ผีล่ากรรม ( บทที่ ๑ )

กระทู้สนทนา

บทนำ



กรรมเก่า




          คนทั้งสี่อันมีชายสองหญิงสอง สาวเท้าเดินเหยียบใบมะม่วงสีน้ำตาลซีดบนพื้นดินเกิดเสียงดังกรอบแกรบไปตลอดทาง ด้วยว่าพื้นที่กว้างขวางนั้นอยู่ภายใต้เงาต้นมะม่วงใบเขียวร่มครึ้ม

         ฝ่ายหญิงเดินเคียงคู่กันนำหน้า ห่มผ้าแถบเหน็บหน้านุ่งโจงกระเบน ส่วนชายผู้ติดตามนุ่งผ้าถกเขมรเพียงชิ้นเดียว ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่ามีกล้ามเนื้อกำยำล่ำสัน

         พากันเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าเรือนไม้ชั้นเดียวหลังเล็กดูเก่าโทรม ปลูกยกพื้นห่างจากดินไม่สูงมากนัก ที่ประตูหน้ามีโซ่ใส่กุญแจคล้องเอาไว้

        “ใครอยู่ข้างนอกช่วยเปิดประตูให้ฉันที ฉันถูกขังอยู่ข้างในนี้ ช่วยฉันด้วย”    เสียงผู้หญิงร้องดังจากข้างในตัวเรือน   แต่คนทั้งสี่ที่เพิ่งมาถึงกลับยืนนิ่งเฉย

        คนในเรือนเงียบไปครู่ใหญ่  แล้วจึงโอดครวญขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงแหบเครือ

       “ปล่อยฉันออกไปที ปล่อยฉันออกไปเถิด ฉันทำอะไรผิด มากักขังฉันไว้แบบนี้”

        หญิงวัยกลางคนเคี้ยวหมากปากแดง  ก้าวออกไปยืนเท้าเอวด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน

       “อีกลอย อีคนไม่เจียมกะลาหัว ยังไม่รู้ตัวทำอะไรผิด ใฝ่สูงเกินศักดิ์เผยอจะขึ้นมาเป็นเมียท่านแข่งกับคุณหนูเนื้อแพรของกู หนอย เห็นท่านเมตตาเข้าหน่อยเลยลืมกำพืดคางคก”  นางพ่นน้ำหมากลงพื้น หยิบผ้าสีแดงจากชายพกขึ้นมาเช็ดปากแล้วหันกลับไปพูดพินอบพิเทากับหญิงอ่อนวัยกว่าซึ่งนุ่งห่มผ้าสีสดสวย  “มันไม่รู้จักชะโงกดูเงาหัวตัวเองแบบนี้ ต้องสั่งสอนให้มันหลาบจำนาคะคุณหนูของบ่าว”

       “ต้องรุนแรงกันถึงเพียงนี้เทียวหรือ แนบ”   ถามเสียงเรียบ แม้กระทั่งใบหน้าและแววตาก็ยังนิ่งเรียบ

       “ปล่อยไว้เห็นจะไม่ได้การสิเจ้าคะ แค่นี้มันยังไม่นึกถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ชุบเลี้ยงมันมา ทูนหัวของบ่าวอย่าได้ปรานีมัน”

       “แม่มันอุตส่าห์ฝากฝังไว้กับฉันแท้ ๆ ไม่คิดว่าจะมาเนรคุณเราแบบนี้”

        นางแนบรีบเสริมขึ้นทันที “ถึงปรานีมันไม่ได้ซีเจ้าคะ คุณหนูอย่าชักช้า ใครผ่านมาเห็นเข้าจะไม่ดี”

       เนื้อแพรพยักหน้ารับแล้วจึงสั่งการ “ไอ้กล้า ไอ้ขวัญ พวกเอ็งไปจัดการมัน”

       ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ยืนคอยท่ารออยู่เบื้องหลัง พอได้ฟังคำสั่งนายสาวจึงรีบลงมือ โดยคนหนึ่งถือถังน้ำมันตรงเข้าไปสาดใส่ฝาเรือน

       “สาดไปให้ทั่ว ๆ นะเว้ยไอ้กล้า พรึ่บเดียวให้มันเป็นเถ้าถ่านไปเลย ทีนี้คุณหนูของข้าจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ามันให้รกลูกตา” นางแนบตะโกน

       “นี่จะทำอะไรกัน! ปล่อยฉันออกไปนะ ปล่อยฉันออกไป!” คนในเรือนร้องพลางทุบประตูพลาง

       เนื้อแพรแลไปเห็นบ่าวอีกคนยืนตัวสั่น มีเหงื่อเม็ดโตผุดเต็มหน้าผาก จึงตวาดเสียงดัง

       “ไอ้ขวัญ ยืนนิ่งอยู่ทำไม จุดคบไฟแล้วโยนใส่เข้าไปได้แล้ว”

       นายขวัญทำตามคำสั่งนาย แต่มือไม้สั่นเทาจนสังเกตเห็นได้ชัด เมื่อเดินเข้าไปไกลตัวเรือนปากก็พึมพำว่า  “อย่าโกรธแค้นอะไรกันเลยนะกลอย ฉันแค่ทำตามคำสั่ง”

       ไฟลุกไหม้ตามรอยคราบน้ำมันอย่างรวดเร็ว พอได้ลามกินเนื้อไม้ยิ่งทวีความร้อนแรง

       “กลับเรือนกันเถิดเจ้าค่ะ ใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี” บ่าวสูงวัยบอกนายสาว

        คนทั้งสี่รีบรุดจากไป  ทิ้งคนในเรือนหลังน้อยให้กรีดร้องโหยหวนอยู่ในกองเพลิงร้อนแรง



         --------------------------------




        “กลอยไปไหน วันนี้ฉันไม่เห็นหน้าทั้งวัน” ท่านสุธรรมในวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม ถามกับบ่าวบนเรือนใหญ่ แต่ไม่มีใครพบเห็น พอดีกับที่เนื้อแพรเดินขึ้นเรือนนำหน้านางแนบตรงเข้ามาท่านจึงหยุดหันไปมอง

        “ร้อนจังเลยแม่แนบ ขอน้ำฉันกินสักหน่อย”

        “ไปไหนกันมา เนื้อแพร”

        “ไปเก็บดอกไม้ร้อยมาลัย พรุ่งนี้วันพระค่ะท่าน”

        นางแนบรีบชูพานดอกไม้ให้ประมุขของเรือนดูประกอบคำนายสาว

        “เห็นกลอยบ้างไหม ฉันไม่เห็นหน้าทั้งวัน”

        เนื้อแพรสบตากับบ่าวคนสนิท ต่างคนต่างยิ้มละไม

        “ป่านนี้มันไปถึงไหน ๆ แล้วกระมังคะท่าน”   เนื้อแพรบอก

        “ไปไหน” ท่านสุธรรมถามขมวดคิ้ว

       “เห็นบ่าวไพร่โจษจันว่าแม่กลอยหนีตามอ้ายคนสวนไปตั้งแต่เมื่อคืน”

       “ฉันไม่เห็นได้ยินใครพูดถึง”

       “ใครจะกล้าบอกท่านเจ้าคะ แค่เรื่องบ่าวไพร่ในบ้าน”

        ใครคนหนึ่งวิ่งพรวดพราดขึ้นเรือนเข้ามาถึงยังวงสนทนาของประมุขเรือน

        “ไฟไหม้ขอรับท่าน ไฟไหม้เรือนเล็กท้ายสวนมะม่วง!” บอกด้วยอาการร้อนรน

        “เรือนร้างไม่มีใครอยู่ ลูกอ้ายอีคนไหนคงไปก่อไฟเล่นซนแถวนั้นกระมัง ว่าแต่มีอะไรเสียหายบ้างไหม” ท่านถาม

         “คือ...คือ...”

         “คืออะไรของวะไอ้แดง อึกอักอยู่นั่นแหละ” นางแนบว่า

         “คือว่า อีกลอยติดอยู่ข้างในขอรับท่าน”

         ประมุขของเรือนหน้าถอดสี อ้าปากจะถามความเป็นไป แต่ไม่ทันเนื้อแพร

        “ตายมั้ย”

        “ตายขอรับ แต่ไม่ได้ตายในกองไฟ ดูท่าว่ามันจะกระเสื-กกระสนออกมา แล้วไปตายอยู่โคนต้นไทรตรงคันที่หลังเรือนขอรับ”

        “ฉันจะไปดูกลอย” ท่านสุธรรมผลุนผลันออกจากเรือน

        กลอยนอนคว่ำหน้าตายอยู่โคนต้นไทร ผิวหนังไม่เหลือเค้าความสวยงามแห่งวัยสาว ด้วยผิวชั้นนอกถูกทำลายจากไฟร้อนจนเป็นด่างดวงสีชมพูและแดงสด ไม่เว้นแม้แต่ศีรษะที่ปราศจากเส้นผม

       เมื่อพลิกศพหงายหน้าขึ้นมา พบว่าศพตาเหลือกค้างเห็นเด่นอยู่ในกรอบวงหน้าไร้ผิวเนื้อ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่