บทนำ
กรรมเก่า
คนทั้งสี่อันมีชายสองหญิงสอง สาวเท้าเดินเหยียบใบมะม่วงสีน้ำตาลซีดบนพื้นดินเกิดเสียงดังกรอบแกรบไปตลอดทาง ด้วยว่าพื้นที่กว้างขวางนั้นอยู่ภายใต้เงาต้นมะม่วงใบเขียวร่มครึ้ม
ฝ่ายหญิงเดินเคียงคู่กันนำหน้า ห่มผ้าแถบเหน็บหน้านุ่งโจงกระเบน ส่วนชายผู้ติดตามนุ่งผ้าถกเขมรเพียงชิ้นเดียว ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่ามีกล้ามเนื้อกำยำล่ำสัน
พากันเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าเรือนไม้ชั้นเดียวหลังเล็กดูเก่าโทรม ปลูกยกพื้นห่างจากดินไม่สูงมากนัก ที่ประตูหน้ามีโซ่ใส่กุญแจคล้องเอาไว้
“ใครอยู่ข้างนอกช่วยเปิดประตูให้ฉันที ฉันถูกขังอยู่ข้างในนี้ ช่วยฉันด้วย” เสียงผู้หญิงร้องดังจากข้างในตัวเรือน แต่คนทั้งสี่ที่เพิ่งมาถึงกลับยืนนิ่งเฉย
คนในเรือนเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วจึงโอดครวญขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงแหบเครือ
“ปล่อยฉันออกไปที ปล่อยฉันออกไปเถิด ฉันทำอะไรผิด มากักขังฉันไว้แบบนี้”
หญิงวัยกลางคนเคี้ยวหมากปากแดง ก้าวออกไปยืนเท้าเอวด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน
“อีกลอย อีคนไม่เจียมกะลาหัว ยังไม่รู้ตัวทำอะไรผิด ใฝ่สูงเกินศักดิ์เผยอจะขึ้นมาเป็นเมียท่านแข่งกับคุณหนูเนื้อแพรของกู หนอย เห็นท่านเมตตาเข้าหน่อยเลยลืมกำพืดคางคก” นางพ่นน้ำหมากลงพื้น หยิบผ้าสีแดงจากชายพกขึ้นมาเช็ดปากแล้วหันกลับไปพูดพินอบพิเทากับหญิงอ่อนวัยกว่าซึ่งนุ่งห่มผ้าสีสดสวย “มันไม่รู้จักชะโงกดูเงาหัวตัวเองแบบนี้ ต้องสั่งสอนให้มันหลาบจำนาคะคุณหนูของบ่าว”
“ต้องรุนแรงกันถึงเพียงนี้เทียวหรือ แนบ” ถามเสียงเรียบ แม้กระทั่งใบหน้าและแววตาก็ยังนิ่งเรียบ
“ปล่อยไว้เห็นจะไม่ได้การสิเจ้าคะ แค่นี้มันยังไม่นึกถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ชุบเลี้ยงมันมา ทูนหัวของบ่าวอย่าได้ปรานีมัน”
“แม่มันอุตส่าห์ฝากฝังไว้กับฉันแท้ ๆ ไม่คิดว่าจะมาเนรคุณเราแบบนี้”
นางแนบรีบเสริมขึ้นทันที “ถึงปรานีมันไม่ได้ซีเจ้าคะ คุณหนูอย่าชักช้า ใครผ่านมาเห็นเข้าจะไม่ดี”
เนื้อแพรพยักหน้ารับแล้วจึงสั่งการ “ไอ้กล้า ไอ้ขวัญ พวกเอ็งไปจัดการมัน”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ยืนคอยท่ารออยู่เบื้องหลัง พอได้ฟังคำสั่งนายสาวจึงรีบลงมือ โดยคนหนึ่งถือถังน้ำมันตรงเข้าไปสาดใส่ฝาเรือน
“สาดไปให้ทั่ว ๆ นะเว้ยไอ้กล้า พรึ่บเดียวให้มันเป็นเถ้าถ่านไปเลย ทีนี้คุณหนูของข้าจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ามันให้รกลูกตา” นางแนบตะโกน
“นี่จะทำอะไรกัน! ปล่อยฉันออกไปนะ ปล่อยฉันออกไป!” คนในเรือนร้องพลางทุบประตูพลาง
เนื้อแพรแลไปเห็นบ่าวอีกคนยืนตัวสั่น มีเหงื่อเม็ดโตผุดเต็มหน้าผาก จึงตวาดเสียงดัง
“ไอ้ขวัญ ยืนนิ่งอยู่ทำไม จุดคบไฟแล้วโยนใส่เข้าไปได้แล้ว”
นายขวัญทำตามคำสั่งนาย แต่มือไม้สั่นเทาจนสังเกตเห็นได้ชัด เมื่อเดินเข้าไปไกลตัวเรือนปากก็พึมพำว่า “อย่าโกรธแค้นอะไรกันเลยนะกลอย ฉันแค่ทำตามคำสั่ง”
ไฟลุกไหม้ตามรอยคราบน้ำมันอย่างรวดเร็ว พอได้ลามกินเนื้อไม้ยิ่งทวีความร้อนแรง
“กลับเรือนกันเถิดเจ้าค่ะ ใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี” บ่าวสูงวัยบอกนายสาว
คนทั้งสี่รีบรุดจากไป ทิ้งคนในเรือนหลังน้อยให้กรีดร้องโหยหวนอยู่ในกองเพลิงร้อนแรง
--------------------------------
“กลอยไปไหน วันนี้ฉันไม่เห็นหน้าทั้งวัน” ท่านสุธรรมในวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม ถามกับบ่าวบนเรือนใหญ่ แต่ไม่มีใครพบเห็น พอดีกับที่เนื้อแพรเดินขึ้นเรือนนำหน้านางแนบตรงเข้ามาท่านจึงหยุดหันไปมอง
“ร้อนจังเลยแม่แนบ ขอน้ำฉันกินสักหน่อย”
“ไปไหนกันมา เนื้อแพร”
“ไปเก็บดอกไม้ร้อยมาลัย พรุ่งนี้วันพระค่ะท่าน”
นางแนบรีบชูพานดอกไม้ให้ประมุขของเรือนดูประกอบคำนายสาว
“เห็นกลอยบ้างไหม ฉันไม่เห็นหน้าทั้งวัน”
เนื้อแพรสบตากับบ่าวคนสนิท ต่างคนต่างยิ้มละไม
“ป่านนี้มันไปถึงไหน ๆ แล้วกระมังคะท่าน” เนื้อแพรบอก
“ไปไหน” ท่านสุธรรมถามขมวดคิ้ว
“เห็นบ่าวไพร่โจษจันว่าแม่กลอยหนีตามอ้ายคนสวนไปตั้งแต่เมื่อคืน”
“ฉันไม่เห็นได้ยินใครพูดถึง”
“ใครจะกล้าบอกท่านเจ้าคะ แค่เรื่องบ่าวไพร่ในบ้าน”
ใครคนหนึ่งวิ่งพรวดพราดขึ้นเรือนเข้ามาถึงยังวงสนทนาของประมุขเรือน
“ไฟไหม้ขอรับท่าน ไฟไหม้เรือนเล็กท้ายสวนมะม่วง!” บอกด้วยอาการร้อนรน
“เรือนร้างไม่มีใครอยู่ ลูกอ้ายอีคนไหนคงไปก่อไฟเล่นซนแถวนั้นกระมัง ว่าแต่มีอะไรเสียหายบ้างไหม” ท่านถาม
“คือ...คือ...”
“คืออะไรของวะไอ้แดง อึกอักอยู่นั่นแหละ” นางแนบว่า
“คือว่า อีกลอยติดอยู่ข้างในขอรับท่าน”
ประมุขของเรือนหน้าถอดสี อ้าปากจะถามความเป็นไป แต่ไม่ทันเนื้อแพร
“ตายมั้ย”
“ตายขอรับ แต่ไม่ได้ตายในกองไฟ ดูท่าว่ามันจะกระเสื-กกระสนออกมา แล้วไปตายอยู่โคนต้นไทรตรงคันที่หลังเรือนขอรับ”
“ฉันจะไปดูกลอย” ท่านสุธรรมผลุนผลันออกจากเรือน
กลอยนอนคว่ำหน้าตายอยู่โคนต้นไทร ผิวหนังไม่เหลือเค้าความสวยงามแห่งวัยสาว ด้วยผิวชั้นนอกถูกทำลายจากไฟร้อนจนเป็นด่างดวงสีชมพูและแดงสด ไม่เว้นแม้แต่ศีรษะที่ปราศจากเส้นผม
เมื่อพลิกศพหงายหน้าขึ้นมา พบว่าศพตาเหลือกค้างเห็นเด่นอยู่ในกรอบวงหน้าไร้ผิวเนื้อ
ผีล่ากรรม ( บทที่ ๑ )
บทนำ
กรรมเก่า
คนทั้งสี่อันมีชายสองหญิงสอง สาวเท้าเดินเหยียบใบมะม่วงสีน้ำตาลซีดบนพื้นดินเกิดเสียงดังกรอบแกรบไปตลอดทาง ด้วยว่าพื้นที่กว้างขวางนั้นอยู่ภายใต้เงาต้นมะม่วงใบเขียวร่มครึ้ม
ฝ่ายหญิงเดินเคียงคู่กันนำหน้า ห่มผ้าแถบเหน็บหน้านุ่งโจงกระเบน ส่วนชายผู้ติดตามนุ่งผ้าถกเขมรเพียงชิ้นเดียว ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่ามีกล้ามเนื้อกำยำล่ำสัน
พากันเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าเรือนไม้ชั้นเดียวหลังเล็กดูเก่าโทรม ปลูกยกพื้นห่างจากดินไม่สูงมากนัก ที่ประตูหน้ามีโซ่ใส่กุญแจคล้องเอาไว้
“ใครอยู่ข้างนอกช่วยเปิดประตูให้ฉันที ฉันถูกขังอยู่ข้างในนี้ ช่วยฉันด้วย” เสียงผู้หญิงร้องดังจากข้างในตัวเรือน แต่คนทั้งสี่ที่เพิ่งมาถึงกลับยืนนิ่งเฉย
คนในเรือนเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วจึงโอดครวญขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงแหบเครือ
“ปล่อยฉันออกไปที ปล่อยฉันออกไปเถิด ฉันทำอะไรผิด มากักขังฉันไว้แบบนี้”
หญิงวัยกลางคนเคี้ยวหมากปากแดง ก้าวออกไปยืนเท้าเอวด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน
“อีกลอย อีคนไม่เจียมกะลาหัว ยังไม่รู้ตัวทำอะไรผิด ใฝ่สูงเกินศักดิ์เผยอจะขึ้นมาเป็นเมียท่านแข่งกับคุณหนูเนื้อแพรของกู หนอย เห็นท่านเมตตาเข้าหน่อยเลยลืมกำพืดคางคก” นางพ่นน้ำหมากลงพื้น หยิบผ้าสีแดงจากชายพกขึ้นมาเช็ดปากแล้วหันกลับไปพูดพินอบพิเทากับหญิงอ่อนวัยกว่าซึ่งนุ่งห่มผ้าสีสดสวย “มันไม่รู้จักชะโงกดูเงาหัวตัวเองแบบนี้ ต้องสั่งสอนให้มันหลาบจำนาคะคุณหนูของบ่าว”
“ต้องรุนแรงกันถึงเพียงนี้เทียวหรือ แนบ” ถามเสียงเรียบ แม้กระทั่งใบหน้าและแววตาก็ยังนิ่งเรียบ
“ปล่อยไว้เห็นจะไม่ได้การสิเจ้าคะ แค่นี้มันยังไม่นึกถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ชุบเลี้ยงมันมา ทูนหัวของบ่าวอย่าได้ปรานีมัน”
“แม่มันอุตส่าห์ฝากฝังไว้กับฉันแท้ ๆ ไม่คิดว่าจะมาเนรคุณเราแบบนี้”
นางแนบรีบเสริมขึ้นทันที “ถึงปรานีมันไม่ได้ซีเจ้าคะ คุณหนูอย่าชักช้า ใครผ่านมาเห็นเข้าจะไม่ดี”
เนื้อแพรพยักหน้ารับแล้วจึงสั่งการ “ไอ้กล้า ไอ้ขวัญ พวกเอ็งไปจัดการมัน”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ยืนคอยท่ารออยู่เบื้องหลัง พอได้ฟังคำสั่งนายสาวจึงรีบลงมือ โดยคนหนึ่งถือถังน้ำมันตรงเข้าไปสาดใส่ฝาเรือน
“สาดไปให้ทั่ว ๆ นะเว้ยไอ้กล้า พรึ่บเดียวให้มันเป็นเถ้าถ่านไปเลย ทีนี้คุณหนูของข้าจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ามันให้รกลูกตา” นางแนบตะโกน
“นี่จะทำอะไรกัน! ปล่อยฉันออกไปนะ ปล่อยฉันออกไป!” คนในเรือนร้องพลางทุบประตูพลาง
เนื้อแพรแลไปเห็นบ่าวอีกคนยืนตัวสั่น มีเหงื่อเม็ดโตผุดเต็มหน้าผาก จึงตวาดเสียงดัง
“ไอ้ขวัญ ยืนนิ่งอยู่ทำไม จุดคบไฟแล้วโยนใส่เข้าไปได้แล้ว”
นายขวัญทำตามคำสั่งนาย แต่มือไม้สั่นเทาจนสังเกตเห็นได้ชัด เมื่อเดินเข้าไปไกลตัวเรือนปากก็พึมพำว่า “อย่าโกรธแค้นอะไรกันเลยนะกลอย ฉันแค่ทำตามคำสั่ง”
ไฟลุกไหม้ตามรอยคราบน้ำมันอย่างรวดเร็ว พอได้ลามกินเนื้อไม้ยิ่งทวีความร้อนแรง
“กลับเรือนกันเถิดเจ้าค่ะ ใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี” บ่าวสูงวัยบอกนายสาว
คนทั้งสี่รีบรุดจากไป ทิ้งคนในเรือนหลังน้อยให้กรีดร้องโหยหวนอยู่ในกองเพลิงร้อนแรง
--------------------------------
“กลอยไปไหน วันนี้ฉันไม่เห็นหน้าทั้งวัน” ท่านสุธรรมในวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม ถามกับบ่าวบนเรือนใหญ่ แต่ไม่มีใครพบเห็น พอดีกับที่เนื้อแพรเดินขึ้นเรือนนำหน้านางแนบตรงเข้ามาท่านจึงหยุดหันไปมอง
“ร้อนจังเลยแม่แนบ ขอน้ำฉันกินสักหน่อย”
“ไปไหนกันมา เนื้อแพร”
“ไปเก็บดอกไม้ร้อยมาลัย พรุ่งนี้วันพระค่ะท่าน”
นางแนบรีบชูพานดอกไม้ให้ประมุขของเรือนดูประกอบคำนายสาว
“เห็นกลอยบ้างไหม ฉันไม่เห็นหน้าทั้งวัน”
เนื้อแพรสบตากับบ่าวคนสนิท ต่างคนต่างยิ้มละไม
“ป่านนี้มันไปถึงไหน ๆ แล้วกระมังคะท่าน” เนื้อแพรบอก
“ไปไหน” ท่านสุธรรมถามขมวดคิ้ว
“เห็นบ่าวไพร่โจษจันว่าแม่กลอยหนีตามอ้ายคนสวนไปตั้งแต่เมื่อคืน”
“ฉันไม่เห็นได้ยินใครพูดถึง”
“ใครจะกล้าบอกท่านเจ้าคะ แค่เรื่องบ่าวไพร่ในบ้าน”
ใครคนหนึ่งวิ่งพรวดพราดขึ้นเรือนเข้ามาถึงยังวงสนทนาของประมุขเรือน
“ไฟไหม้ขอรับท่าน ไฟไหม้เรือนเล็กท้ายสวนมะม่วง!” บอกด้วยอาการร้อนรน
“เรือนร้างไม่มีใครอยู่ ลูกอ้ายอีคนไหนคงไปก่อไฟเล่นซนแถวนั้นกระมัง ว่าแต่มีอะไรเสียหายบ้างไหม” ท่านถาม
“คือ...คือ...”
“คืออะไรของวะไอ้แดง อึกอักอยู่นั่นแหละ” นางแนบว่า
“คือว่า อีกลอยติดอยู่ข้างในขอรับท่าน”
ประมุขของเรือนหน้าถอดสี อ้าปากจะถามความเป็นไป แต่ไม่ทันเนื้อแพร
“ตายมั้ย”
“ตายขอรับ แต่ไม่ได้ตายในกองไฟ ดูท่าว่ามันจะกระเสื-กกระสนออกมา แล้วไปตายอยู่โคนต้นไทรตรงคันที่หลังเรือนขอรับ”
“ฉันจะไปดูกลอย” ท่านสุธรรมผลุนผลันออกจากเรือน
กลอยนอนคว่ำหน้าตายอยู่โคนต้นไทร ผิวหนังไม่เหลือเค้าความสวยงามแห่งวัยสาว ด้วยผิวชั้นนอกถูกทำลายจากไฟร้อนจนเป็นด่างดวงสีชมพูและแดงสด ไม่เว้นแม้แต่ศีรษะที่ปราศจากเส้นผม
เมื่อพลิกศพหงายหน้าขึ้นมา พบว่าศพตาเหลือกค้างเห็นเด่นอยู่ในกรอบวงหน้าไร้ผิวเนื้อ