำลังทำอะไร ก่อนจะถามกลับไปว่าหัวข้อการประชุมวันนี้คือเรื่องอะไร ทำให้ชายหนุ่มผมหยักโศกถามกลับมาว่า นายไม่ได้อ่านคำชี้แจ้งที่ส่งไปเลยสินะ



-หัวข้อประชุมก็คือ"การคัดเลือกฤดูใบไม้ร่วง" วันนี้เราต้องมาประชุมกันเรื่องจะส่งเด็กปี1คนไหนไปบ้าง ซึ่งคนที่คุยกับคินุก็บอกว่าไม่เห็นต้องมาทำกันในวันหยุดแบบนี้เลย แต่ช่วยไม่ได้ ว่าแล้วภาพก็ตัดไปที่เอรินะพร้อมกับอักษรที่เขียนกำกับไว้ว่า"สิบสุดยอดลำดับสิบ นาคิริ เอรินะ"



"แต่มันเป็นงานที่สำคัญนะ"อิชิกิพูดขึ้น ที่แท้ คนที่คุยกับชายหนุ่มที่โทรคุยกับคินุก็คืออิชิกินี้เอง"สิบสุดยอดลำดับเจ็ด อิชิกิ ซาโตชิ"



-ว่าแล้วทั้งสามก็เข้ามายังห้องประชุมของ10สุดยอด!

จบตอน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่