เมื่อวันที่ 25 ส.ค. กลุ่มเพื่อนสวนโมกข์ได้แชร์ จดหมายเรื่อง "จากเพื่อนสวนโมกข์ถึงเพื่อนสวนโมกข์"
ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยระบุว่าเป็นจดหมายที่เขียนถึง กัลยาณมิตรของสวนโมกขพลาราม
เพื่อแจ้งข่าวให้ทราบถึงทิศทางของสวนโมกข์ที่กำลังเดินออกไปจากสิ่งที่ท่านพุทธทาสได้วางไว้ในอดีต....
เนื้อความในจดหมายระบุว่า สถานการณ์ภายในวัดสวนโมกข์ทุกวันนี้ไม่สู้ดีนัก สงฆ์แตกออกเป็นสองกลุ่มจากการตั้งเจ้าอาวาสคนใหม่มาแทน
เจ้าอาวาสคนเก่า แม้ท่านสุชาติ เจ้าอาวาสคนใหม่ จะเป็นที่ชื่นชอบและเคารพนับถือของคนจำนวนไม่น้อย แต่เนื่องจากท่านออกจากวัดไป
เป็นเวลานาน อีกทั้งยังไม่มีทักษะความเป็นผู้นำและความสามารถในการเข้ามาบริหารจัดการวัด หลังจากท่านเข้ามารับตำแหน่ง
แทนอ.โพธิ์ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ สวนโมกข์เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ โดยท่านทองสุข ธมมวโร พระมหาเถระซึ่งมีบทบาทในการสร้างงานหลายๆชิ้นของสวนโมกข์ในอดีต หลังจากที่ไม่มีส่วนร่วมกับวัดเป็นเวลานานกว่า20 ปี ได้เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสวนโมกข์
ในฐานะเจ้าอาวาสเงาผู้อยู่เบื้องหลังท่านสุชาติ
งานแรกของสวนโมกข์ในยุคของเจ้าอาวาสคนใหม่ คือ การเข้ามาควบคุมจัดการเรื่องเงิน โดยต้องการแยกบัญชีวัดออกจากธรรมทานมูลนิธิ
มีการตั้งข้อกล่าวหาว่าคุณเมตตา พานิช ซึ่งดูแลเงินวัดในนามประธานธรรมทานมูลนิธิมาตั้งแต่สมัยท่านพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ นำเงินวัดไปใช้
ประโยชน์ส่วนตัว การบริหารเงินของธรรมทานมูลนิธิโดยมีคุณเมตตาเป็นผู้ดูแลหลักอยู่เพียงคนเดียวถูกมองว่าไม่โปร่งใส ระบบการเงินของ
สวนโมกข์ถูกเซ็ตขึ้นใหม่ โดยสวนโมกข์ขอกลับไปสู่ความเป็น "วัดธารน้ำไหล" ภายใต้มหาเถรสมาคม วัดมีบัญชีแยกจากธรรมทานมูลนิธิ
และพระสามารถบริหารเงินและนำเงินมาใช้ได้อย่างเป็นอิสระโดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากธรรมทานมูลนิธิ
ต่อมาท่านจ้อย พระประจำเคาน์เตอร์รับบริจาคเงิน ถูกบีบให้ออกจากการทำหน้าที่ดังกล่าว
โดยมีการส่งหนังสือทางการแจ้งปลดท่านจ้อยอย่างสายฟ้าแลบ พร้อมทั้งยังปลดท่านออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสด้วย
ต่อมาเป็นคิวของท่านสิงห์ทอง พระอุปัฏฐากย์ ผู้อยู่ใกล้ชิดกับอ.พุทธทาสเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เช่นเดียวกัน
มีความพยายามจะปลดท่านสิงห์ทองออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาส ถึงขนาดจะจับท่านสึก โดยตั้งข้อหาซุกซ่อนเงินบริจาค
ตั้งแต่สมัยพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ จนท่านสิงห์ทองต้องลี้ภัยออกจากสวนโมกข์เป็นระยะเวลาหนึ่ง
เมื่อพระรุ่นเก่าๆ ที่เคยมีบทบาทในยุคเจ้าอาวาสคนก่อนถูกขับออกไป สวนโมกข์ก็มีการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานตรงเคาน์เตอร์
รับเงินบริจาคใหม่ โดยมีการให้พระพรรษาน้อยๆ เข้ามาทำหน้าที่แทน มีการติดกล้องวงจรปิด 2 ตัวตรงจุดรับเงินบริจาค
มีการเชื่อมความสัมพันธ์กับโครงสร้างคณะสงฆ์ภายนอกอย่างเจ้าคณะอำเภอ เพื่อให้ "วัดธารน้ำไหล" กลับสู่ระบบสงฆ์ของรัฐ
ไม่ใช่ระบบลอยและเป็นสังฆะอิสระอย่างที่เคยเป็นมา
และล่าสุดมีการริเริ่มโครงการ "ปรับปรุงภูมิทัศน์รอบเขาพุทธทอง" โดยท่านทองสุขเป็นผู้ควบคุมจัดการเบ็ดเสร็จโดยที่เจ้าอาวาสคนปัจจุบัน
และพระมหาเถระรูปอื่นๆ ภายในสวนโมกข์แทบไม่รู้เห็น ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการขุดถมดิน ลงฐานรากคอนกรีตขนานใหญ่ เพื่อ
เปลี่ยนแปลง "โบสถ์ธรรมชาติแบบสวนโมกข์" ให้ทันสมัย ดูดียิ่งขึ้น
คิดเห็นอย่างไร กับการสั่งสร้างสิ่งที่ทันสมัยในสวนโมกข์?
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. กลุ่มเพื่อนสวนโมกข์ได้แชร์ จดหมายเรื่อง "จากเพื่อนสวนโมกข์ถึงเพื่อนสวนโมกข์"
ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยระบุว่าเป็นจดหมายที่เขียนถึง กัลยาณมิตรของสวนโมกขพลาราม
เพื่อแจ้งข่าวให้ทราบถึงทิศทางของสวนโมกข์ที่กำลังเดินออกไปจากสิ่งที่ท่านพุทธทาสได้วางไว้ในอดีต....
เนื้อความในจดหมายระบุว่า สถานการณ์ภายในวัดสวนโมกข์ทุกวันนี้ไม่สู้ดีนัก สงฆ์แตกออกเป็นสองกลุ่มจากการตั้งเจ้าอาวาสคนใหม่มาแทน
เจ้าอาวาสคนเก่า แม้ท่านสุชาติ เจ้าอาวาสคนใหม่ จะเป็นที่ชื่นชอบและเคารพนับถือของคนจำนวนไม่น้อย แต่เนื่องจากท่านออกจากวัดไป
เป็นเวลานาน อีกทั้งยังไม่มีทักษะความเป็นผู้นำและความสามารถในการเข้ามาบริหารจัดการวัด หลังจากท่านเข้ามารับตำแหน่ง
แทนอ.โพธิ์ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ สวนโมกข์เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ โดยท่านทองสุข ธมมวโร พระมหาเถระซึ่งมีบทบาทในการสร้างงานหลายๆชิ้นของสวนโมกข์ในอดีต หลังจากที่ไม่มีส่วนร่วมกับวัดเป็นเวลานานกว่า20 ปี ได้เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสวนโมกข์
ในฐานะเจ้าอาวาสเงาผู้อยู่เบื้องหลังท่านสุชาติ
งานแรกของสวนโมกข์ในยุคของเจ้าอาวาสคนใหม่ คือ การเข้ามาควบคุมจัดการเรื่องเงิน โดยต้องการแยกบัญชีวัดออกจากธรรมทานมูลนิธิ
มีการตั้งข้อกล่าวหาว่าคุณเมตตา พานิช ซึ่งดูแลเงินวัดในนามประธานธรรมทานมูลนิธิมาตั้งแต่สมัยท่านพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ นำเงินวัดไปใช้
ประโยชน์ส่วนตัว การบริหารเงินของธรรมทานมูลนิธิโดยมีคุณเมตตาเป็นผู้ดูแลหลักอยู่เพียงคนเดียวถูกมองว่าไม่โปร่งใส ระบบการเงินของ
สวนโมกข์ถูกเซ็ตขึ้นใหม่ โดยสวนโมกข์ขอกลับไปสู่ความเป็น "วัดธารน้ำไหล" ภายใต้มหาเถรสมาคม วัดมีบัญชีแยกจากธรรมทานมูลนิธิ
และพระสามารถบริหารเงินและนำเงินมาใช้ได้อย่างเป็นอิสระโดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากธรรมทานมูลนิธิ
ต่อมาท่านจ้อย พระประจำเคาน์เตอร์รับบริจาคเงิน ถูกบีบให้ออกจากการทำหน้าที่ดังกล่าว
โดยมีการส่งหนังสือทางการแจ้งปลดท่านจ้อยอย่างสายฟ้าแลบ พร้อมทั้งยังปลดท่านออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสด้วย
ต่อมาเป็นคิวของท่านสิงห์ทอง พระอุปัฏฐากย์ ผู้อยู่ใกล้ชิดกับอ.พุทธทาสเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เช่นเดียวกัน
มีความพยายามจะปลดท่านสิงห์ทองออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาส ถึงขนาดจะจับท่านสึก โดยตั้งข้อหาซุกซ่อนเงินบริจาค
ตั้งแต่สมัยพุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ จนท่านสิงห์ทองต้องลี้ภัยออกจากสวนโมกข์เป็นระยะเวลาหนึ่ง
เมื่อพระรุ่นเก่าๆ ที่เคยมีบทบาทในยุคเจ้าอาวาสคนก่อนถูกขับออกไป สวนโมกข์ก็มีการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานตรงเคาน์เตอร์
รับเงินบริจาคใหม่ โดยมีการให้พระพรรษาน้อยๆ เข้ามาทำหน้าที่แทน มีการติดกล้องวงจรปิด 2 ตัวตรงจุดรับเงินบริจาค
มีการเชื่อมความสัมพันธ์กับโครงสร้างคณะสงฆ์ภายนอกอย่างเจ้าคณะอำเภอ เพื่อให้ "วัดธารน้ำไหล" กลับสู่ระบบสงฆ์ของรัฐ
ไม่ใช่ระบบลอยและเป็นสังฆะอิสระอย่างที่เคยเป็นมา
และล่าสุดมีการริเริ่มโครงการ "ปรับปรุงภูมิทัศน์รอบเขาพุทธทอง" โดยท่านทองสุขเป็นผู้ควบคุมจัดการเบ็ดเสร็จโดยที่เจ้าอาวาสคนปัจจุบัน
และพระมหาเถระรูปอื่นๆ ภายในสวนโมกข์แทบไม่รู้เห็น ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการขุดถมดิน ลงฐานรากคอนกรีตขนานใหญ่ เพื่อ
เปลี่ยนแปลง "โบสถ์ธรรมชาติแบบสวนโมกข์" ให้ทันสมัย ดูดียิ่งขึ้น